ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 319

โหลชีรู้สึกว่าไอหมอกนั่นโดนหน้าแล้วรู้สึกเย็นเล็กน้อย พวกนี้เป็นไอหมอกจริงๆ และยังเป็นหมอกน้ำที่หนามาก ใต้ฝ่าเท้าอ่อนยวบ เห็นได้ชัดว่าหญ้าในหมอกนี้ยิ่งหนากว่าหญ้าด้านนอก พอเหยียบลงไปแล้วเหมือนพรมหนาผืนหนึ่ง

เฉินซ่ากุมมือนางแน่นมาก อยู่ที่นี่มองเห็นได้ยากมาก มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านหน้าด้านหลังหรือซ้ายขวาเลย ใครก็ไม่รู้ว่าเขตหวงห้ามนี้ใหญ่แค่ไหน แต่ครอบครัวสี่คนของสือหมินจีหายสาบสูญไปนานขนาดนี้แล้ว หากมิใช่ตายไปแล้ว ก็ต้องโดนค่ายกลอะไรในนี้ขังพวกเขาไว้ เกิดพลัดหลงกันมันจะไม่ดีเลย

พวกเขาครั้งนี้เข้ามาพามาแค่เยว่ เฉิงสิบกับโหลวซิ่น พวกถูเปินกับเสี่ยวโฉวรออยู่ด้านนอก ส่วนจิ้งจอกม่วงตั้งแต่ตอนแรกที่วิ่งออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

"แม่นาง อันที่จริงข้ามีอย่างหนึ่งไม่เข้าใจ" เฉิงสิบตามติดโหลชี "ในเมื่อที่นี่อันตรายเพียงนี้ งั้นทำไมสือหมินจีถึงพาพ่อและลูกเมียเข้ามาด้วยล่ะ"

ตามที่หัวหน้าเผ่าบอก พ่อของสือหมินจีกับลูกชายของเขาถึงจะเป็นอัจฉริยะของเผ่าชักมังกร แต่คนหนึ่งอายุเกินห้าสิบ อีกคนพึ่งจะสามสี่ขวบ และภรรยาของสือหมินจียิ่งเป็นสตรีที่ไม่มีวิทยายุทธ์ ไม่รู้ค่ายกลอะไรเลย ได้ยินว่ามีสัมผัสพิเศษมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้พอดีพึ่งตั้งท้อง

สือหมินจีมีวิทยายุทธ์และพอรู้เรื่องค่ายกล เป็นคนโชคดีมาแต่เกิด แต่พาพ่อและลูกเมียเข้ามาเสี่ยงอันตรายนี่ ทำให้คนคิดไม่ตกเหมือนกัน

โหลชีบอก "หาพวกเขาเจอก็รู้แล้ว"

ตอนนี้เอง ด้านหลังมีเสียงอันดังกึกก้องของหลูต้าลี่ดังมา "แม่นาง พวกท่านอยู่ที่ไหน"

โหลชีตกใจ "เจ้านั่นเข้ามาทำไม" นางดึงเฉินซ่าหยุด วาดคาถาวาโยเล็กๆหนึ่งอัน พัดพาไอหมอกด้านหน้ากระจายไป ตอนนี้นางใช้คาถาวาโยถนัดมือมากขึ้นแล้ว เพียงแต่คาถาเล็กๆแค่นี้ใช้หนึ่งครั้ง ใช้กำลังภายในไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น

หลังจากไอหมอกเบื้องหน้ากระจายไป พวกเขาถึงเห็นหลูต้าลี่ที่เดินก้าวเท้าใหญ่เข้ามา อุ้มจิ้งจอกม่วงไว้ในอ้อมกอด รูปร่างหลูต้าลี่ใหญ่โตจริงๆ จิ้งจอกม่วงตัวน้อยขดอยู่ในอ้อมกอดเขา ดูเล็กนิดเดียวเอง

"ฝ่าบาท แม่นาง ตามพวกท่านทันซะที"

หลูต้าลี่วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น จิ้งจอกม่วงวู๊วูร้องสองครั้งก่อนมุดเข้าอ้อมกอดโหลชี

"หลูต้าลี่ เจ้าตามเข้ามาทำอะไร?"โหลวซิ่นตบบ่าเขาหนึ่งครั้ง

หลูต้าลี่หัวเราะแหะๆบอก "เดิมคิดจะตามมาดูเสี่ยวจิ่นน่ะ พอดีเห็นวู๊วูจะวิ่งเข้ามา ข้ากลัวมันวิ่งหายไป เลยรีบนำมันมาด้วยกันนี่แหละ"

