ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 325

"ออกไป" ในน้ำเสียงนั้นเจือความเย็นชา ไม่เปิดโอกาสให้ปริปาก

เยว่จึงได้แต่พาทุกคนถอยไปอีกทางของถ้ำ ถ้ำมิได้มีแค่ทางเมื่อครู่นั้น ตอนที่เขามาพวกเขายังพบทางเล็กๆ อีกทางหนึ่ง

หลังจากพวกเขาถอยออกไป ในถ้ำนี้ก็เหลือเพียงสี่คน เฉินซ่าและโหลชีมองเฉิงสิบที่อุ้มเด็กคนนั้นยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่นิ่งไม่กระดุกกระดิก

"แม่นาง..." เฉิงสิบเรียกโหลชีเบาๆ

เขารู้สึกได้ เวลานี้แม่นางของเขาตื่นตระหนกมาก ใบหน้าประหนึ่งหยกของนางเคร่งเครียด ริมฝีปากก็เม้มแน่น เขารู้ว่าข้างตัวเขาต้องมีอะไรที่แม้แต่นางก็รู้สึกกลัว แต่เมื่อเห็นนางแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเขากลับไม่ตื่นตระหนก ไม่เลย

เฉิงสิบรู้ว่าโหลชีกลัวว่าเขาจะตาย

องครักษ์คนหนึ่งสามารถถูกนายให้ความสำคัญเยี่ยงนี้ เอาใจใส่ขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว จริงๆ

โหลชีมองเขาแวบหนึ่ง เวลานี้ใบหน้าเฉิงสิบที่คมคายไร้ใดเทียมกลับมีรอยยิ้มจางๆ นางตะลึงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ "เฉิงสิบ เจ้ายิ้มก็ไม่มีประโยชน์ ระวังหน่อย มิเช่นนี้ระวังนะ ตายไปแล้วข้าจะถลกหนังเจ้ามาทำกลองหนังมนุษย์"

ยากนักที่นางจะพูดได้ไม่น่าฟังเช่นนี้ แต่คิดไปก็ใช่ นางใช้คำสาปเลือดดวงชะตาช่วยเฉิงสิบที่เกือบตายให้รอดมาได้ ใยหนอนดอกเมฆยังทำให้เขาตายไม่ได้ ที่นี่มีแค่สัตว์ประหลาดตัวเดียว คงไม่ทำให้เขาตายอยู่ที่นี่กระมัง

รอยยิ้มเฉิงสิบลึกลงไปอีก

"ค่อยๆ เดินมา เดินทางขวาง ฝีเท้าให้เบาที่สุด" นางพูดไปพลางมองเจ้านั่นแบบไม่ให้คลาดสายตา ที่จริงเวลานี้นางรู้สึกว่าพวกเขาก็ผ่านมาได้แล้วหนหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาตั้งหลายคนมามุงกันอยู่ที่นี่ ความเคลื่อนไหวก็ไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ทำไมเจ้านั่นถึงไม่ขยับ หากเมื่อครู่มันโจมตี เช่นนั้นทุกคนก็ต้องหนีไม่รอดแน่

เมื่อครู่เสียงดังขนาดนั้นยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้โหลชีกับเฉินซ่ากลับไม่กล้ารู้สึกโชคดี ก่อนหน้านี้ที่มันไม่ลงมือ อาจเพราะหลับสนิทอยู่ แต่ตอนนี้โหลชีเก็บผลไม้แดงตะวันมาแล้ว บางทีเจ้านั่นอาจรู้สึกได้ หากมันจะตกใจตื่นขึ้นมาก็ไม่แปลก

เฉิงสิบเดินไปทางพวกเขาทีละก้าวๆ ขณะที่เห็นว่าใกล้จะเดินถึงพวกเขาทางนั้นแล้ว ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ขยี้ดวงตา มองเขาแล้วก็ดิ้น

"พวกเจ้าเป็นคนชั่วใช่ไหม? ข้าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่! ข้าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่!

เสียงร้องของเขาดังขึ้น ดังชัดกังวานมาก

โหลชีกับเฉินซ่าต่างตกใจ เพราะพวกเขาพบว่าเจ้านั่นขยับด้วยเสียงของเด็กคนนั้นที่ร้องขึ้นแบบกะทันหัน

"มันตื่นแล้ว!"

เฉินซ่ากุมมือโหลชี ฝ่ามือนางชุ่มเหงื่อไปหมด ตื่นตระหนก ตื่นตระหนกจริงๆ

เขามองนางแวบหนึ่ง กลับเห็นเม็ดเหงื่อละเอียดยิบผุดออกมาจากมุมหน้าผากนาง นางกำลังกลัวหรือ? เขาหันไปทางเฉิงสิบ ขยับริมฝีปาก

เฉิงสิบมองเขาด้วยความระทึก

ในดวงตาเฉินซ่าเป็นความแน่วแน่ที่มิให้เอ่ยแทรก

ทันใดนั้นโหลชีก็เหมือนจะรู้อะไรขึ้นมา ขณะที่นางกำลังจะมองเฉินซ่า เขาก็กางนิ้วทั้งห้าไปทางเฉิงสิบ พลังดูดที่แข็งแกร่งดูดเฉิงสิบกับเด็กคนนั้นมาทันที พร้อมกันนั้นก็จี้จุดแล้วโยนนางไปทางปากถ้ำ

ไอ้เลวเฉินซ่า!

