ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 321

โหลวซิ่นสะท้อนใจประโยคหนึ่ง "ในที่สุดก็มีสถานที่ทิวทัศน์สวยงาม เต็มไปด้วยหมู่มวลผกาเงียบสงบสักที" เมื่อครู่เพิ่งผ่านหลุมฝังทั้งเป็นกับกูลไป ตอนนี้ก็เป็นทะเลบุปผาผืนใหญ่ขนาดนี้อีก ทันใดนั้นก็ให้รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์จากนรก

ครั้นเอ่ยจบ ก็เห็นสายตาโหลชีมองเขาแปลกๆ "ทิวทัศน์สวยงาม? ที่เงียบสงบ?"

โหลวซิ่นเห็นน้ำเสียงนางแปลก ในใจจึงตะขิดตะขวงขึ้นมา "แม่นาง หรือคิดว่าสีสันดอกไม้เหล่านี้เข้มมากเกินไป?"

ดอกไม้ผืนใหญ่นั้น แดงดั่งเพลิง หากมองใกล้ๆ เป็นสีแดง แต่เมื่อเบียดเสียดเป็นผืนใหญ่ กอปรกับอากาศที่อึมครึม ถ้ามองจากไกลๆ ก็จะเหมือนแดงจนดำ

ที่ไกลๆ มีหลังเต่าเป็นลูกๆ ระหว่างหลังเต่านั้นยังเป็นดอกไม้พวกนี้ ดอกไม้เยอะ เข้ม และแดงเกินไป ราวกับพรมโลหิตที่ปูทั่วผืนแผ่น

โหลวซิ่นก็แค่โล่งอกในแวบแรกเท่านั้น ตอนนี้เมื่อดูมากหน่อยกลับรู้สึกว่าสีสันเข้มจนแทบหายใจไม่ออก

"ดูมากอีกหน่อยก็เข้มเกินไปจริงๆ ดินที่นี่คงอุดมสมบูรณ์กระมัง? ดอกไม้พวกนี้ถึงเบ่งบานได้ดีเยี่ยงนี้" เยว่ก็เอ่ย

โหลชีมองทะเลบุปผาผืนนั้น เอ่ยเสียงต่ำ "นี่คือดอกปี่อั้น"

ทุกคนตะลึง ดอกปี่อั้น?

"ดอกปี่อั้น เวลาบานจะไม่มีใบ ตอนที่มีใบจะไม่มีดอก ดอกกับใบจะไม่ได้เห็นพร้อมกัน ดอกไม้ชนิดนี้ปกติจะอยู่บนสุสานเป็นกลุ่มใหญ่ มีคนบอกว่ามันบานอยู่ในยมโลก ดังนั้นจึงมีคนเรียกมันว่าดอกไม้บนเส้นทางปรโลกด้วย มันเป็นดอกไม้นำทาง แดงประหนึ่งโลหิต ปูอยู่เต็มเส้นทางปรโลก หากเดินตรงจากเส้นทางที่ปูด้วยดอกปี่อั้นไป ก็จะเป็นการเดินจากโลกมนุษย์ไปยังเมืองนรก ลาจากผู้คนและความรู้สึกบนโลกโลกีย์ชั่วนิรันดร์"

ครั้นทุกคนได้ยินก็ชะงักทำอะไรไม่ถูก แล้วได้ยินโหลชีเอ่ยต่อ "มีตำนานเล่าว่ากลิ่นของดอกปี่อั้นมีเวทมนตร์ เมื่อได้กลิ่นก็จะทำให้คนนึกถึงความทรงจำในอดีตชาติได้ เล่าว่าดอกนี้เคยถูกสาป เป็นปีศาจคู่หนึ่งที่รักมั่น แต่พวกเขากลับสาประหว่างการเวียนว่ายตายเกิด วาสนาสิ้นไม่จาก หมดบุญไม่แยก ทั้งที่รักมั่นผูกพันแต่มิอาจอยู่ร่วมกันทุกภพทุกชาติ ในสายตามนุษย์ ความงามของดอกปี่อั้น เป็นมนต์เสน่ห์ เป็นความตาย เป็นภัยพิบัติและเป็นความงามอัปมงคลแห่งการพลัดพราก"

ขณะที่โหลชีกำลังเอ่ย จู่ๆ มือก็ถูกมือใหญ่อบอุ่นจับแน่น

นางแหงนหน้าเฉียงขึ้นเล็กน้อย เฉินซ่าไม่ได้มองนาง และไม่มีอารมณ์พิเศษอื่น แต่แค่ริมฝีปากที่ปิดสนิทก็เห็นได้ถึงความมุ่งมั่นในใจของเขาเวลานี้แล้ว

