ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 318

มีลูกสามคนขึ้นไป...

ภาระหน้าที่ผลิตทายาท...

โหลชีได้ยินเฉินซ่าพูดอย่างนั้นก็อยู่ในสภาพสับสนอลหม่านตลอด

ดังนั้นเฉินซ่าต้องการน้ำพุวอเศษนั่นจริง และจะให้นางดื่มด้วย แถมยังให้ส่งมาทุกเดือน ทำไมนางรู้สึกเหมือนเป็นแม่พันธุ์ม้ารอท้องยังไงยังงั้น?

ไหนบอกพึ่งเริ่มรักกันไง?

เยว่และเฉิงสิบได้ยินคำพูดนี้ พวกเขามีความเห็นตรงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย รู้สึกว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททำถูกแล้ว การคิดไปไกลเยี่ยงนี้ควรจะต้องมี

เยว่ถึงกับถอนหายใจโล่งอก นั่งถกเรื่องนี้กับเฉิงสิบด้านนอก

"เดิมฝ่าบาทก็มิมีครอบครัว หากมีลูกน้อยอีกมันต้องไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยฝ่าบาทควรจะมีหนึ่งจักรพรรดินีสี่พระสนมแปดกุ้ยเหริน แล้วก็มีผินอีกสักสิบหกคน ต้องสืบลูกสืบหลานออกไป ชีวิตจะได้สมบูรณ์พูนสุขด้วยลูกหลาน แต่ถ้ามีพระสนมคนเดียว ถึงเวลานั้นราชวงศ์ก็ดูจะน้อยไปหน่อย ตอนนี้ฝ่าบาทมีความคิดเช่นนี้ ข้าวางใจละ มีองค์ชายสามคนขึ้นไปนับว่าดีมากแล้ว แน่นอน มีองค์หญิงอีกสักสองคนจะยิ่งสมบูรณ์แบบ"

เฉิงสิบมั่นใจว่า "แม่นางต้องทำได้แน่"

ในรถม้า โหลชีคัดค้าน

เฉิงสิบ ความมั่นใจเต็มเปี่ยมนี่มันควรเอามาใช้ที่นี่รึ?

ต่อมาพวกโหลวซิ่นกับเสี่ยวโฉวรู้เรื่องนี้ขึ้น และเข้าร่วมการถกด้วย ผลลัพธ์ที่ถกออกมาได้คือ โหลชีดูแล้วแข็งแรงขนาดนั้น มีลูกห้าคนได้แน่นอน!

หลังจากเฉินซ่าได้ยินคำถกเถียงของพวกเขา ก็มีสีหน้าพึงพอใจ

ห้าคน เขาว่ากำลังดี

ส่วนตัวต้นเรื่องโหลชีรู้สึกว่าโลกนี้พลันมืดมนชั่วร้าย มีลูกห้าคน ไม่สู้มีเพิ่มอีกคนให้ครบคู่ล่ะ?

...

หนึ่งวันหนึ่งคืน พวกเขาเจอเขตพื้นที่เผ่าชักมังกรตอนเช้าตรู่

แต่ด้านหน้าเป็นภูเขา มีหมอกคละคลุ้ง ดูไม่ออกเลยว่ามีทางให้ไป

"การที่เผ่าชักมังกรสามารถหลบหลีกโลกภายนอกได้ เหตุผลหนึ่งในนั้นที่ใหญ่ที่สุดคือค่ายกลนี้" สือเหล่ยควบม้ามาด้านหน้า หันกลับไปบอกเฉินซ่าและโหลชีที่เปิดผ้าม่านรถม้าออกมาดูสถานการณ์เบื้องหน้าว่า "ค่ายกลนี้ถูกวางไว้โดยผู้มีความสามารถของเขตหวงห้ามนั่น อันที่จริงแล้ว ที่นี่เป็นจุดที่บรรพบุรุษพวกเขาถึงแก่กรรม จากนั้นคนเผ่าชักมังกรถึงมาตรงนี้ บรรพบุรุษเปิดค่ายกลนี้ เห็นที่นี่ไม่มีคน ถึงพาคนในเผ่ามาหลบที่นี่"

ความหมายซ่อนไว้คือ ค่ายกลนี่ยากที่จะแก้ได้

เฉินซ่ามองหลายที ก่อนแนบมาใกล้หูโหลชี ถามเสียงต่ำว่า "ชีชีแก้ได้กระมัง?"

