ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 299

โหลฮ่วนเทียนเก็บรอยยิ้มกลับไป สบตากับสายตามืดมนของเฉินซ่า

"จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ถูกพิษประหลาดกับกู่ปลิดชีพจริงๆใช่ไหม? มิเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่นอนครึ่งวันของตระกูลโหวจะไม่เกิดประสิทธิภาพ"

"ใช่แล้วอย่างไร?" เฉินซ่ากล่าวเย็นชา

"ไม่แล้วไงหรอก เพียงแต่ หากโหลชีถูกเจ้าบังคับจริงๆล่ะก็ ข้าจะต้องช่วยนางจากไปแน่นอน"

"อย่างเจ้าเนี่ยนะ?"

"ลองดูไหมล่ะ?"

"ด้วยความยินดี"

เฉินซ่าค่อยๆยืนขึ้นมา ประจันหน้ากับโหลฮ่วนเทียน ผู้ชายสองคนสูงพอๆ กัน ต่างก็สูงกว่าผู้ชายทั่วไปเล็กน้อย เพียงแต่เฉินซ่าไหล่กว้างหลังก็กว้าง ดูสูงใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่โหลฮ่วนเทียนไปทางแบบหล่อเหลาโดดเด่นมากกว่าแต่ในแง่ของลักษณะท่าทางที่แสดงออกมากลับไม่ด้อยไปกว่าเฉินซ่าเลย

ดูเหมือนอากาศกำลังถูกพวกเขาสองคนดูดไปพร้อมๆกัน บรรยากาศในห้องเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกเล็กน้อย บนตัวเฉินซ่าเข้มข้นไปด้วยเจตนาสังหารที่รุนแรงชั้นหนึ่ง ในขณะที่บนตัวโหลฮ่วนเทียนกลับโหมกระหน่ำไปด้วยไฟแห่งสงคราม

แม้แต่สาวใช้สองสามคนที่รออยู่นอกประตูก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ค่อยปกติ อยากจะเข้ามาดูแต่ก็ไม่กล้า การแสดงทางสีหน้าของทุกคนต่างก็ดูลังเลอย่างมาก

เริ่มแรกเดิมทีโหลชียังตอบสนองกลับมาไม่ได้ เป็นเพราะนางคิดไม่ถึงจริงๆว่านายน้อยตระกูลโหลจะประจันหน้ากับเฉินซ่าโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลยจริงๆ หลังจากที่นางตอบสนองกลับมาแล้ว สองคนนี้ก็กำลังจะเริ่มลงมือกันแล้ว

"เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน" นางกระโดดไปอยู่ระหว่างทั้งสองคนทันที อ้าแขนออกแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างหมดคำพูด: "นี่พวกท่านคิดจะทำลายห้องนี้อีกครั้งใช่ไหม?"

ห้องกาญจน น่าอนาถเกินไปแล้วไหม

"โหลชี เจ้าไม่ต้องกลัวนะ" โหลฮ่วนเทียนมองดูนาง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกสนิทสนมและคุ้นเคยมาก เขาอดที่จะอยากปกป้องนางไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับความรู้สึกที่เขาอดที่จะอยากหยิกหน้าอมชมพูของเด็กคนนั้นในตอนนั้นไม่ได้

เสียงของเฉินซ่าเคร่งขรึม "ชีชี รอให้ข้าจัดการคนคนนี้แล้ว เจ้าอธิบายหน่อยว่าอะไรคือร่วมสาบานที่สวนท้อ"

โหลชีรู้สึกจนใจในทันที "หยุด หยุด! ข้าไม่มีความสนใจในการต่อสู้ที่ไร้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น นายน้อยโหล ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถบังคับให้ข้าแต่งงานด้วยยังไม่เกิดเลย หากข้าไม่ยินยอม ถึงแม้จะถูกมัดเข้าไปถึงห้องหอ ข้าก็สามารถตัดเขาได้เช่นกัน"

บางส่วนของเฉินซ่าเย็นวาบทันที

โหลฮ่วนเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา น่าสนใจดี นี่คือคำอธิบายของนาง? อธิบายว่านางไม่ได้ถูกบังคับให้อยู่กับเฉินซ่า? แต่วิถีของคำอธิบายนี้มันปราดเปรียวห้าวหาญเกินไปหน่อยไหม ห้าวหาญจนเขา----

ชอบมันมากจริงๆ!