นางยิ้มนิดๆ

ที่จริงตำนานพวกนั้นนางแค่เคยได้ยินตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่าดอกปี่อั้นชอบขึ้นอยู่ตามร่องหินและสุสานตามป่าเขานั้นกลับเป็นจริง บางทีอาจเพราะเช่นนี้ ถึงมีคนเห็นมันแล้วนึกไปถึงสุสาน และทำให้ดอกไม้ชนิดนี้กลายเป็นดอกแห่งมรณสถานด้วย

อัปมงคลนิดๆ จริงๆ

ครั้นถูกนางพูดมาอย่างนี้ โหลวซิ่นยังจะกล้าพูดดอกไม้ผืนนี้งดงามอีกหรือ? เงียบน่ะเงียบอยู่ แต่ดอกไม้บนเส้นทางปรโลกจะไม่เงียบได้อย่างไร?

เฉิงสิบอดถามขึ้นไม่ได้ "ความหมายของแม่นางคือ ที่ตรงนี้เป็นสุสานหรือ?"

ด้านหน้าไม่ไกลเป็นหลุมฝังทั้งเป็น แล้วที่นี่ยังมีสุสานอีก? เช่นนั้นที่นี่เรียกว่าเป็นแดนต้องห้ามได้อย่างไร? นี่มันเป็นดินแดนแห่งคนตายต่างหาก!

"เห็นหลังเต่าพวกนั้นไหม? ถ้าข้าเดาไม่ผิด นั่นก็คือหลุมฝังศพ โหลชีเอ่ย

"สุสานเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?" ทันใดนั้นหลูต้าลี่ก็เอ่ยขึ้น "ตอนเด็กๆ ข้าเคยได้ยินผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพูดกัน ว่าจะเดินข้ามหลุมศพคนอื่นไม่ได้ เพราะคนที่นอนอยู่ในดินจะรู้สึกว่าเหยียบถูกเขา"

"เจ้าตัวโต คนตายยังจะมีความรู้สึกอีกหรือ?" โหลวซิ่นถลึงตาใส่เขา

"นายท่าน พระสนม ข้าน้อยว่าเราอ้อมไปกันเถอะ" ความต่างขององครักษ์เยว่กับโหลวซิ่น ก็คือเขารู้สึกแย่กับที่แห่งนี้ รู้สึกแย่มากๆ

"อ้อมไม่ได้"

"ไม่ควรอ้อม"

เฉินซ่ากับโหลชีเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย

เยว่ตะลึง

โหลชีเอ่ย "เจ้าเด็กเผ่าชักมังกรน่าจะอยู่ข้างหน้า"

อะไรนะ?!

"เจ้าเด็กนั่นอยู่ในสุสาน?" เฉิงสิบก็ตกใจด้วย

โหลชีพยักหน้า "น่าจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเราได้ยินเสียงร้องไห้อ่อนแรงของเด็ก" ว่ามาอย่างนี้ก็หายากจริงๆ ตามที่นางตรวจสอบเมื่อครู่ นกใหญ่ตัวนั้นน่าจะบินผ่านไปเมื่อสองวันก่อน สองวันแล้วเด็กยังร้องไห้ได้อีก?

ตรงนี้ กำลังภายในของนางกับเฉินซ่าล้ำลึกที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจากที่ไกลๆ ส่วนคนอื่นกลับไม่ได้ยิน

ทุกคนต่างมองหน้ากัน ในเมื่อเด็กอยู่ไม่ไกลจากข้างหน้าแล้ว เช่นนั้นก็อ้อมไปไม่ได้จริงๆ

โหลชีนึกเสียใจที่เมื่อครู่พูดเรื่องพวกนั้นกับพวกเขา นี่ทำให้พวกเขามีปมในใจอย่างชัดเจน ดังนั้นนางจึงกระโดดออกมา ยื่นมือเด็ดดอกปี่อั้นดอกหนึ่งที่บานกำลังพอดี แล้วทัดที่ข้างหูตน "ดูสิ ข้าสวยไหม?"

เยว่กับคนอื่นๆ ลูบจมูก พระสนม ท่านงดงามเสมอ แต่ฝ่าบาทอยู่ที่นี่ พวกเขากล้าพูดที่ไหนกัน?

จากนั้นก็ได้ยินเสียงซื่อๆ เซ่อๆ อย่างไร้ใครเทียม "สวย สวยมาก แม่นางสวยจริงๆ!"

หลูต้าลี่มองโหลชีแล้วพยักหน้าชมเชยไม่หยุด ดอกปี่อั้นสีแดงเพลิงดอกนั้นเหน็บที่ข้างใบหูที่แต่เดิมว่างเปล่า สีแดงนั้นร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม ขับกับเส้นผมดำของนาง โฉมหน้าขาวเนียนประหนึ่งหยก เป็นความเพริศแพร้วชวนตะลึง

โหลชีพูดอย่างขบขัน "เช่นนั้นข้าสวยหรือว่าเสี่ยวจิ่นของเจ้าสวยกว่าล่ะ?"