โหลชีพยักหน้า "ถึงจะยุ่งยากมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่ได้"

ถึงนางจะแก้ได้ แต่ต่อหน้านายท่าน ก็ต้องแกล้งทำไม่เข้าใจล่ะ

สือเหล่ยลอยตัวไปหักกิ่งไม้มาแปดท่อน และพุ่งออกปักแปดจุดกลางหมอก ไม่นาน หมอกหนาที่ขวางเบื้องหน้าก็พลันสลายตัวอย่างช้าๆ ปรากฏช่องว่างออกมาเบื้องหน้า ระหว่างนั้นมีทางเดียวประหนึ่งคูเมือง หากไม่ระวังเข้าไปกลางหมอก เป็นไปได้อย่างมากว่าจะตกลงไปตัวแหลกเหลวแน่

"ไปเถิด รถม้ายังไปได้อีกระยะหนึ่ง"

สือเหล่ยพาคนเข้าในเขตเผ่า พอถอนหายใจโล่งอกก็ยิ่งร้อนใจ

รถม้าสองคันและกลุ่มคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งพุ่งทะยานไปบนทางนั้น ด้านหน้าเป็นป่าหลากสี หลากสีคือต้นไม้และดอกไม้ ใบแดง ใบเหลือง ใบเขียว ต้นสนเขียวฟ้าหลากหลายชนิด รวมตัวกันเป็นภาพวาดอันงดงาม บวกกับไอหมอกคละคลุ้งภูเขา ดูแล้วประหนึ่งแดนสวรรค์

โหลชีอดไม่ไหวอุทานชมเชยว่า "ที่นี่งดงามนัก"

เฉินซ่ากลับสะดุ้งเฮือก เพ่งตามองบางจุดในป่าลึกทางนั้นเขม็ง

"ทำไมรึ?" โหลชีสัมผัสได้ และถามอย่างสงสัย

เฉินซ่ากุมมือนางไว้ พลางชี้ไปจุดจุดหนึ่ง "ดูตรงนั้น"

โหลชีหันมองตาม เห็นแค่ในส่วนลึกของป่านั้น มีไอหมอกสีดำระลอกหนึ่งพุ่งตรงขึ้นฟ้า

"นั่นคืออะไร?" โหลชีขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่านางจะเพ่งมองยังไง มันอยู่ไกลเกินไป แถมยังมีป่าขวางกั้น ทำให้มองได้ไม่ชัดเลย

เฉินซ่าพูดช้าๆว่า "มิรู้เพราะเหตุใดข้ารู้สึกคุ้นเคยนัก"

คุ้นเคย? คุ้นเคยกับไอหมอกสี่ดำนั่นน่ะนะ? โหลชีไม่เข้าใจคำพูดนี้เลย กำลังจะถาม รถม้าก็หยุดลง สือเหล่ยพูดขึ้น "ทางด้านหน้ามิอาจให้รถม้าขนาดใหญ่นี้ผ่านไปได้ ฝ่าบาทพระสนมต้องขี่ม้าไป แต่รถม้าจอดไว้ที่นี่ได้ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นเขตเผ่าชักมังกรแล้ว ค่ายกลนั้นมิมีผู้ใดเข้ามาแน่"

ทิ้งรถขี่ม้า พวกเขาไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว

ทุกคนพากันขี่ม้าทะยานตามสือเหล่ยไปราวหนึ่งก้านธูป และได้เห็นตึกเล็กเกือบร้อยเรือนร้อยเรียงอยู่ด้วยกันท่ามกลางป่าหลากสี มีป่าดอกท้อสีชมพูขวางกันพวกเขาเอาไว้ ระหว่างนั้นมีดอกท้อสีขาวแซม สวยงามจนทำให้คนคิดว่าหลงเข้ามาอยู่ในป่าดอกท้อ

สตรีมักต้านทานวิวงามเยี่ยงนี้ไม่ได้ที่สุด เสี่ยวโฉวเองยังอุทาน "หากสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็ดีเลย ที่แห่งนี้ช่างงดงามมากจริงๆ!"

จิ้งจอกม่วงกระโดดออกจากอ้อมแขนนาง วิ่งหายเข้าไปในป่าดอกท้อนั่น

"วู๊วู!" โหลชีร้องออกมา สือเหล่ยโบกมือพลางว่า " พระสนม มิเป็นไรดอก ที่นี่ปลอดภัยนัก มิมีผู้ใดทำร้ายจิ้งจอกม่วงได้ดอก"

โหลชีรู้ว่าการเร่งเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนคงทำจิ้งจอกม่วงเบื่อแย่ละ เลยปล่อยมันไป

ป่าดอกท้อมีถนนเส้นหนึ่งที่ทำถนนไว้ราบเรียบ สุดปลายทางมีคนวิ่งเข้ามา สือเหล่ยเพ่งมองร้องอย่างดีใจว่า "หัวหน้าเผ่าเรามาแล้ว"

คนที่ออกมาต้อนรับมีราวเจ็ดแปดคน ที่เดินอยู่ข้างหน้ามีสาวน้อยคนหนึ่งพยุงคนแก่ผมขาวโพลนมาคนหนึ่ง คนแก่นั่นอายุราวเจ็ดสิบกว่าปี ผมเผ้าขาวโพลน ถึงจะริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มหน้า แต่ดูแล้วขาวกว่า อ่อนวัยกว่าคนแก่ด้านนอก ใบหน้าไม่มีร่องรอยตีนกาอะไร

ดูท่าฤทธิ์น้ำชักมังกรของเผ่าชักมังกรจะไม่เลวจริงๆ เพียงแต่น้ำชักมังกรทำไมถึงไม่มีสรรพคุณคลอดง่ายด้วยล่ะ?

