ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 316

วันนี้โหลชีเจอนางฟ้าเมิ่งปี้แล้วรู้สึกว่าใบหน้านางแปลกพิกล เพราะสีหน้าดูแข็งกระด้าง ผิวหน้าเหมือนพึ่งทำการผ่าตัดดึงหน้าสำเร็จ มองแวบแรกไม่มีอะไรไม่ถูก แต่เจ้าจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนผิวหน้าดูตึงเป็นพิเศษ

นางคิดว่าถ้าใบหน้าอ่อนเยาว์แต่เกิดมันไม่ใช่แบบนี้

จากนั้นในขณะเดียวกันกับที่เมื่อกี้นางใช้วิชาลับโจมตีทุกคนในเวลาเดียวกันนั้น เฉินซ่าบอกนางว่า เจ้าสำนักเขาปี้เซียนคนก่อนก่อนฝึกวิชาลับชนิดหนึ่ง พอฝึกสำเร็จไม่เพียงวิทยายุทธ์เพิ่มพูนจนน่าตกใจ ยังจะอ่อนเยาว์ขึ้นหลายเท่า

นางรู้สึกว่านางฟ้าเมิ่งปี้นี่เห็นได้ชัดว่าฝึกวิชาลับได้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นถึงวิทยายุทธ์จะแรงกล้าขึ้นมาก อ่อนเยาว์ขึ้นมาก แต่กลับดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือพูดอีกอย่างคือ วิชาลับของนางน่ะไม่ได้ดีเลย

เสี่ยวโฉวพูดไม่ออก กระซิบเสียงเบาว่า "คุณหนู จิ่งเมิ่งน่าจะอายุพอๆกับข้า ท่านเอาแต่เรียกนางว่ายายเฒ่า ข้าเองมิกลายเป็นยายเฒ่าไปด้วยรึ?"

โหลชีถลึงตาใส่ "เจ้าคิดอย่างนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าน่ะผิวเนียนโดยธรรมชาติ นางนั่นน่ะยัยแก่หน้าตึง! เทียบกันไม่ได้หรอก"

"ยัยแก่หน้าตึง..." หลูต้าลี่ฟังคำเรียกนี้แล้วรู้สึกแปลกใจยิ่ง จึงใช้กระบอกเสียงอันใหญ่ของเขาตะโกนเรียกนางฟ้าเมิ่งปี้เสียหลายครั้ง "ยัยแก่หน้าตึงยัยแก่หน้าตึง!"

นางฟ้าเมิ่งปี้โกรธจนหน้าเขียว กระบี่ในมือชี้ไปทางโหลชี "ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!" พูดพลางจะพุ่งไปหาโหลชี

เฉินซ่าขยับเท้า ปราดมาขวางหน้านางเอาไว้ พิชิตวันอยู่ในมือ พูดเสียงเย็นว่า "ลองดูว่าเจ้าจะผ่านไปได้หรือไม่!"

นางฟ้าเมิ่งปี้สะบัดกระบี่จะแทงเข้าไปที่หน้าอกเขา รังสีกระบี่เย็นเยียบนั่น ขนาดพวกเขาห่างกันไกลขนาดนี้ยังสัมผัสได้

จิ่งหยาวร้องอย่างตกใจขึ้นมาว่า "ท่านอา อย่าทำร้ายเขา!"

โหลชีตะโกนตาม "เฉินซ่า ฆ่านางเลย!"

จิ่งหยาวหันมาถลึงตาใส่นาง จึงเอามือป้องปากตะโกนว่า "ท่านอา ระวังตัวด้วย!"

โหลชีก็ป้องสองมือที่ปากตะโกนว่า "เฉินซ่า สู้ๆ แย่งกระบี่มาให้ได้! ครั้งหน้าเอาไปแทงปลากัน!"