หลูต้าลี่คิดหนัก แม้แม่นางจะสวย แต่เขาไม่ค่อยกล้าเข้าหา เสี่ยวจิ่นสวยมาก เขาอยากเอากลับบ้านไปเป็นเมีย นี่จะเลือกอย่างไรดี?

เมื่อเห็นท่าทางเขาแล้ว ทุกคนก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ ความหวาดกลัวในดอกปี่อั้นและความกระวนกระวายใจจึงหายไปกว่าครึ่ง

"ไปกันเถอะ"

ว่าแล้วโหลชีก็เดินนำหน้าไป เฉินซ่าจับมือนาง

เขามองนางอย่างลึกซึ้งสายตาหนึ่ง จากนั้นก็จับมือนางเดินไปข้างหน้า นางราวกับไม่เคยชินกับการอยู่ข้างกายคน บอกว่าไปแล้วก็เดินนำไปก่อน ไม่คิดว่าจะกลับมาอยู่ข้างกายแล้วเดินเคียงบ่าไปกับเขา

ในก้นบึ้งของหัวใจนางมีสิ่งที่เป็นเอกภาพมากกว่าเขา

แม้นางจะมีความสามารถ แต่เขาก็หวังว่านางจะเคียงบ่าเคียงไหล่ และเคยชินกับการจับมือกับเขา ตั้งแต่คืนแรกที่นางโถมเข้าอ้อมกอดเขาในป่ารกร้างจนถึงตอนนี้ เขาพึ่งพิงนางมาหลายครั้งเหลือเกิน เขาหวังว่ายามที่นางเหนื่อยก็ทิ้งตัวเข้าสู่อ้อมกอดเขาเองด้วยความวางใจเหมือนกัน แต่จนถึงบัดนี้ เป็นเขาที่ไปจับมือกับนางมากเสียกว่า

นางยังไม่รักเขา เชื่อมั่นในเขาทั้งตัวและจิตใจ บางทีแม้แต่นางเองก็คงไม่รู้ตัว

เฉินซ่าจับมือนางแน่น เม้มริมฝีปาก

โหลชีมองเขาอย่างงุนงงแวบหนึ่ง

ถ้าพวกสือหมินจียังไม่ตาย และตามนกใหญ่มา เช่นนั้นก็ต้องไม่ได้เดินมาทางนี้ เพราะดอกปี่อั้นผืนใหญ่นี้ไม่มีร่องรอยการเหยียบสักนิด

กิ่งดอกเบียดอยู่ด้วยกัน แดงฉานเป็นผืน ไม่มีเส้นทาง เฉิงสิบกับโหลวซิ่นเดินอยู่ข้างหน้า ใช้กระบี่ฟันเปิดทางไปก็เดินไป กลีบดอกเรียวยาวฟุ้งกระจาย ร่วงเป็นทาง ครั้นเดินไปเรื่อยๆ ก็กลับรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนเส้นทางปรโลกโลหิตจริงๆ

หลังเต่าพวกที่เห็นในทีแรกนั้น เหมือนจะใกล้มากแต่เมื่อลงเดินแล้วถึงพบว่ายังอีกไกลโข

พวกเขาเดินอยู่นาน แต่อย่างกับเพิ่งเดินมาถึงกึ่งกลางของทะเลบุปผา

ดอกไม้เยอะเกินไป กลิ่นหอมก็ฉุนขึ้นเรื่อยๆ

เฉินซ่าหยิบดอกปี่อั้นที่ทัดอยู่ข้างหูนางออกแล้วโยนทิ้ง ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปมงคล เขาจะยอมให้นางทัดผมอยู่ตลอดได้อย่างไร

แต่ขณะที่เขาถอนสายตาจากดอกไม้ที่โยนทิ้งแล้วมองโหลชีที่อยู่ข้างตัว นางก็ดึงมือออกจากมือเขา และเหาะไปด้านหน้าแล้ว

"ชีชี?"

ท่ามกลางหลุมฝังศพผืนใหญ่ โหลชีเห็นหลุมที่สูงใหญ่ที่สุดตรงกลางและไม่ได้หันมาทางนี้หลุมหนึ่ง นางได้ยินเสียงเด็กคนนั้นดังมาจากทางนั้น แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแล้ว ดังนั้นจึงรีบไปช่วย รีบไป!

