ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 324

เวลานี้โหลชีถึงนึกขึ้นได้ พวกเขาต้องช่วยสือเฟยลูกชายของสือหมินจี

นางเด้งขึ้นมาทันที เกือบชนถูกคางของเฉินซ่า เฉินซ่าจึงอดไม่ได้ยื่นมือไปดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง "รีบร้อนอะไร?"

ตื่นเต้นกับเด็กที่ไม่รู้จักมักจี่ขนาดนี้เชียว

โหลชีแลบลิ้นใส่ แล้วยื่นมือลูบคางของเขา "คางสวยๆ ข้าไม่อยากชนให้เสีย" ว่าแล้วก็วิ่งไปทางเฉิงสิบ

เฉินซ่าตะลึงงัน กระทั่งนางวิ่งไปแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ ทั้งขำทั้งโมโห ลูบคางเขา? นี่ถือว่าเกี้ยวเขาหรือ?

แต่...หรือเขางามแค่คาง?

ขณะที่โหลชีเห็นเด็กคนนั้น เฉิงสิบก็ฉีกผ้าชุบน้ำประคบที่หน้าผากเขาแล้ว ในถ้ำหินนี้มีสายน้ำไหลอยู่พอดี หยดมาจากระหว่างร่องหิน แล้วรวมกันเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ

บาดแผลที่บ่าเขา เฉิงสิบได้ใส่ยาและพันแผลให้แล้ว

"แม่นาง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหลุมฝังศพ เขาก็ไข้ขึ้นสูงแล้ว ตอนนี้ประคบเย็น แต่ท่านดูสิ ทำไมใบหน้าเขาถึงเหมือนจะดำคล้ำล่ะ?" เฉิงสิบร้อนใจหนัก เขาเป็นคนช่วยเด็กคนนี้ออกมาจากในหลุมฝังศพ หากสุดท้ายก็ยังช่วยให้รอดไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะรู้สึกปวดใจมาก

เมื่อเห็นเด็กคนนี้ โหลชีก็นึกถึงหน้าตาโหลฮ่วนเทียนตอนเด็กๆ ในฝันทันที ใจอ่อนลงมาอีกหน่อย

เฉิงสิบถอดเสื้อตัวนอกแล้วปูบนพื้นเรียบก้อนหนึ่ง ให้เด็กนอนอยู่บนนั้น ร่างกายเขาสั่นนิดๆ สีหน้าเป็นอย่างที่เฉิงสิบบอก ดำคล้ำอยู่หน่อยๆ

ถ้าแค่มีไข้ สีหน้าน่าจะออกแดงถึงจะถูก ทำไมถึงดำคล้ำไปได้? โหลชีขมวดคิ้ว แล้วเปิดเปลือกตาเขาดูเบาๆ จากนั้นก็เลิกเสื้อเขาขึ้นอีก ตัวเขานอกจากจะเปื้อนรอยเลือดบ้างแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

"บาดแผลเขาเป็นอย่างไรบ้าง?"

เฉิงสิบเอ่ย "น่าจะเป็นแผลที่เจ้าอินทรีกลายพันธุ์ตัวนั้นทำขึ้น ข้าน้อยเห็นมาแล้ว ไม่มีพิษ ก็เลยโรยยาห้ามเลือดลดอักเสบให้เขา" ยานั้นของเขาก็คือยาที่ปกติโหลชีมอบให้ ได้ผลกับบาดแผลภายนอกที่เลือดออกดีมาก

"ข้าดูอีกที"

ถึงเฉิงสิบจะบอกว่าบาดแผลไม่มีพิษ แต่โหลชีก็ยังอยากเห็นด้วยตัวเองอีกครั้ง เพราะเฉิงสิบไม่ได้มองพิษทุกอย่างออก

ครั้นแกะผ้าพันแผลที่บ่าเขาออกอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็อดสูดลมเย็นไม่ได้ ส่วนเฉิงสิบก็ถอยออกไปสองก้าว ตกใจยิ่งกว่า มองบาดแผลเขาอย่างเหลือเชื่อ

"เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? นี่มันอะไรกัน?!"

เห็นเพียงบาดแผลของสือเฟยมีสิ่งที่เหมือนตะไคร่หนาๆ เล็กกระจิ๋วขึ้นมาเป็นกลุ่ม สีเขียวเข้ม เบียดเสียดกับแน่นขนัด แทบจะกลบจนมองไม่เห็นบาดแผล

"เจ้าสิ่งนี้..."