หญิงสาวในใต้หล้านี้ ต้องรักอย่างกล้าหาญและเกลียดชังอย่างกล้าหาญเช่นนี้ ต้องห้าวหาญเช่นนี้แหละ ถึงจะไม่เหมือนท่านแม่ของเขา ที่มีจุดจบเช่นนั้น

จู่ๆโหลชีก็รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมอง ไม่พลาดความเจ็บปวดที่แวบผ่านในดวงตาของโหลฮ่วนเทียน นางขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอารมณ์ความรู้สึกของนายน้อยตระกูลโหลคนนี้ ถึงสามารถส่งผลกระทบต่อนางได้ ทำให้เวลานี้ในใจของนางก็รู้สึกหดหู่ไม่สบายใจมาก

"นั่งลงคุยกันเถิด" นางหันกลับไปคว้าแขนของเฉินซ่า มองดูเขาครู่หนึ่ง

เฉินซ่าย่อมได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขาอยู่แล้ว นายน้อยตระกูลโหล จะมีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชีชีหรือไม่? หากไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ฝ่ามือของเขาตบออกไปนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เขายังมีโอกาสได้พูดอยู่อีก

"นายน้อยโหล คำถามเกี่ยวกับกระดิ่งลมนั่นคืออะไรกัน?" โหลชีไม่ใช่คนที่จะหลบเลี่ยงคำถามและหนีปัญหา ถึงแม้นางจะไม่ได้กระตือรือร้นในการค้นหาความลับเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเอง บางครั้งยังถึงขั้นละเลยข้อมูลบางอย่างด้วยซ้ำ แต่เมื่อนางได้พบกับคนที่สามารถไขปริศนาที่สำคัญเข้าจริงๆ นางไม่มีวันหลบเลี่ยงไปเด็ดขาด

"นั่นคือกระดิ่งลมขนนกขาว" โหลฮ่วนเทียนมองไปที่ดวงตาของนาง จู่ๆสติก็ล่องลอยไปเล็กน้อย "กระดิ่งลมขนนกขาว คือสิ่งที่ท่านแม่ข้าทำเพื่อน้องสาวกับมือของตนเอง"

"นี่ไม่ใช่กระดิ่งลมธรรมดาหรือ?" โหลชีตะลึงงัน

โหลฮ่วนเทียนกล่าว: "ไม่ใช่อยู่แล้ว" เขามองดูนาง กล่าวว่า: "ท่านแม่ข้าคือเผ่านักเวทย์"

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ไม่เพียงแค่โหลชี แม้แต่เฉินซ่าก็ตึงเครียดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว สายตาที่แหลมคมราวกับธนูแหลม ฟึ่บๆๆยิงไปทางเขาอีกทันที

โหลชีเหมือนโดนฟ้าผ่า ช็อกมากเลย

นางมีลางสังหรณ์ เป็นไปได้ว่าโหลฮ่วนเทียนคนนี้อาจมีเกี่ยวข้องกับนางทางสายเลือด เพราะในตอนนั้นที่นางใช้คำสาปเลือดดวงชะตาในหุบเขามาร ท่านจินเคยกล่าวไว้ว่า ฝึกคำสาปเลือดดวงชะตาสำเร็จได้ ต้องเป็นคนของตระกูลโหลไม่ผิดแน่ นางคิดมาตลอดว่าตระกูลโหลจะห่างไกลจากนาง เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นตระกูลใหญ่ที่แทบจะตัดขาดจากทางโลก และดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกับนางเลย แต่ใครจะไปคิดว่า ตอนนี้นายน้อยตระกูลโหลจะมาปรากฏตัวต่อหน้านาง

แต่ว่า หากนับญาติก็จะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเฉินซ่า ทำให้พวกเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เช่นนั้นนางก็ไม่ยินดีอย่างแน่นอน นางเกลียดช่วงแย่ๆแบบนี้ที่สุด

นางยังไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่นี่ ท่านอริยะมนต์ที่เขาจะฆ่านั่น ก็คือคนของเผ่านักเวทย์

เพิ่งหันไปมองเฉินซ่า ก็สบตาเข้ากับสายตาลึกล้ำกับเฉินซ่าเข้าพอดี

"ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามไม่ให้เจ้าคิดอะไรเหลวไหล?" เขาส่งกระแสจิตให้นาง น้ำเสียงแฝงด้วยความโกรธเล็กน้อย "ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นลูกสาวแท้ๆของท่านอริยะมนต์ คนที่ขุดสุสานพ่อแม่ข้าก็ไม่ใช่เจ้า! เจ้าจำเอาไว้นะ หากพ่อแม่ข้าก็เป็นศัตรูของพ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้า หากเจ้ากล้าเลือกพวกเขาแล้วทิ้งข้าไป ฮึ"

แม่งเอ้ย ช่างเผด็จการจริงๆ

แต่ว่าทำไมนางถึงชอบมากมายขนาดนี้

อย่าว่าแต่บุญคุณความแค้นของรุ่นก่อนไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย พูดถึงแค่ว่าพวกเขาล้วนไม่ได้เติบโตออกมาจากบ้าน ไม่เคยมีความผูกพันและความเกลียดชังเลยจะยัดเยียดเข้ามาในใจให้พวกเขากลางทางโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ นั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เห็นว่านางดูเหมือนจะเหม่อลอยเล็กน้อย โหลฮ่วนเทียนถึงได้ตอบสนองกลับมา กล่าวเสริมว่า: "แต่ว่าท่านแม่ของข้าแยกตัวออกจากเผ่านักเวทย์นานแล้ว"

โหลชีกลอกตาใส่เขาทันที "นายน้อย เราคุยกันแบบไม่ต้องหยุดหลายครั้งดีไหม?"

โหลฮ่วนเทียนชะงักงัน

"พูดต่อไป" เฉินซ่ากล่าว

"กระดิ่งลมขนนกขาว ตอนที่ท่านแม่ข้าทำมันได้ใส่วิชามนต์ขาวลงไปเล็กน้อย" เขามองไปทางโหลชี ราวกับกลัวเล็กน้อยว่าโหลชีจะเข้าใจผิดคิดว่าคนของเผ่านักเวทย์ล้วนเป็นคนชั่วร้าย กล่าวอธิบายว่า: "เมื่อร้อยปีก่อนเผ่านักเวทย์ก็แยกออกเป็นมนต์ขาวกับมนต์ดำสองฝ่ายแล้ว มนต์ดำก็คืออริยะมนต์ที่ก่อนหน้านี้พวกท่านพบที่นี่ เขาเป็นท่านอริยะของเผ่ามนต์ดำ" พูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกโมโหมาก ก่อนหน้านี้หากเขารู้แต่แรก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะทนดูนางสู้กับตาแก่หนังเหนียวอริยะมนต์นั่นได้?

เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้เขายังถึงขั้นลากตัวองครักษ์ลับทั้งหลายออกมา พนันผลแพ้ชนะของห้องกาญจนนี้ แถมยังชนะเดิมพันเป็นทองคำสิบกว่าตำลึง ใบหน้าของโหลฮ่วนเทียนก็แดงขึ้นมาเล็กน้อยทันที

โหลชีหรี่ตาลงเล็กน้อย: "นายน้อยโหลทำไมถึงเหมือนคนที่ทำความผิดมาเลยล่ะ?"

