มีลูกสามคนขึ้นไป...
ภาระหน้าที่ผลิตทายาท...
โหลชีได้ยินเฉินซ่าพูดอย่างนั้นก็อยู่ในสภาพสับสนอลหม่านตลอด
ดังนั้นเฉินซ่าต้องการน้ำพุวอเศษนั่นจริง และจะให้นางดื่มด้วย แถมยังให้ส่งมาทุกเดือน ทำไมนางรู้สึกเหมือนเป็นแม่พันธุ์ม้ารอท้องยังไงยังงั้น?
ไหนบอกพึ่งเริ่มรักกันไง?
เยว่และเฉิงสิบได้ยินคำพูดนี้ พวกเขามีความเห็นตรงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย รู้สึกว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททำถูกแล้ว การคิดไปไกลเยี่ยงนี้ควรจะต้องมี
เยว่ถึงกับถอนหายใจโล่งอก นั่งถกเรื่องนี้กับเฉิงสิบด้านนอก
"เดิมฝ่าบาทก็มิมีครอบครัว หากมีลูกน้อยอีกมันต้องไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยฝ่าบาทควรจะมีหนึ่งจักรพรรดินีสี่พระสนมแปดกุ้ยเหริน แล้วก็มีผินอีกสักสิบหกคน ต้องสืบลูกสืบหลานออกไป ชีวิตจะได้สมบูรณ์พูนสุขด้วยลูกหลาน แต่ถ้ามีพระสนมคนเดียว ถึงเวลานั้นราชวงศ์ก็ดูจะน้อยไปหน่อย ตอนนี้ฝ่าบาทมีความคิดเช่นนี้ ข้าวางใจละ มีองค์ชายสามคนขึ้นไปนับว่าดีมากแล้ว แน่นอน มีองค์หญิงอีกสักสองคนจะยิ่งสมบูรณ์แบบ"
เฉิงสิบมั่นใจว่า "แม่นางต้องทำได้แน่"
ในรถม้า โหลชีคัดค้าน
เฉิงสิบ ความมั่นใจเต็มเปี่ยมนี่มันควรเอามาใช้ที่นี่รึ?
ต่อมาพวกโหลวซิ่นกับเสี่ยวโฉวรู้เรื่องนี้ขึ้น และเข้าร่วมการถกด้วย ผลลัพธ์ที่ถกออกมาได้คือ โหลชีดูแล้วแข็งแรงขนาดนั้น มีลูกห้าคนได้แน่นอน!
หลังจากเฉินซ่าได้ยินคำถกเถียงของพวกเขา ก็มีสีหน้าพึงพอใจ
ห้าคน เขาว่ากำลังดี
ส่วนตัวต้นเรื่องโหลชีรู้สึกว่าโลกนี้พลันมืดมนชั่วร้าย มีลูกห้าคน ไม่สู้มีเพิ่มอีกคนให้ครบคู่ล่ะ?
...
หนึ่งวันหนึ่งคืน พวกเขาเจอเขตพื้นที่เผ่าชักมังกรตอนเช้าตรู่
แต่ด้านหน้าเป็นภูเขา มีหมอกคละคลุ้ง ดูไม่ออกเลยว่ามีทางให้ไป
"การที่เผ่าชักมังกรสามารถหลบหลีกโลกภายนอกได้ เหตุผลหนึ่งในนั้นที่ใหญ่ที่สุดคือค่ายกลนี้" สือเหล่ยควบม้ามาด้านหน้า หันกลับไปบอกเฉินซ่าและโหลชีที่เปิดผ้าม่านรถม้าออกมาดูสถานการณ์เบื้องหน้าว่า "ค่ายกลนี้ถูกวางไว้โดยผู้มีความสามารถของเขตหวงห้ามนั่น อันที่จริงแล้ว ที่นี่เป็นจุดที่บรรพบุรุษพวกเขาถึงแก่กรรม จากนั้นคนเผ่าชักมังกรถึงมาตรงนี้ บรรพบุรุษเปิดค่ายกลนี้ เห็นที่นี่ไม่มีคน ถึงพาคนในเผ่ามาหลบที่นี่"
ความหมายซ่อนไว้คือ ค่ายกลนี่ยากที่จะแก้ได้
เฉินซ่ามองหลายที ก่อนแนบมาใกล้หูโหลชี ถามเสียงต่ำว่า "ชีชีแก้ได้กระมัง?"