โหลชีตะลึงก่อน แต่เมื่อตั้งใจดูให้ดีแล้วนางก็เลิกคิ้วเอ่ย "เหมือนว่าจะเป็นของดีนะ!"

"แม่นาง นั่นมิใช่พิษหรือ?" เฉิงสิบยังตกใจอยู่ บาดแผลมีตะไคร่ ช่างให้รู้สึกแปลกจริง

"ไม่ใช่พิษ ตอนที่เขาบาดเจ็บมีคนทายาให้เขาแล้ว น่าจะเป็นเพราะยานั้นออกฤทธิ์ ตะไคร่ที่ขึ้นตรงบาดแผลในตอนนี้ เป็นสิ่งที่พองออกมาหลังจากน้ำยาซึมซับพิษบาดแผลแล้ว แค่คล้ายกับตะไคร่เฉยๆ"

คนอื่นก็เข้ามามุงด้วย เมื่อเห็นตะไคร่เหล่านั้นแล้วก็พากันแจ๊บปากแปลกใจ แน่นอน นี่เพราะโหลชีบอกว่านั่นไม่ใช่พิษ

"ที่ใส่ยาให้เขา เป็นไปได้มากที่สุดก็คือพ่อแม่ของเขา แต่...ในเมื่อถูกอินทรีทำให้บาดเจ็บแล้ว ทำไมถึงไม่ระวังหน่อย ยังปล่อยให้เขาถูกอินทรีจับไปได้อีก?"

"ไม่ถูกๆ" โหลชีตรวจสอบอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าเอ่ย "ข้ารู้แล้วว่าทำไมอินทรีตัวนั้นถึงต้องจับเขา เพราะในร่างกายเขายังมีอีกสิ่งหนึ่ง คาดว่าเป็นสิ่งที่อินทรีตัวนั้นต้องการ!"

"อะไรหรือ?"

ทุกคนต่างตะลึง

นิ้วของโหลชีเริ่มตรวจสอบลำคอของเขา กดเบาๆ จากทรวงอกไปถึงท้อง แล้วกดโดยละเอียดที่ตรงกระเพาะ

"ของที่กินเข้าไป" นางสรุป

ไม่รู้ว่าสือเฟยกินอะไรลงไป แต่ต้องเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กลิ่น และสามารถเรียกอินทรีกลายพันธุ์ตัวนั้นได้

"ของสิ่งนั้นเป็นของดีหรือ?" เยว่ถาม

โหลชียังตรวจสอบต่อ พักหนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า "ฤทธิ์ยาแรงมาก ถ้าผู้ใหญ่กินน่าจะดีมาก แต่เขายังเด็กเกินไป รับฤทธิ์ยาไม่ได้ ก็เลยทำให้มีไข้ ที่ดำคล้ำก็อาจเพราะกินเจ้าสิ่งนั้นไม่ถูก มีพิษอยู่หน่อยๆ แต่เขาก็โชคดีมาก ยาที่ใส่บนแผลดูดพิษนั้นได้พอดี"

ที่จริงนี่เป็นการอนุมานของโหลชี แต่อีกไม่นานนางก็จะรู้ ว่าเรื่องที่นางอนุมานนั้นเป็นจริงแทบทั้งหมด

"เช่นนั้นตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม? " เฉิงสิบยังเป็นห่วงสือเฟย

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องพันแผลให้เขาแล้ว ฤทธิ์ยาน่าจะยังทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกประเดี๋ยวดูดซับพิษหมดแล้วก็หาย"

สิ้นเสียงโหลชี ก็เห็นตะไคร่เขียวบนแผลเขาขยายกว้างด้วยความรวดเร็วที่ดวงตามองเห็น และแทบจะคลุมไปทั่วไหล่เขา เมื่อนั้นความดำคล้ำบนใบหน้าเขาก็ค่อยๆ จางหายไป

นางหยิบผ้าที่หน้าผากเขาออก ลูบดู "ไข้ก็ลดแล้ว"

เฉินซ่ายื่นมือมาทางนาง แล้วดึงนางลุกขึ้น "ให้เฉิงสิบเฝ้าเขา เราไปดูถ้ำนี้กัน"

"ข้าอยากรอเขาตื่นแล้วถามว่าเขากินอะไรไป แล้วใครเป็นคนใส่ยาที่แผลให้เขา" ถึงโหลชีจะพูด แต่ก็ยังเอามือวางไว้ในมือเขา แล้วถูกเขาดึงเข้าที่อก "เจ้าสิ่งนั้นต้องเป็นของดีแน่ ถ้ายังมี ก็ไม่มีเหตุผลที่จะพลาดใช่ไหม?"