เดิมทุกคนเห็นทั้งสองคน กระบวนท่าแต่ละท่าล้วนแต่น่าตกใจ รังสีกระบี่เย็นเยียบ ต่างหวาดหวั่นไปตามๆกัน สุดท้ายพอเห็นโหลชีตะโกนอย่างเมามัน ทำเอาสถานการณ์ดูยุ่งอลวน

จิ่งหยาวถลึงตาใส่โหลชีด้วยความโกรธ "เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?"

โหลชียักไหล่บอก "จะให้เจ้าตะโกนคนเดียวได้ยังไง หมดสนุกกันพอดี"

เยว่ไอค่อกแค่ก "ท่านเป็นพระสนม..." ปกติไม่เห็นท่านจะร้องเรียกสนุกสนามราวกับสาวน้อยอย่างนี้เลย

"ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาลงโทษแม่นางจิ่งหยาวที่ปีนเกลียวไม่เคารพผู้ใหญ่ดอก" โหลชีพูดอย่างใจกว้าง

เยว่ "..."

จิ่งหยาว "...."

"เหอะเหอะ หรือว่าพระสนมคิดว่าฝ่าบาทต้องชนะแน่? บัดนี้นางฟ้าเมิ่งปี้มีอาวุธวิเศษอยู่ในมือนะ" ยู่ไท่จื่อหัวเราะพลางถาม

โหลชีถามอย่างจริงจังว่า "ยู่ไท่จื่อเคยได้ยินคำพูดหนึ่งหรือไม่?"

"อะไร?"

ไม่เพียงยู่ไท่จื่อ ทุกคนในที่นั้นล้วนมองนางกันหมด อย่างน้อยจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ดูไม่ออกว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ นางเอาความมั่นใจมากมายเพียงนี้มาจากไหนกัน?

"ใครไม่ยอม มาพนันกันสิ" โหลชีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "ข้าพนันเฉินซ่าชนะ เจ้าล่ะ?"

แทบเป็นลม

ใครไม่ยอม มาพนันกันสิ?

เป่ยฝูหรงพูดอะไรไม่ออก "แม่นางโหล ตอนนี้เจ้ามีแก่ใจเอาฝ่าบามมาพนันรึ?"

โหลชีบอก "ทำไมไม่มีล่ะ เพียงแต่พวกเจ้าไม่กล้าพนันเท่านั้น" โหลชีหน่ายใจมาก หลงเอี๋ยนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดพอเห็นท่าทางเสียดายของนาง เกือบหลุดหัวเราะออกมา

การพนันที่เปิดขึ้นในคืนนั้น ไม่เพียงทำให้ตึกบุษบาพันธ์ได้กำไรมหาศาล ตัวนางเองยังได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ นี่คือติดใจแล้วรึ?"

"อ๊า!"

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ทุกคนพากันหันไปมอง พอเห็นก็ตกใจนัก

เห็นนางฟ้าเมิ่งปี้แทงกระบี่เข้าด้านหลังศพหนึ่ง ใครจะรู้ว่าผู้นั้นเพียงบาดเจ็บสาหัสสลบไป พอโดนนางแทงกระบี่ทะลุหัวใจ ก็ตายคาที่เลย สีหน้านางฟ้าเมิ่งปี้กลับมีรอยยิ้มประหลาด ใช้กระบี่ตวัดศพนั้นไปทางเฉินซ่า

ในตอนที่เฉินซ่าจะถอยหลบ นางกลับโผเข้าหา กำกระบี่ไว้มั่นจะฟันลงไป จนศพนั่นถูกฟันเป็นสองท่อน เลือดสดสาดกระเซ็น เลือดบางส่วนกระเด็นโดนเฉินซ่า

นางฟ้าเมิ่งปี้หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที "เฉินซ่า รสชาติเป็นเยี่ยงไรเล่า?!"

ทุกคนพากันตกใจพูดอะไรไม่ออกกับฉากเลือดสาดนี่ ขนาดเหล่าศิษย์เขาปี้เซียนทั้งหลายยังมีสีหน้าตกใจ บางคนสั่นสะท้านบอก "เมื่อก่อนเจ้าสำนักมิใช่อย่างนี้..."