"ไม่มีเรื่องเช่นนั้น!" โหลฮ่วนเทียนเหงื่อเย็นไหลท่วมตัวในทันที รีบเก็บความคิดพวกนั้น กล่าวต่อไปว่า: "ท่านแม่เป็นคนเผ่ามนต์ขาว คาถาของมนต์ขาวส่วนใหญ่เป็นการปลอบประโลมจิตวิญญาณ มีผลทางการรักษาอาการบาดเจ็บช่วยให้ผ่อนคลายอะไรทำนองนั้น ดังนั้นจึงอ่อนแอกว่าเผ่ามนต์ดำมาตลอด ตอนนั้นเผ่ามนต์ขาวมีอริยะมนต์ผู้ขี้ขลาดคนหนึ่ง ในตอนที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกับเผ่ามนต์ดำครั้งหนึ่ง เขาคิดจะใช้วิธีอุทิศหญิงสาวที่สวยที่สุดในเผ่ามนต์ขาวให้กับปรมาจารย์ที่ได้รับการนับถือของเผ่ามนต์ดำ เพื่อแลกกับความสงบสุขชั่วคราว ท่านแม่ของข้าก็คือหญิงสาวของเผ่ามนต์ขาวที่ถูกเลือกคนนั้น"

โหลชีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายที่ตึงเครียดของเฉินซ่าคลายลงเล็กน้อย รู้สึกโล่งในใจ ถึงแม้จะบอกว่าไม่สนใจ หากมีความขัดแย้งและเกลียดชังกันระหว่างพ่อแม่ทั้งสองคนจริงๆ มากน้อยก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกอยู่แล้ว

ถึงแม้จะรู้สึกว่าโหลฮ่วนเทียนพูดเกี่ยวกับเรื่องแม่ของเขามากจนเกินไป แต่ไม่รู้ว่าทำไม นางยินดีจะฟังเรื่องราวของหญิงสาวจากเผ่ามนต์ขาวคนนั้น

เรื่องราวต่อจากนั้นความจริงมันธรรมดามาก

หญิงสาวของเผ่ามนต์ขาวที่เลือกมาจากหนึ่งในร้อยก็ต้องงดงามมากอยู่แล้ว นางไม่เต็มใจที่จะถูกอุทิศให้แก่อริยะมนต์ของเผ่ามนต์ดำราวกับสิ่งบูชายัญ ดังนั้นก็เลยหนีออกมา หลังจากที่หนีออกมาแล้วก็พบกับนายน้อยของตระกูลโหลในตอนนั้น ทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน และนางก็ตามเขากลับไปตระกูลโหล ไปเป็นฮูหยินน้อยโหล

แน่นอนว่า หญิงสาวที่หนีออกมาจากเผ่ามนต์ขาวคนนั้นจะกลายเป็นฮูหยินของนายน้อยตระกูลโหล ในนี้ต้องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นอยู่แล้ว ถึงแม้สุดท้ายนางจะทำสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจบลง คนมากมายในตระกูลโหลต้องการจะแยกพวกเขาออกจากกัน มีผู้หญิงที่รอจะปีนขึ้นไปบนเตียงของสามีนางด้วยตัวเองมากมาย

"ตอนที่ท่านแม่คลอดน้องสาวข้าท้องฟ้าแสดงความเป็นมงคล เหล่าไท่จวินบอกว่า หลังจากที่เติบโตแล้วน้องสาวของข้าจะเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ถึงขั้นสามารถนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลโหล" กล่าวถึงตรงนี้จู่ๆโหลฮ่วนเทียนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

โหลชีมองไปที่รอยยิ้มเล็กน้อยนั่นของเขา ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกหน่วงๆที่ปลายจมูกเล็กน้อย น้ำเสียงอดที่จะประชดประชันเล็กน้อยไม่ได้ "ตระกูลโหลส่องสว่างอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ยังจำเป็นต้องให้ผู้หญิงตัวเล็กๆไปสร้างความรุ่งโรจน์แก่วงศ์ตระกูลเป็นเกียรติต่อบรรพบุรุษอีก?"

