โหลวซิ่นสะท้อนใจประโยคหนึ่ง "ในที่สุดก็มีสถานที่ทิวทัศน์สวยงาม เต็มไปด้วยหมู่มวลผกาเงียบสงบสักที" เมื่อครู่เพิ่งผ่านหลุมฝังทั้งเป็นกับกูลไป ตอนนี้ก็เป็นทะเลบุปผาผืนใหญ่ขนาดนี้อีก ทันใดนั้นก็ให้รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์จากนรก
ครั้นเอ่ยจบ ก็เห็นสายตาโหลชีมองเขาแปลกๆ "ทิวทัศน์สวยงาม? ที่เงียบสงบ?"
โหลวซิ่นเห็นน้ำเสียงนางแปลก ในใจจึงตะขิดตะขวงขึ้นมา "แม่นาง หรือคิดว่าสีสันดอกไม้เหล่านี้เข้มมากเกินไป?"
ดอกไม้ผืนใหญ่นั้น แดงดั่งเพลิง หากมองใกล้ๆ เป็นสีแดง แต่เมื่อเบียดเสียดเป็นผืนใหญ่ กอปรกับอากาศที่อึมครึม ถ้ามองจากไกลๆ ก็จะเหมือนแดงจนดำ
ที่ไกลๆ มีหลังเต่าเป็นลูกๆ ระหว่างหลังเต่านั้นยังเป็นดอกไม้พวกนี้ ดอกไม้เยอะ เข้ม และแดงเกินไป ราวกับพรมโลหิตที่ปูทั่วผืนแผ่น
โหลวซิ่นก็แค่โล่งอกในแวบแรกเท่านั้น ตอนนี้เมื่อดูมากหน่อยกลับรู้สึกว่าสีสันเข้มจนแทบหายใจไม่ออก
"ดูมากอีกหน่อยก็เข้มเกินไปจริงๆ ดินที่นี่คงอุดมสมบูรณ์กระมัง? ดอกไม้พวกนี้ถึงเบ่งบานได้ดีเยี่ยงนี้" เยว่ก็เอ่ย
โหลชีมองทะเลบุปผาผืนนั้น เอ่ยเสียงต่ำ "นี่คือดอกปี่อั้น"
ทุกคนตะลึง ดอกปี่อั้น?
"ดอกปี่อั้น เวลาบานจะไม่มีใบ ตอนที่มีใบจะไม่มีดอก ดอกกับใบจะไม่ได้เห็นพร้อมกัน ดอกไม้ชนิดนี้ปกติจะอยู่บนสุสานเป็นกลุ่มใหญ่ มีคนบอกว่ามันบานอยู่ในยมโลก ดังนั้นจึงมีคนเรียกมันว่าดอกไม้บนเส้นทางปรโลกด้วย มันเป็นดอกไม้นำทาง แดงประหนึ่งโลหิต ปูอยู่เต็มเส้นทางปรโลก หากเดินตรงจากเส้นทางที่ปูด้วยดอกปี่อั้นไป ก็จะเป็นการเดินจากโลกมนุษย์ไปยังเมืองนรก ลาจากผู้คนและความรู้สึกบนโลกโลกีย์ชั่วนิรันดร์"
ครั้นทุกคนได้ยินก็ชะงักทำอะไรไม่ถูก แล้วได้ยินโหลชีเอ่ยต่อ "มีตำนานเล่าว่ากลิ่นของดอกปี่อั้นมีเวทมนตร์ เมื่อได้กลิ่นก็จะทำให้คนนึกถึงความทรงจำในอดีตชาติได้ เล่าว่าดอกนี้เคยถูกสาป เป็นปีศาจคู่หนึ่งที่รักมั่น แต่พวกเขากลับสาประหว่างการเวียนว่ายตายเกิด วาสนาสิ้นไม่จาก หมดบุญไม่แยก ทั้งที่รักมั่นผูกพันแต่มิอาจอยู่ร่วมกันทุกภพทุกชาติ ในสายตามนุษย์ ความงามของดอกปี่อั้น เป็นมนต์เสน่ห์ เป็นความตาย เป็นภัยพิบัติและเป็นความงามอัปมงคลแห่งการพลัดพราก"
ขณะที่โหลชีกำลังเอ่ย จู่ๆ มือก็ถูกมือใหญ่อบอุ่นจับแน่น
นางแหงนหน้าเฉียงขึ้นเล็กน้อย เฉินซ่าไม่ได้มองนาง และไม่มีอารมณ์พิเศษอื่น แต่แค่ริมฝีปากที่ปิดสนิทก็เห็นได้ถึงความมุ่งมั่นในใจของเขาเวลานี้แล้ว
นางยิ้มนิดๆ
ที่จริงตำนานพวกนั้นนางแค่เคยได้ยินตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่าดอกปี่อั้นชอบขึ้นอยู่ตามร่องหินและสุสานตามป่าเขานั้นกลับเป็นจริง บางทีอาจเพราะเช่นนี้ ถึงมีคนเห็นมันแล้วนึกไปถึงสุสาน และทำให้ดอกไม้ชนิดนี้กลายเป็นดอกแห่งมรณสถานด้วย
อัปมงคลนิดๆ จริงๆ
ครั้นถูกนางพูดมาอย่างนี้ โหลวซิ่นยังจะกล้าพูดดอกไม้ผืนนี้งดงามอีกหรือ? เงียบน่ะเงียบอยู่ แต่ดอกไม้บนเส้นทางปรโลกจะไม่เงียบได้อย่างไร?