และคนพวกนั้นที่ตามเขามาก็ผิวขาวกว่าคนปกติทั่วไป โดยเฉพาะสาวน้อยคนนั้นที่พยุงเขามา ผิวขาวเสียยิ่งกว่าน้ำค้างแข็ง ดวงตาดำขลับราวนิลดำ ริมฝีปากแดงฟันขาว งดงามแผ่ซ่านรังสี

"เหล่ย เจ้าเชิญแขกมาแล้วใช่หรือไม่?"

"ใช่ หัวหน้าเผ่า!" สือเหล่ยลงจากม้าก่อน พวกเฉินซ่าลงตาม พวกคนที่ตามหัวหน้าเผ่าออกมาพากันเข้ามาช่วยพวกเขาจูงม้า

"แขกผู้มีเกียรติ โปรดช่วยพวกเราด้วย!" พอหัวหน้าเผ่าเห็นเฉินซ่า ก็ทำท่าจะคุกเข่าลงไปทันที สาวน้อยคนนั้นหันมองเฉินซ่าอย่างหวั่นๆ จะคุกเข่าลงไปด้วย

เฉินซ่ายื่นมือทำท่ายก พวกเขาพลันรู้สึกว่ามีพลังหนึ่งรั้งเข่าพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาคุกเข่าลงไปไม่ได้

"มิจำเป็นต้องคารวะใหญ่เพียงนี้" เฉินซ่าพูดเสียงเบา

"ได้ยินท่านอาเหล่ยบอก ท่านเป็นคนภายนอกที่ร้ายกาจยิ่ง?" ถึงสาวน้อยนั่นจะหวั่นๆ แต่ยังคงมองเฉินซ่าพลางถามออกมา

เฉินซ่ากลับไม่ตอบคำนาง

สาวน้อยพลันหน้าแดง กัดปากแน่น

โหลชีกระทุ้งเขาเล็กน้อย ส่งกระแสจิตบอก "ทำไมไม่สนใจสาวน้อยเล่า?" สาวน้อยนั่นอายุราวสิบห้า หน้าตางดงาม รูปร่างแน่งน้อยอรชร ชุดขาวชมพูทำให้ดูราวกับดอกท้อสีขาวท่ามกลางป่าดอกท้อนั่น ในสถานการณ์ปกติแล้ว ไม่ควรจะมีบุรุษใดทนไม่สนใจนางไหวสิ

เฉินซ่าส่งกระแสจิตกลับมา "ต่อไป สตรีอื่นยกให้เจ้ารับมือ มิเช่นนั้นจะมีคนเอะอะก็อ้างว่าข้ามีสัมพันธ์กับผู้อื่นมาฆ่าคน"

โหลชี "..."

นี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดไหนเนี่ย ยังจำคำพูดนางตอนนั้นได้จนถึงตอนนี้เลยหรือไง

สือเหล่ยรีบบอก "เสี่ยวจิ่น นี่คือฝ่าบาทพั่วอวี้และพระสนม ห้ามเสียมารยาท"

เสี่ยวจิ่นนั่นเหมือนพึ่งเห็นโหลชี นางอึ้งไปครู่ก่อนโพล่งว่า "พี่สาวช่างงามนัก"

โหลชีเองไม่ได้สังเกต หลังจากผ่านหุบเทพมารครั้งนั้น นางได้กินผลไม้ทิพย์เปลือกเขียวนั่นเข้าไป ยังมีทำลายคำสาปเลือดดวงชะตานั่นอีก ผิวนางมักจะส่องประกายมันวาวออกมา ดวงตายิ่งทุ้มดำ ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูงดงามกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน

ตอนที่เจอกับเฉินซ่าครั้งแรก เฉินซ่ารู้สึกว่าใบหน้านางดงาม แต่ยังไม่ถือว่าเทียบชั้นกับเหล่าสาวงามเลื่องชื่อในใต้หล้านั่นที่เขาเคยเห็น ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว หากตอนนั้นใบหน้างามของโหลชีได้แปดคะแนน ตอนนี้งดงามถึงเก้าคะแนนครึ่งแล้ว

และตอนนี้น่าจะเป็นช่วงอายุที่สวยที่สุดในชีวิตสาวน้อยคนหนึ่ง ไม่เดียงสา แต่ก็ไม่แก่เกินวัย