นางฟ้าเมิ่งปี้ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนนานแล้ว แต่เมื่อก่อนนางมิได้ดุร้ายบ้าเลือดเยี่ยงนี้!

"กระบี่ กระบี่เล่มนั้น..."

ผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ นางฟ้าเมิ่งปี้พลันกระอักเลือดคำโตออกมา ลมปราณทั่วร่างเหมือนโดนสูบออกไปกว่าครึ่ง สีหน้าซีดเผือด ดวงตายิ่งแดงก่ำกว่าเดิม

กระบี่นั่น...

สีหน้ายู่ไท่จื่อเริ่มเขียว "กระบี่นั่นจะดูดซับวิทยายุทธ์ของผู้ถือกระบี่!"

สวรรค์...

นี่ยังเรียกอาวุธวิเศษได้รึ? นี่ต้องเรียกของมารแล้วกระมัง...

สีหน้าเป่ยฝูหรงยิ่งแย่นัก นี่เป็นของที่ออกจากเป่ยชางของนาง ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ที่นางจัดตั้งขึ้น กลับมีผลเช่นนี้ หากไม่จัดการให้ดีอีกนางยากจะรอดพ้นความผิดได้

"กระบี่นี้เป็นกระบี่มาร พวกเราต้องแย่งมันมา แล้วทำลายซะ..."

เซียวหั่วที่ตะลึงอึ้งงันได้สติกลับมา รีบร้องบอก "ไม่ไม่ไม่ องค์หญิงใหญ่ กระบี่นี้มิใช่กระบี่มาร! มันเป็นอาวุธวิเศษ อาวุธวิเศษจริงๆ! ตอนนี้เพียงแค่จิตวิญญาณกระบี่หายไป ขอเพียงหาสิ่งที่สามารถมาสร้างจิตวิญญาณกระบี่ได้ มันก็จะเป็นอาวุธวิเศษอย่างถ่องแท้เล่มหนึ่งเลย!"

"แต่ตอนนี้ใครเล่าจะกล้าเข้าไปแย่ง?" เป่ยฝูหรงกัดฟันกรอด หากมิใช่เขามิได้พบเจอปัญหาทันท่วงทีที่สร้างกระบี่นี้ออกมา นางมีหรือจะตกอยู่ในสภาพนี้?

"ท่านอา!" จิ่งหยาวเห็นนางฟ้าเมิ่งปี้หลังพิงต้นไม้ แต่ยังพยายามใช้กระบี่นั่นที่สองมือกุมไว้ชี้ไปที่เฉินซ่าที่ยืนด้านหน้า วิ่งเข้าไปหา เฉินซ่าประกายตาสั่นไหว เอียงตัวให้นางเข้า ประกายกระบี่ฉายขึ้น จิ่งหยาวล้มกลิ้งกับพื้นอย่างน่าอนาถ หลบหลีกการโจมตีของนางฟ้าเมิ่งปี้ได้ทันเฉียดฉิว หากมิใช่เพราะนางถูกดูดลมปราณไปกว่าครึ่ง กระบี่นั่นคงปาดท้องของจิ่งหยาวจนไส้ทะลักแน่

สายตานางฟ้าเมิ่งปี้ใสกระจ่างฉับพลัน เรียกจิ่งหยาวเสียงสะท้าน

ในตอนนี้เอง เฉินซ่าผันร่างขึ้นหน้า ซัดฝ่ามือใส่กล้ามเนื้อระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของนาง นางฟ้าเมิ่งปี้คลายมือออกอย่างควบคุมไม่อยู่ เฉินซ่าสะบัดมือ กุมกระบี่เล่มนั้นไว้

ทุกคนแทบจะกลั้นหายใจพร้อมกัน เพ่งมองเฉินซ่า พวกเขารอดูดวงตาของเขาโดนจิตวิญญาณกระบี่เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน

โหลชีผลุนร่างไปยืนข้างเฉินซ่า ยัดมือตนใส่มือซ้ายเขา เฉินซ่ากุมมือนางแน่นทันที

"กระบี่เล่มนี้ สามารถเพิ่มพูนความบ้าคลั่งและดุร้ายของส่วนลึกในใจคนแล้วส่งมันออกมาได้" อันที่จริงโหลชีกังวลอยู่บ้าง เพราะเจ้าหมอนี่เป็นเจ้าอาวุธทำลายล้างนี่นา นี่คงไม่ใช่จะเปลี่ยนเป็นราชาเจ้าอาวุธทำลายล้างหรอกนะ? "ท่านลองดูสิว่าควบคุมได้หรือไม่..."

จากนั้นนางพบว่า ในตอนที่นางพูดนั้น นอกจากตัวพวกเขาสองคนแล้ว คนอื่น รวมถึงยู่ไท่ตื่อและเป่ยฝูหรงต่างพากันถอยกรูดห่างไปไกลสิบกว่าก้าว

เฉินซ่าเป็นเจ้าอาวุธทำลายล้าง ดูท่าคนพวกนี้จะรู้ดี!

บัดนี้กระบี่ตกอยู่ในมือเขา ถ้าเกิดเขาโดนกระบี่ควบคุม ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา บวกกับอานุภาพกระบี่นี่ คนมากมายขนาดนี้ยังไม่พอเขาฆ่าเลย

"ชีชี"

เฉินซ่ากลับเรียกชื่อนางเสียงต่ำ

โหลชีอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกว่านี่เป็นครั้งหนึ่งที่ตลอดระยะเวลานานขนาดนี้เฉินซ่าเรียกชื่อนางได้อบอุ่นที่สุดเลย หัวใจของนางอ่อนยวบลงมาเพราะการเรียกชื่ออันสั่นไหวและทุ้มต่ำของเขานี่แหละ

นางเงยหน้าขึ้นมองเขา

"สิ่งที่สามารถทำให้ข้าเป็นมารได้ มีเพียงเจ้าเท่านั้น" เขาพูดจบ ข้อมือขวาสะบัด ใส่พลังลงไปในกระบี่ยาวสั่นไหวและหนักอึ้ง ประกายแสงที่เกิดฉับพลันนั้นแทบทำให้ทุกคนลืมตาไม่ขึ้น

คมกระบี่ชี้ไปที่พื้น ผ่านไปสักพักถึงสงบลง และค่อยๆคลายประกายแสง

โหลชียังไม่คืนสติจากประโยคที่เขาพึ่งพูดเมื่อครู่ คนอื่นกลับมองเฉินซ่าอย่างตะลึง

สายตาเขาทุ้มลึก ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา เขายังคงเป็นเขา

"ฝ่าบาท ท่านมิได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึ?" เป่ยฝูหรงถามอย่างตะลึง

เฉินซ่าปรายตามองไป "กระบี่เล่มนี้เป็นของข้าแล้วกระมัง"

ไม่ ไม่ เขาไม่โดนผลกระทบอะไรเลย!

พวกเยว่กับตู้เหวินฮุ่ยเฉิงสิบอดร้องเฮขึ้นไม่ได้ "ฝ่าบาทจงเจริญ!"

เซียวหั่วสามพ่อลูกถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน นั่งแผ่หลากับพื้น

....

ลมพริ้มไหว ท้องฟ้าสูงและเมฆใส ดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง

จวนตระกูลเซียว เซียวหั่วถือตั๋วเงินหนึ่งปึกในมือ หัวใจที่หิ้วสูงหวาดหวั่นมาหลายวันในที่สุดก็วางลงได้สักที

"ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทพั่วอวี้จะให้คนส่งตั๋วเงินมา ข้ายังคิดว่ากระบี่นั่นคงเหมือนครั้งก่อนๆที่พวกเราส่งเข้าราชวงศ์ไปเปล่าๆเสียอีก" เซียวชงพูด