"มาดูเสี่ยวจิ่น" โหลวซิ่นยักคิ้วหลิ่วตาใส่เขาทันที "เจ้าคงมิใช่ชอบพอสือเสี่ยวจิ่นนั่นเข้าแล้วกระมัง"

"ชอบพอนางแล้วทำไม ข้าชอบนางอย่างนั้นแหละ งดงาม" หลูต้าลี่เกร็งคอพูดเสียงดังว่า "เสี่ยวจิ่นเป็นหลานสาวหัวหน้าเผ่า ไว้ข้ากลับไปจะถามหัวหน้าเผ่าดูว่าจะยกเสี่ยวจิ่นให้ข้าได้หรือไม่"

ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดัง

สือเสี่ยวจิ่นงดงามมาก แต่สาวน้อยงดงามรูปร่างแน่งน้อยอรชร มาคู่กับชายร่างใหญ่ดุจภูเขาอย่างนี้ คงมิตกใจตายกระมัง

พอคิดถึงภาพนั้น โหลชีอดนึกถึงกอริลลากับสาวงามไม่ได้ ภาพนั้นดูน่ากลัวเกินไป

โหลวซิ่นหัวเราะไปพูดไป "เจ้ารูปร่างฉกรรจ์องอาจเพียงนี้ แม่นางเสี่ยวจิ่นคงรับมิไหวหรอก"

เดิมเห็นเขาหวาดหวั่นแล้วสนุกดี เลยเอาคำพูดมาล้อเลียนเขา ใครจะคิดกลับได้ยินหลูต้าลี่พูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า "ทีฝ่าบาทยังดูใหญ่โตกว่าแม่นางมากนัก แม่นางรับไหวได้ยังไงกัน"

ทุกคนเงียบ เหงื่อไหลย้อย นิ่งงันอยู่กับที่

โหลวซิ่น "..." หวาดกลัว...เจ้าโง่นี่

จากนั้นโหลชีก็ได้รับสายตาชำระล้างจากฝ่าบาทยกใหญ่ กวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า รอบด้าน360องศาไม่เว้นแม้สักจุด...

ทำไมรู้สึกน่ากลัวเป็นพิเศษงี้ล่ะ

เฉินซ่าสูงร้อยแปดสิบกว่า นางเกือบร้อยเจ็ดสิบ สูงต่างกันไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร สามารถเอามาเทียบกับความสูงเกินสองเมตรของหลูต้าลี่และร้อยห้าสิบกว่าของสือเสี่ยวจิ่นได้หรือไง เดี๋ยวก่อน ประเด็นหลักไม่ใช่อันนี้

โหลชีถลึงตาใส่เฉินซ่า ถลึงตาใส่ฝ่าบาท เป็นเชิงถาม หน้าน่ะเอาไหม

พวกเยว่กับเฉิงสิบโหลวซิ่นถอยห่างไปไกลแล้วนับแต่ตอนที่หลูต้าลี่พูดประโยคนั้นออกมา อย่าฟัง อย่าฟัง

จากประสบการณ์ครั้งนี้ โหลวซิ่นไม่กล้าล้อหลูต้าลี่เล่นแล้ว ไม่เห็นแม่นางถลึงตาใส่เขาหรือไง

คาถาวาโยแค่ทำให้หมอกหนากระจายไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักหมอกหนาก็กลับมารวมตัวกันใหม่ แต่พอเดินไปได้ช่วงหนึ่ง โหลชีก็จะวาดคาถาวาโยครั้งหนึ่ง ก็เพียงพอให้พวกเขาเห็นทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น

ถ้าไม่มีเฉินซ่าอยู่ข้างกาย ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่เอาแต่ใจขนาดนี้ก็ได้ ถึงคาถาวาโยอันหนึ่งจะใช้กำลังภายในไม่มาก แต่ก็ไม่ไหวจะใช้ตลอดแบบนี้นะ

ใต้ฝ่าเท้าเป็นหญ้าเขียวอร่าม คล้ายกับพรมเขียวที่วางเต็มมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด อาจเพราะพอเข้ามาก็มี พวกเขาเดินขึ้นบนตลอด ตัวพวกเขาเองก็ไม่ได้สังเกต รอจนจิ้งจอกม่วงพลันขนลุกขนพองยามมองผืนหญ้าใหญ่ด้านล่าง โหลชีมองต่ำตามสายตามัน ถึงพบว่าไม่รู้หญ้าเขียวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ใต้เท้าพวกเขากลายเป็นพื้นดินเหลวสีน้ำตาลเข้ม