"อือ เป็นไปได้" ครั้นเฉินซ่าเห็นดวงตานางเป็นประกายก็รู้สึกชอบมาก "แต่ตอนนี้ข้าเจอสิ่งหนึ่ง เจ้าจะดูไหม?"

"ดูๆๆ!" โหลชีกอดแขนเขาอย่างคึกคักทันที ขอเพียงมีของดี นางก็อยากได้หมด!

มีโลกนี้ครึ่งปีแล้ว โหลชีรู้ชัด ว่าของดีอย่างไรก็ไม่ถือว่าเยอะ! อีกอย่างสำหรับนางแล้ว ให้ดีที่สุดก็ต้องเป็นสมุนไพร! สมุนไพรไม่เพียงแต่ขายได้ ทั้งยังรักษาโรคได้ บางอย่างยังเอามาทำเป็นยาเพิ่มพลังยุทธ์ได้อีก ของพวกนี้เอาไว้ใช้เชื่อมสัมพันธ์ก็ดียิ่ง

เมื่อครู่ขณะที่พวกเขามุงล้อมสือเฟย เฉินซ่าก็ดูถ้ำหินนี้คร่าวๆ แล้ว และพบของแปลกอย่างหนึ่ง เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่โหลชีเก่งด้านนี้มาก บางทีนางอาจจะรู้

ในส่วนลึกของถ้ำหิน ที่ผนังหินหลังใหญ่มีน้ำไหลผ่านบางๆ ที่ตรงกลางนั้นมีพืชดอกที่มีผลสีแดงสิบกว่าลูกงอกออกมาแน่นขนัดกิ่งหนึ่ง เมื่อเดินไปจนถึงระยะห่างสิบกว่าก้าวก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น

และเพราะความหอมเช่นนี้ เฉินซ่าถึงคิดว่านี่น่าจะเป็นของดี เพราะความหอมชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกว่าความอ่อนล้าหายไป

"ผลไม้แดงตะวัน!" โหลชีอุทานออกมาด้วยความดีใจ

เฉินซ่าเลิกคิ้ว รอการอธิบายของนาง

เมื่อเห็นของดี โหลชีก็ตื่นเต้นคึกคัก "ตามที่นักพรตเลวเขียนอยู่ในบทตำนานประหลาด ผลไม้แดงตะวันเป็นผลไม้ที่บำรุงจิตและพละกำลังได้ดีเยี่ยม ทั้งหลังจากกินผลไม้แดงตะวันแล้วก็จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยสามวันสามคืน! ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีผลข้างเคียง!"

"แค่นี้เอง?"

ครั้นโหลชีได้ยินก็เคือง "อะไรเรียกว่าแค่นี้เอง? ความเหน็ดเหนื่อยของร่างกายสามารถพักผ่อนก็ฟื้นฟูได้เร็วแล้ว แต่ถ้าจิตใจมีปัญหา ก็จะส่งผลกับร่างกายมาก เวลานี้ขอแค่มีผลไม้แดงตะวัน แพล็บเดียวก็มีพลังเต็มเปี่ยมแล้ว ดูสิได้ผลดีขนาดไหน? อีกอย่าง ถ้ากำลังต่อสู้เป็นตายกับศัตรูอยู่ล่ะ? อีกฝ่ายเหนื่อยปวกเปียก ส่วนเจ้าฟื้นกำลังอยู่ในภาวะที่ดีเยี่ยมชั่วพริบตาเดียว นี่ก็ถล่มอีกฝ่ายได้แล้วมิใช่หรือ?"

ในดวงตาเฉินซ่าแวบรอยยิ้ม

"ดีนี่ ท่านจงใจแกล้งข้าใช่ไหม?" โหลชีรู้ขึ้นมาได้ทันที ขณะที่นางบอกว่าเป็นผลไม้ที่เสริมกำลังกายใจ เขาก็น่าจะคิดประโยชน์ของมันได้แล้ว แต่แสร้งทำดูนางเต้นผาง

เฉินซ่าอดกอบใบหน้านางไม่ได้ แล้วก้มศีรษะกัดริมฝีปากนาง ไยจึงน่าพิสมัยเช่นนี้นะ? ไยเมื่อเห็นท่าทางหน้ายิ้มชื่นบานก็ชอบขนาดนี้?