"ข่าวลือว่าฝ่าบาทพั่วอวี้ช่างโหดร้ายไร้หัวใจ ได้เจอครั้งนี้ ไม่เหมือนกับข่าวลือเลย มิเช่นนั้นเหตุใดกระบี่นั่นจึงมิอาจกระตุ้นความดุร้ายในหัวใจเขาได้เล่า?" เซียวหั่วถอนหายใจ

เซียวชงพยักหน้า "อีกอย่าง ฝ่าบาทดีกับพระสนมยิ่งนัก... ท่านพี่ ท่านเหม่อลอยอะไรนั่น?" เซียวชงกระทุ้งเซียวฉิงด้วยข้อศอก

เขาหันไปทางเซียวหั่ว "ท่านพ่อ ท่านกับคุณ...พระสนมพูดเรื่องซ่อมจิตวิญญาณกระบี่อย่างไรแล้วหรือไม่?"

เซียวหั่วมองเขาพลางว่า "พูดแล้ว เพียงแต่จะหาของสองอย่างนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย"

ตอนนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าออกจากเมือง มุ่งหน้าไปทางตงชิงอย่างไม่รีบไม่ร้อน

รถม้าคันหนึ่งด้านหน้า เฉิงสิบทำหน้าที่สารถีรถ เยว่นั่งข้างเขา ถามถึงเรื่องที่เขาประสบมาที่หุบเขามารเป็นระยะ พอได้ยินว่าพวกเขาเกือบตายหลายครั้ง ตอนได้ยินถึงความน่ากลัวนั่นของหนอนดอกเมฆ เยว่ก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัว

ในอดีตยามเฉิงสิบเคยพูดถึงน่าหลานฮั่วซินมักจะชื่นชมเลื่อมใสยิ่ง ยามนี้เขาพูดถึงน่าหลานฮั่วซินกลับเคียดแค้นถึงขีดสุด

ในรถม้า เฉินซ่าหันหาโหลชี "ครั้งหน้า ข้าจะฆ่านางเอง" คืนนั้นโหลชีไม่ได้พูดเรื่องน่าหลานฮั่วซินมากนัก ตอนนี้ได้ฟังเฉิงสิบพูดอย่างชัดเจน

เฉินซ่าบังเกิดความอยากฆ่ามากนัก

โหลชีกำลังจะพูด จู่ๆก็ได้ยินเฉิงสิบหยุดรถม้าฉับพลัน นางพุ่งไปข้างหน้า โผเข้าอ้อมกอดเฉินซ่าพอดี

"เจ้านี่เป็นยังไงนะ? พุ่งออกมาแบบนี้ เจ้าไม่กลัวโดนม้าเหยียบตายรึ" เฉิงสิบได้ยินการเคลื่อนไหวในรถ กลัวโหลชีบาดเจ็บ พอร้อนใจเลยพูดจาวู่วามกว่าปกติ

เมื่อครู่คนผู้นั้นควบม้ากระโดดออกมา ขวางกั้นหน้ารถม้าเขาพอดี

"ข้าน้อยสือเหล่ย ขอเข้าพบฝ่าบาทพระสนม" คนผู้นั้นพลิกตัวลงจากหลังม้า โผล่มาที่หน้ารถม้า ยื่นมือจะขึ้นรถม้า

คืนนั้นพวกเขามิได้ตามไปตึกบุษบาพันธ์ ดังนั้นเลยไม่รู้จักสือเหล่ย เฉินซ่ายื่นมือเปิดผ้าม่านรถขึ้น เหล่ไปทางสือเหล่ย

"ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขอพระองค์โปรดช่วยด้วย!"

สือเหล่ยยกกระบอกไม้ไผ่เล็กๆในมือขึ้น "หลายวันนี้ข้าน้อยส่งสาสน์นกพิราบกลับเผ่าเล่าเรื่องราวทั้งหมด หัวหน้าเผ่าบอกแล้ว หากฝ่าบาทพระสนมยอมช่วยเผ่าชักมังกรครั้งนี้ พวกเราจะรับปากทุกเรื่อง!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