โหลฮ่วนเทียนส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: "ไม่ ในความเป็นจริง ตระกูลโหลเริ่มสั่นคลอนมานานแล้ว สำหรับคนในโลกทางฝั่งนี้แล้ว ย่อมเป็นตระกูลใหญ่ที่ตัดขาดจากโลกที่ทรงพลังอยู่แล้ว แต่เจ้าต้องรู้ด้วยว่า บนโลกใบนี้ ตราบใดที่มีคนอยู่ ไม่มีอะไรที่จะสามารถตัดขาดจากโลกซ่อนเร้นจากโลกจริงๆหรอก ฝังโน้น ก็มีอีกใต้หล้าหนึ่งเช่นกัน ที่นั่นตระกูลโหลต้องค้ำยันภาพลักษณ์รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ และค้ำยันอย่างยากลำบากมาก"

"แต่ไม่ว่าอย่างไร สำหรับเรื่องที่น้องสาวได้รับความสำคัญจากตระกูลท่านแม่ก็ดีใจมาก นางไม่ได้คิดว่าจะอาศัยน้องสาวเพื่อให้ได้อยู่ดีกินดีในตระกูลโหลอย่างไรหรอก แต่แค่รู้สึกว่า ตระกูลให้ความสำคัญกับน้องสาว ต่อไปนางก็จะได้ฝึกวรยุทธที่สืบทอดภายในของตระกูล จะได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุด เมื่อโตขึ้นถึงเวลาแต่งงาน ตระกูลก็จะเลือกคู่ครองที่คู่ควรเหมาะสมให้กับนาง ไม่ให้นางลำบาก"

"ข้าเองก็ชอบน้องสาวมาก รู้สึกว่านางสวยมาก แก้มอมชมพูนุ่มนิ่ม ข้าไปหยิกแก้มเล็กของนางทุกวันเลย หลังจากที่นางหัดเดินจนเป็นแล้วก็พานางออกไปเล่นทุกวัน"

โหลชีกระตุกมุมปาก นายน้อย ความรักที่มีต่อน้องสาวของท่านอาศัยการหยิกหน้านางเป็นการแสดงออกหรือ?

"แต่ว่า ไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวถึงนอนหลับได้ค่อยดีมาตลอด ดังนั้นท่านแม่ก็เลยทำกระดิ่งลมขนนกขาวให้นางกับมืออันหนึ่ง แขวนเอาไว้ในห้องของนาง กระดิ่งลมนี้บวกกับพลังมนต์ มีผลทำให้จิตใจสงบ ผลลัพธ์ดีมาก ใครจะรู้ว่าตอนที่น้องสาวอายุได้ขวบครึ่ง จู่ๆในบ้านก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คนในตระกูลตายไปมากมาย ท่านแม่ก็ถูกจับขัง น้องสาวก็หายตัวไป หาไม่เจออีกเลย"

ในที่สุดโหลฮ่วนเทียนก็พูดตอนย่อยที่แยกออกจากกัน สายตาที่สับสนเล็กน้อยมองไปทางโหลชี "ข้าสาบานไว้ว่า จะต้องตามหาน้องสาวกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร กระดิ่งลมขนนกขาวมีความพิเศษ น้องสาวฟังไปปีครึ่ง ถึงแม้ตอนนั้นจะยังเด็กมาก ก็จะรู้สึกถึงความคุ้นเคยตามจิตใต้สำนึกเช่นกัน" จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา ดวงตาค่อยๆแดงขึ้นมา มองไปที่โหลชีอย่างมั่นใจ เสียงคล้ายกับถอนหายใจ: "แต่ไม่ใช่ได้ยินจากครรภ์มารดาแน่นอน"

บนหัวจดหมายเล็กๆนั่นของนางเขียนเอาไว้คือ บางทีอาจจะเคยได้ยินมาจากครรภ์มารดา

ตอนนั้นเฉินซ่าก็เหลือบมองไปครู่หนึ่งเช่นกัน ย่อมรู้อยู่แล้วว่านางเขียนว่าอะไร

ความหมายของโหลฮ่วนเทียนชัดเจนมากอยู่แล้ว เขารู้สึกว่า โหลชีก็คือน้องสาวของเขา น้องสาวที่หายตัวไปตอนขวบครึ่งคนนั้น

ก่อนที่พวกเขาจะมาที่ตึกบุษบาพันธ์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้

โหลชีกำมือของเฉินซ่าเอาไว้แน่นโดยสัญชาตญาณ เสียงแหบแห้งเล็กน้อย: "น้องสาวท่านหายตัวไปตอนอายุขวบครึ่ง น่าจะตั้งชื่อแล้วใช่ไหม?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