โหลชีพยักหน้า "ถึงจะยุ่งยากมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่ได้"
ถึงนางจะแก้ได้ แต่ต่อหน้านายท่าน ก็ต้องแกล้งทำไม่เข้าใจล่ะ
สือเหล่ยลอยตัวไปหักกิ่งไม้มาแปดท่อน และพุ่งออกปักแปดจุดกลางหมอก ไม่นาน หมอกหนาที่ขวางเบื้องหน้าก็พลันสลายตัวอย่างช้าๆ ปรากฏช่องว่างออกมาเบื้องหน้า ระหว่างนั้นมีทางเดียวประหนึ่งคูเมือง หากไม่ระวังเข้าไปกลางหมอก เป็นไปได้อย่างมากว่าจะตกลงไปตัวแหลกเหลวแน่
"ไปเถิด รถม้ายังไปได้อีกระยะหนึ่ง"
สือเหล่ยพาคนเข้าในเขตเผ่า พอถอนหายใจโล่งอกก็ยิ่งร้อนใจ
รถม้าสองคันและกลุ่มคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งพุ่งทะยานไปบนทางนั้น ด้านหน้าเป็นป่าหลากสี หลากสีคือต้นไม้และดอกไม้ ใบแดง ใบเหลือง ใบเขียว ต้นสนเขียวฟ้าหลากหลายชนิด รวมตัวกันเป็นภาพวาดอันงดงาม บวกกับไอหมอกคละคลุ้งภูเขา ดูแล้วประหนึ่งแดนสวรรค์
โหลชีอดไม่ไหวอุทานชมเชยว่า "ที่นี่งดงามนัก"
เฉินซ่ากลับสะดุ้งเฮือก เพ่งตามองบางจุดในป่าลึกทางนั้นเขม็ง
"ทำไมรึ?" โหลชีสัมผัสได้ และถามอย่างสงสัย
เฉินซ่ากุมมือนางไว้ พลางชี้ไปจุดจุดหนึ่ง "ดูตรงนั้น"
โหลชีหันมองตาม เห็นแค่ในส่วนลึกของป่านั้น มีไอหมอกสีดำระลอกหนึ่งพุ่งตรงขึ้นฟ้า
"นั่นคืออะไร?" โหลชีขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่านางจะเพ่งมองยังไง มันอยู่ไกลเกินไป แถมยังมีป่าขวางกั้น ทำให้มองได้ไม่ชัดเลย
เฉินซ่าพูดช้าๆว่า "มิรู้เพราะเหตุใดข้ารู้สึกคุ้นเคยนัก"
คุ้นเคย? คุ้นเคยกับไอหมอกสี่ดำนั่นน่ะนะ? โหลชีไม่เข้าใจคำพูดนี้เลย กำลังจะถาม รถม้าก็หยุดลง สือเหล่ยพูดขึ้น "ทางด้านหน้ามิอาจให้รถม้าขนาดใหญ่นี้ผ่านไปได้ ฝ่าบาทพระสนมต้องขี่ม้าไป แต่รถม้าจอดไว้ที่นี่ได้ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นเขตเผ่าชักมังกรแล้ว ค่ายกลนั้นมิมีผู้ใดเข้ามาแน่"
ทิ้งรถขี่ม้า พวกเขาไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว
ทุกคนพากันขี่ม้าทะยานตามสือเหล่ยไปราวหนึ่งก้านธูป และได้เห็นตึกเล็กเกือบร้อยเรือนร้อยเรียงอยู่ด้วยกันท่ามกลางป่าหลากสี มีป่าดอกท้อสีชมพูขวางกันพวกเขาเอาไว้ ระหว่างนั้นมีดอกท้อสีขาวแซม สวยงามจนทำให้คนคิดว่าหลงเข้ามาอยู่ในป่าดอกท้อ
สตรีมักต้านทานวิวงามเยี่ยงนี้ไม่ได้ที่สุด เสี่ยวโฉวเองยังอุทาน "หากสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็ดีเลย ที่แห่งนี้ช่างงดงามมากจริงๆ!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