ที่จริงนางใจแข็งมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กบริสุทธิ์นางก็ยังร้อนรน หากช่วยได้ก็ช่วย เอาใจเขามาใส่ใจเรา เด็กสามสี่ขวบ อยู่ที่หลุมฝังศพแบบนั้นตัวคนเดียว นั่นน่ากลัวจะตายชัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ยังอาจถูกนกใหญ่จับบินอยู่บนท้องฟ้าสูง ไม่รู้ว่าจะตกใจขวัญหายแล้วหรือเปล่า

ครั้นเฉิงสิบเห็นการกระทำนาง ก็รีบตามไปทันที

แต่พอโหลชีเห็นหลุมฝังศพนี้แล้วก็รู้สึกตงิดๆ เพราะรอบๆ ล้วนแต่เป็นหลุมฝังศพที่ไม่มีแผ่นป้าย แต่หลุมนี้เป็นหลุมฝังศพจริงๆ ตัวหลุมจัดการได้ดีมาก ทั้งหลุมและแผ่นป้าย ด้านหน้าแผ่นป้ายเป็นพื้นที่ราบเรียบที่อัดแน่น แม้มีหญ้าขึ้นอยู่เต็มไปหมด แต่กลับแปลกที่ไม่ถูกดอกปี่อั้นยึดครอง

แต่ที่หน้าสุสานนี้ นางกลับไม่เห็นเด็กคนนั้น

อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นแล้ว โหลชีร้อนรน เฉินซ่าจับมือนาง "อย่าเพิ่งแตกตื่น ข้างในมีลมหายใจแผ่วๆ อยู่"

เขาชี้ไปที่แผ่นป้ายนั้น

"หรือว่าเด็กจะอยู่ในหลุม?" เมื่อโหลชีทำจิตใจที่ว้าวุ่นให้สงบลงนิดหนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบานั้นจริงๆ แทบจะจับเสียงไม่ได้แล้ว

โหลชีเดินเข้าไป เห็นหญ้าจุดหนึ่งที่ด้านหน้าแผ่นป้ายมีร่องรอยถูกทับด้วยน้ำหนัก บนแผ่นป้ายนั้นก็เปื้อนน้ำหญ้าและรอยนิ้วมือเลือดอยู่ จากขนาดน่าจะเป็นเด็ก

"ดูท่านกใหญ่ตัวนั้นจะโยนเด็กลงมา แล้วเด็กอาจจะกลัวนกใหญ่ตัวนั้น ตอนที่เข้าใกล้แผ่นป้ายก็เลยกดถูกกลไกไปแบบไม่รู้ตัว จากนั้นมุดเข้าไปในนั้น" โหลชีพูดพลางลองกดบริเวณที่มีรอยนิ้วมือ เมื่อกดในจุดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงแกรกจริงๆ แผ่นป้ายนั้นถึงกับย้ายออกไปด้านข้างทั้งแผ่น ปรากฏช่องประตูขนาดประมาณเมตรครึ่ง

ตอนนี้ใกล้จะโพล้เพล้แล้ว กอปรกับที่นี่เดิมก็เป็นป่าทึบ ดังนั้นจากด้านนอกจึงมองไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร แม้พวกเขาจะได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กคนนั้นชัดอยู่บ้าง แต่ก็มองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหน ช่องหลุมฝังศพข้างในก็เหมือนจะไม่ใหญ่มาก รู้สึกเหมือนไม่มีห้องหับอะไร

"แม่นาง ข้าน้อยจะเข้าไป" ถ้าเทียบกันแล้ว ที่นี่นอกจากโหลชี โหลวซิ่นก็ตัวผอมที่สุด

โหลชีส่ายหน้า "ข้างในไม่ใหญ่ ข้าเข้าไปแล้วกัน"

ตอนนี้มองไม่เห็นสภาพข้างใน นางจึงได้แต่พิจารณาจากกระแสลมกับเสียงสะท้อน ถึงจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้นางสังเกตละเอียดแล้ว อย่างไรก็ต้องเข้าไปเอาเด็กออกมาก่อน

ก็ขณะที่นางกำลังเข้าไป ท้องฟ้าก็มีเสียงร้องของอินทรี เมื่ออากาศมีลมแรงที่หอบเอากลิ่นคาวเลือดพัดเข้ามา พอเงยหน้า หัวใจพวกเขาก็เต้นตึกตัก ยังไม่ทันเห็นรูปร่างนกตัวนั้นชัด ก็เห็นจะงอยแหลมและกรงเล็บตะขอดำคมของมันกางมาที่ศีรษะพวกเขาแล้ว

"อินทรีกลายพันธุ์! รีบเข้าไปเร็ว!" ภายใต้ความตกใจ โหลชีไม่อาจสนใจว่าข้างในจะเป็นอย่างไรแล้ว ผลักเฉินซ่าที่ยืนใกล้นางที่สุดเข้าไปทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