โหลชีรู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้หน้าตางดงาม แต่ไม่คิดว่าในสายตาสือเสี่ยวจิ่น นางถึงจะเป็นสาวงาม

แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของนาง เฉินซ่ามองนางอย่างพึงพอใจ สาวน้อยนี่ ตาช่างมีแววนัก

"เจ้าเองก็งามนัก" โหลชียิ้มให้นาง สือเสี่ยวจิ่นได้ยินดังนั้นหน้าแดงเรื่อ นางหน้าแดงง่ายนัก

"ฝ่าบาท พระสนม ขอเชิญเข้าไปพูดกันด้านในเถิด" หัวหน้าเผ่าดูร้อนใจนัก พาพวกเขาเข้าไปในตึกเล็ก และเชิญพวกเขานั่ง จากนั้นมีสตรีที่แต่งงานแล้วยกน้ำร้อนๆมาให้พวกเขาทั้งหมด น้ำนั้นใสกระจ่างมาก ในนั้นมีดอกท้อหนึ่งดอกลอยอยู่ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ

"แขกผู้มีเกียรติ นี่คือน้ำชักมังกรใส่ผลดอกไม้ที่ได้ออกดอกครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า และทำให้สมองผ่อนคลาย แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยนักแล้ว ขอเชิญดื่มน้ำดอกชักมังกร" หัวหน้าเผ่าบอก

โหลชีได้ยินถึงประโยชน์ของน้ำชักมังกรนี่มาตลอด บวกกับเห็นพวกเขาแต่ละคนผิวขาวราวหิมะ แน่นอนว่าไม่เกรงใจละ ยกน้ำขึ้นดื่มเสียหลายคำ หวานใสมากจริงๆ มีกลิ่นหอมดอกท้ออ่อนๆ

"แขกผู้มีเกียรติ พวกข้าตระเตรียมข้าวเช้าไว้เรียบร้อย ตอนนี้ข้าขอพูดเรื่องให้ละเอียดก่อน หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว ขอความกรุณาแขกผู้มีเกียรติได้หรือไม่..." ความร้อนใจของหัวหน้าเผ่าเห็นได้ชัดนัก แต่มักรู้สึกว่าพวกเขาพึ่งจะมาถึง แค่ให้เวลาพักผ่อนทานน้ำทานข้าวเช้าก็จะไล่พวกเขาเข้าเขตหวงห้ามเร็วหน่อย ดูจะใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย

โหลชีบอก "ในเมื่อพวกเรารับปากช่วยแล้ว รีบไปเร็วหน่อยก็ดี"

หัวหน้าเผ่าถอนหายใจโล่งอก สือเสี่ยวจิ่นที่ยืนด้านหลังเขาก็ถอนหายใจโล่งอก มองนางอย่างขอบคุณ

"ขอบพระคุณแขกผู้มีเกียรติที่เข้าใจ เป็นเพราะพวกหมินจีหายสาบสูญนานเกินไปแล้ว ข้ากลัวหากยิ่งช้าไปกว่านี้ พวกเขาจะเกิดเรื่องได้"

หัวหน้าเผ่าเลยเล่าเรื่องในเขตหวงห้ามให้พวกเขาฟัง

....

ประมาณตอนสิบโมงเช้า แสงตะวันสาดส่องมาที่ทางด้านหน้า แต่หลังจากหุบเหวจุดหนึ่ง แสงตะวันสาดเข้ามาไม่ถึง รอบด้านเป็นป่าดิบลึก ดูแล้วเย็นทะมึน

ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขายังคงเป็นหมอกหนา มองไม่ออกว่าด้านหลังหมอกหนาคืออะไร พวกสือเหล่ยกับหัวหน้าเผ่าที่พาพวกเขามาหยุดฝีเท้าลง "ค่ายกลนี้อันที่จริงเป็นแค่ค่ายบังตา คนเข้ามาได้ แต่คนเผ่าเราต่างรักษากฎเผ่ามาตลอด ไม่เคยเข้าไปเลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าด้านในเป็นยังไงบ้าง รู้เพียงแต่ว่าค่ายกลในนั้นมีมากมายนัก ค่ายแล้วค่ายเล่า และอันตรายมากนัก ก็ไม่รู้ว่าหมินจีทำยังไงถึงได้เข้าไปได้หนึ่งครั้ง และยังปลอดภัยออกมาอีก แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นแค่โชคช่วยหนึ่งครั้งเท่านั้น เข้าไปอีกครั้งไม่รู้จะมีอันตรายใดบ้าง ทุกท่านได้โปรดระวังตัวด้วย"

"อืม" เฉินซ่ารับคำ และจูงมือโหลชีเข้าไปในหมอกหนานั่นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