"ตอนนี้ไม่มีไอหมอกแล้ว" หลูต้าลี่ร้องออกมาอย่างดีใจ เอาแต่เดินท่ามกลางหมอกหนาเขารู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้ดีล่ะ ไม่มีหมอกแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่ทันสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว ก็โดนปฏิกิริยาของวู๊วูดึงความสนใจไปแล้ว

"วู๊วู เจ้าพบอะไรเข้ารึ" โหลชีรู้จิตวิญญาณของจิ้งจอกม่วงสูงมาก และความสามารถในการรับรู้ของสัตว์แข็งแกร่งกว่าคนมากนัก จิ้งจอกม่วงน่าจะเจออะไรไม่ชอบมาพากล เลยมีท่าทีขนพองแบบนี้

"วู วู๊วู..." วู๊วูตะปบขาหน้าที่แขนนาง ท่าท่าเหมือนจะชี้ไปที่ดิน

"ในดินมีของ" เฉินซ่าพูดเสียงต่ำ "เข้ามาใกล้กัน อย่าแยกกัน"

ทุกคนเข้ามาใกล้กัน ต่างชักกระบี่ออกมา ท่าทางระแวดระวัง

หลูต้าลี่กลับพลันย่อเอวลงไปแหวกดินเหลวที่พื้น พลางดึงกระชากของบางอย่างในดินออกมาครึ่งหนึ่ง ยื่นมาที่หน้าโหลชี "แม่นางดูนี่คืออะไร"

นั่นเป็นป๋องแป๋งที่ทำจากไม้และไม้ไผ่

"นี่เป็นของเล่นของลูกชายสือหมินจี" โหลชีเห็นด้านข้างป๋องแป๋งน้อยอันนั้นสลักตัวอักษรบินเล็กๆไว้ ได้ยินหัวหน้าเผ่าบอกว่า ลูกชายของสือหมินจีชื่อสือเฟย พวกเขาออกห่างจากโลกภายนอก ของเล่นของเด็กโดยมากมักเป็นผู้อาวุโสในบ้านทำให้ด้วยตัวเอง อีกอย่างพ่อของสือหมินจีก็มีความสามารถในการทำของพวกนี้"

อย่างน้อยนี่สามารถบ่งชัดได้ว่าพวกเขาเคยมาที่นี่

แต่โหลชีกลับค้นพบเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก

นางอุ้มจิ้งจอกม่วง ก้มหน้าสำรวจบริเวณนี้อย่างละเอียด พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า "ที่นี่นอกจากรอยเท้าของพวกเราแล้ว ไม่มีของคนอื่นเลย"

คนอื่นได้ยินดังนั้นก็อึ้ง จากนั้นคือตกใจ

ดูความชุ่มชื้นของดินที่นี่แล้วก็รู้ว่า หลายวันนี้น่าจะไม่เคยฝนตก พื้นดินแถบนี้ดูอ่อนยวบ อย่างน้อยรอยเท้าของพวกเขาก็ชัดเจนอยู่ แต่ว่าไม่มีรอยเท้าของคนอื่นเลย แม้แต่ในจุดที่หลูต้าลี่หยิบป๋องแป๋งอันนี้ขึ้นมาก็ยังมีแต่รอยเท้าของเขา

เหมือนกับว่าของสิ่งนี้ปรากฏออกมาตรงนี้ดื้อๆยังไงยังงั้น

เฉินซ่าพลันเงยหน้าขึ้น "มันตกลงมาจากด้านบน"

"ด้านบน" ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้น กลับเห็นท้องฟ้ามืดมน ชั้นเมฆแน่นทึบ เหมือนว่ามาถึงวันที่เมฆครึ้มที่สุด

ทั้งๆที่ตอนพวกเขาเข้าเขตหวงห้าม ท้องฟ้าใสกระจ่าง ยังมีแสงตะวัน

"ท้องฟ้าหรอ ด้านบนไม่มีอย่างอื่นนี่" หลูต้าลี่ไม่เข้าใจ

"นก น่าจะเป็นนกใหญ่" เยว่สังเกตบนพื้นอย่างละเอียดในตอนที่พวกเขาคุยกัน และพบขี้นกบางส่วน

โหลชีพลันตกใจ เพราะการวิเคราะห์ของนางเอง

"ไม่ว่าจะเป็นนกอะไร ไม่มีทางสนใจของที่ทำจากไม้และไม้ไผ่แข็งๆแบบนี้ น่าจะเพราะมันจับโดนหรือจิกโดนป๋องแป๋งนี่ และก็..."