เขาไม่เคยมีความรู้สึกที่หัวใจแน่นเอี๊ยดเพราะคนคนหนึ่งเลย

ใบหน้าโหลชีร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรง ลมหายใจเฉินซ่าเข้มข้นเกินไป ขณะที่เขาจุมพิตนาง นางก็รู้สึกได้ว่าเขารุกรานกระทั่งจิตวิญญาณของนางด้วย

"ข้าจะไปเก็บผลไม้"

จะดูอย่างไรนางก็เหมือนหนีไปเพราะกระเจิดกระเจิง

ผลไม้แดงตะวันเก็บมาได้ทั้งหมดสิบสามลูก โหลชีเด็ดพวกมันแล้วเก็บไว้อย่างดี พึงพอใจมาก มาครั้งนี้ได้ผลไม้แดงตะวันก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว แล้วนางยังได้ปิ่นระย้าหงส์ที่เหมือนจะเป็นของมารดานางอีก และอย่างน้อยก็หาสือเฟยเจอ

"พระสนม เด็กคนนั้นตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เสียงของโหลวซิ่นดังมาก

"ไป รีบไปถามว่าเขากินอะไรลงไปกันเถอะ!"

เฉินซ่ามองนางรีบแล่นออกไปเร็ว จากนั้นก็ส่ายศีรษะตามไป ช้าๆ

ทว่าโหลชีเพิ่งวิ่งเข้าไปใกล้หินใหญ่ที่เฉิงสิบกับสือเฟย ก็หยุดฝีเท้ากึกทันที พร้อมกันนั้นก็ยกนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปากด้วย "ชู่!"

ทุกคนตะลึงงัน แม้แต่เฉินซ่าที่อยู่ข้างหลังนางก็หยุดเท้าด้วย

โหลชีใจเต้นตึกตัก หากมิใช่เพราะนางวิ่งมาทางนี้พอดี ก็คงยากจะได้เห็นเจ้านั่นแล้ว

แต่ตอนนี้นางเห็นแล้ว

"เฉิงสิบ" นางเรียกเฉิงสิบเสียงเบา "อุ้มเด็กขึ้นมา เบาๆ นะ"

เฉิงสิบเห็นการกระทำของนางก็ตื่นตระหนกนานแล้ว เขาเชื่อฟังคำสั่งของนางโดยสมบูรณ์ เมื่อได้ยินดังนั้นก็อุ้มสือเฟยขึ้นมา ดีที่สือเฟยเพิ่งตื่น สติยังไม่ฟื้นเต็มที่ ตอนนี้ยังงัวเงียอยู่เล็กน้อย

"อุ้มขึ้นมาแล้ว ก็ค่อยๆ ยืน จำไว้ ต้องค่อยๆ" โหลชีไม่กล้ากระโตกกระตากกับเจ้านั่นแม้แต่น้อย นางประมาทไปแล้ว ในบทตำนานประหลาดของนักพรตเลวบันทึกไว้อย่างชัดเจน ว่าจุดที่มีผลไม้แดงตะวันอยู่ โดยทั่วไปก็จะมีเจ้านั่นด้วย และที่เจ้านั่นปกป้องอยู่ก็คือผลไม้แดงตะวันนั่นเอง

แต่ทำไมมันถึงไม่อยู่ข้างผลไม้แดงตะวันล่ะ? แต่มาอยู่ในจุดที่ห่างออกมายี่สิบกว่าเมตร โหลชีอนุมานว่าเกี่ยวกับแอ่งน้ำนั้น เพราะน้ำทางผลไม้แดงตะวันน้อยมาก บางๆ ชั้นเดียว พอทำให้ผนังหินชื้นเท่านั้น

เฉินซ่าเดินมาถึงข้างตัวโหลชีแล้ว เมื่อมองตามสายตานาง เขาก็เห็นเจ้านั่น ขมวดคิ้วพลัน

เขาเอ่ยกับเฉิงสิบ "ปิดจมูกปากเด็ก กลั้นลมหายใจ"

โหลชีตะลึงมองเขา "เจ้าก็รู้เจ้านั่นด้วยหรือ?"

"อือ" เฉินซ่าไม่พูดมาก เพียงแต่เอ่ยกับคนอื่น "พวกเจ้าออกไปก่อน"

"นายท่าน..." เยว่ลังเล ยากนักที่จะเห็นพวกเขาทั้งสองหน้าตาเคร่งเครียดเช่นนี้ เขาห่วง ห่วงจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