เฉิงสิบอดถามขึ้นไม่ได้ "ความหมายของแม่นางคือ ที่ตรงนี้เป็นสุสานหรือ?"
ด้านหน้าไม่ไกลเป็นหลุมฝังทั้งเป็น แล้วที่นี่ยังมีสุสานอีก? เช่นนั้นที่นี่เรียกว่าเป็นแดนต้องห้ามได้อย่างไร? นี่มันเป็นดินแดนแห่งคนตายต่างหาก!
"เห็นหลังเต่าพวกนั้นไหม? ถ้าข้าเดาไม่ผิด นั่นก็คือหลุมฝังศพ โหลชีเอ่ย
"สุสานเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?" ทันใดนั้นหลูต้าลี่ก็เอ่ยขึ้น "ตอนเด็กๆ ข้าเคยได้ยินผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพูดกัน ว่าจะเดินข้ามหลุมศพคนอื่นไม่ได้ เพราะคนที่นอนอยู่ในดินจะรู้สึกว่าเหยียบถูกเขา"
"เจ้าตัวโต คนตายยังจะมีความรู้สึกอีกหรือ?" โหลวซิ่นถลึงตาใส่เขา
"นายท่าน พระสนม ข้าน้อยว่าเราอ้อมไปกันเถอะ" ความต่างขององครักษ์เยว่กับโหลวซิ่น ก็คือเขารู้สึกแย่กับที่แห่งนี้ รู้สึกแย่มากๆ
"อ้อมไม่ได้"
"ไม่ควรอ้อม"
เฉินซ่ากับโหลชีเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
เยว่ตะลึง
โหลชีเอ่ย "เจ้าเด็กเผ่าชักมังกรน่าจะอยู่ข้างหน้า"
อะไรนะ?!
"เจ้าเด็กนั่นอยู่ในสุสาน?" เฉิงสิบก็ตกใจด้วย
โหลชีพยักหน้า "น่าจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเราได้ยินเสียงร้องไห้อ่อนแรงของเด็ก" ว่ามาอย่างนี้ก็หายากจริงๆ ตามที่นางตรวจสอบเมื่อครู่ นกใหญ่ตัวนั้นน่าจะบินผ่านไปเมื่อสองวันก่อน สองวันแล้วเด็กยังร้องไห้ได้อีก?
ตรงนี้ กำลังภายในของนางกับเฉินซ่าล้ำลึกที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจากที่ไกลๆ ส่วนคนอื่นกลับไม่ได้ยิน
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ในเมื่อเด็กอยู่ไม่ไกลจากข้างหน้าแล้ว เช่นนั้นก็อ้อมไปไม่ได้จริงๆ
โหลชีนึกเสียใจที่เมื่อครู่พูดเรื่องพวกนั้นกับพวกเขา นี่ทำให้พวกเขามีปมในใจอย่างชัดเจน ดังนั้นนางจึงกระโดดออกมา ยื่นมือเด็ดดอกปี่อั้นดอกหนึ่งที่บานกำลังพอดี แล้วทัดที่ข้างหูตน "ดูสิ ข้าสวยไหม?"
เยว่กับคนอื่นๆ ลูบจมูก พระสนม ท่านงดงามเสมอ แต่ฝ่าบาทอยู่ที่นี่ พวกเขากล้าพูดที่ไหนกัน?
จากนั้นก็ได้ยินเสียงซื่อๆ เซ่อๆ อย่างไร้ใครเทียม "สวย สวยมาก แม่นางสวยจริงๆ!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