เฉินซ่าพูดต่อ "นกใหญ่นั่นจับเด็กไป ของนี้เดิมอยู่ในมือเด็ก พอบินมาถึงตรงนี้ก็ตกลงมา"

ทุกคนพากันสะท้านเยือก นกที่สามารถจับเด็กสามสี่ขวบไปได้ ไม่มีทางตัวเล็กแน่ ที่น่ากลัวที่สุดคือนกนี่ทำไมต้องจับคนด้วย

"ถ้าพวกสือหมินจีไม่เป็นไร เยี่ยงนั้นพอเห็นลูกตนโดนนกใหญ่จับไป ต้องพยายามไล่ตามสุดกำลังแน่ ตอนนี้พวกเราต้องสังเกตดูว่า นกใหญ่ตัวนั้นบินไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นยังไง หามันให้เจอ ดูว่าเด็กยังรอดหรือไม่" อันดับแรกโหลชีต้องช่วยเด็กก่อน

"แต่จะสังเกตยังไงว่านกนั่นบินไปทางทิศไหน" โหลวซิ่นถามอย่างลำบากใจ

ความสนใจของโหลชีพุ่งไปที่ตามหาและวิเคราะห์แล้ว เลยย้อนถามเขาว่า "ดูได้จากทิศทางลม แรงลม ท่าทางของป๋องแป๋งนี่ที่ปักลงบนพื้น หรือแม้แต่ลักษณะของขี้นกด้วย"

ระหว่างพูด นางก็ทดสอบแรงลมไป คำนวณไป ไม่ได้สังเกตสายตาคนอื่นที่มองนางว่าเต็มไปด้วยความตะลึงและเลื่อมใสเลย

ความสนใจของเฉินซ่าอยู่ที่ตัวนางเท่านั้น

พวกเขาพบเจอป๋องแป๋งนี่ พบเงื่อนงำระหว่างนกใหญ่และเด็กนั่น แต่กลับลืมไปว่าที่จิ้งจอกม่วงเมื่อครู่พองขนและชี้ไปที่พื้นนี้

พวกเฉิงสิบเองก็ช่วยหาขนนกหรือขี้นกดู ไม่นานทั้งหมดก็กระจายกันหมด หลูต้าลี่เดินไปไกลหน่อย

"ดูออกแล้ว นกนั่นน่าจะไปทางนั้น... หลูต้าลี่ เจ้าทำอะไร" ทิศที่โหลชีชี้ไป นั้น หลูต้าลี่อยู่ตรงนั้นพอดี พอพวกเขาหันไปดู กลับเห็นหลูต้าลี่หันหลังให้พวกเขาและคุกเข่าลงพื้น

อยู่ดีๆ คุกเข่าลงไปทำไม

"แม่นาง ข้าไปดูหน่อย" โหลวซิ่นอยู่ใกล้เขาที่สุด เห็นดังนั้นจึงเดินไปทางเขา

"วู๊วู"

จิ้งจอกม่วงพลันร้องขึ้นมา และกระโดดออกจากอ้อมกอดนางขึ้นไหล่แทน

ในวินาทีที่มันร้อง โหลชีก็นึกถึงท่าทีระวังของมันเมื่อกี้ได้แล้ว นางใจกระตุก รีบเรียกโหลวซิ่นไว้ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในใจนางกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา

แต่โหลวซิ่นไม่ได้ยินเสียงเรียกของนาง

เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในดินขยับใต้เท้า เขาก้มหน้ามอง ไม่ได้หยุดลง และเดินไปข้างหน้าหลายก้าว

ตอนนี้เองเขาเห็นอาการของหลูต้าลี่

"ไอ้เชี่ย" โหลวซิ่นสบถออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ดวงตาแทบถลนออกมาเพราะความตกใจ นั่นคืออะไร นั่นคืออะไรกันใครบอกเขาที เขาตาพร่าไปรึไม่

เวลานี้เองใต้ฝ่าเท้าเขากลับรู้สึกว่ามีอะไรขยับ ทั้งตกใจกับท่าทีของหลูต้าลี่ อีกด้านก็ก้มหน้าลงไปมองดูว่าใต้ฝ่าเท้ามีอะไรไม่ถูก

"โหลวซิ่น รีบถอยเร็ว"

โหลชีพลันร้องเสียงดังออกมา น้ำเสียงส่อแววตกใจ

พระเจ้า คงไม่ใช่สิ่งที่นางคิดกระมัง

....

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