แม้โหลชีจะด่าทอเดือดพลุในใจ แต่นางก็หยุดความเร็วที่ปลิวไปทางปากถ้ำไม่ได้ ส่วนเฉิงสิบกลับเหาะออกมา มือหนึ่งอุ้มเด็ก อีกมือหนึ่งก็จับที่เอวนาง พานางพุ่งออกไปนอกถ้ำ

เฉิงสิบไอ้คนทรยศ!!!

เพลิงโทสะในดวงตาโหลชีพุ่งทะยานฟ้า

บทตำนานประหลาดบันทึกว่าไว้ รอบๆ ผลไม้แดงตะวันจะมีกบหกขา เมื่อกบหกขาออกมาต้องมีตายหนึ่ง

ตอนนั้นนางเคยถามนักพรตเลว ว่ากบหกขาออกมาต้องมีตายหนึ่งหมายความว่าอะไร นักพรตเลวบอกว่าเสียงของกบหกขาน่ากลัวมาก ในรัศมีสิบจั้ง ใครก็ทัดทานเสียงชนิดนี้ไม่ได้ เสียงชนิดนี้จะทำลายแก้วหูคนในเสี้ยววินาที กระแทกหัวใจสลาย ต่อให้เป็นเทพอรหันต์ก็ช่วยไม่ได้

นางเดา นั่นต้องเป็นการโจมตีแบบคลื่นเสียงแน่

ถ้าแค่ทำแก้วหูแตกก็ยังไม่น่ากลัวขนาดนั้น ทว่าแม้แต่หัวใจและอวัยวะภายในก็ถูกกระแทกจนแหลกด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องเสียงและโสตประสาทหูแล้ว คลื่นเสียงไร้รูปไร้แบบ ทั้งยังเข้าได้ทุกอณู บริเวณที่โจมตีไม่มีมุมลับ ไม่อาจหลบและทัดทาน และไม่มีวิธีไหนที่จะต้านได้ด้วย

อีกอย่าง ความเร็วการโจมตีของกบหกขาก็เร็วถึงที่สุด ชั่วพริบตาก็ทำหัวใจคนแหลกได้ ทำให้คนเลือดออกเจ็ดทวาร และเพราะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีกำลังภายในแข็งแกร่งเพียงใด หากพบกบหกขาก็ต้องตายอย่างไม่มีทางสู้ นอกเสียจากถอยออกห่างสิบจั้งก่อนที่กบหกขาจะส่งเสียง!

แต่เสียงของกบหกขาใช้พลังงานมาก ดังนั้นเมื่อมันส่งเสียง ก็ต้องมีคนตายหนึ่งคน ดูดซับพลังงานจากตัวคนผู้นั้น มิเช่นนั้นมันก็จะตายเสียเอง

แม้เฉินซ่าจะรู้จักกบหกขา แต่เขาต้องไม่รู้แน่ว่ากบหกขาเฝ้าผลไม้แดงตะวันอยู่ มิเช่นนั้นเมื่อครู่เขาต้องไม่ลืมแน่ มีแต่นางที่ดูของพวกนั้นนานไปหน่อย บางครั้งก็เลยลืมบางเรื่องไป

เมื่อออกจากปากถ้ำ เฉิงสิบก็ยัดเด็กคนนั้นให้โหลซิ่นทันที จากนั้นก็ผลักโหลชีไปทางองครักษ์เยว่ หันหน้าจะพุ่งเข้าไปในถ้ำหินอีก แต่ผ้าคาดเอวเขากลับถูกเกี่ยวไว้ เมื่อก้มหน้าลงมอง นั่นเป็นนิ้วหนึ่งของโหลชี และเพราะออกแรง นิ้วจึงเจือขาวแล้ว

ก็ไม่รู้ว่านางที่ถูกจี้จุดใช้นิ้วเกี่ยวเขาไว้ได้อย่างไร เฉิงสิบสบตาคู่นั้นของโหลชี ใจเต้นตึกตัก เพลิงโกรธคลุ้มคลั่งในดวงตาคู่นั้น นางต้องเดือดดาลถึงที่สุดแล้วเป็นแน่

ดวงตาโหลชีถ่ายทอดความหมายนี้มา คลายจุดให้นาง มิเช่นนี้นางจะไม่ไว้เขาแน่!

เฉิงสิบสะท้าน แล้วคลายจุดให้นางแบบรวดเร็วฉับพลัน โหลชีไม่มีเวลาจะพูดอีก พุ่งร่างกลับเข้าถ้ำหินทันที

"เฉิงสิบ นี่มันอะไรกันแน่?" เยว่ถามขึ้น

สีหน้าเฉิงสิบขาวซีด "ฝ่าบาทบอกว่าเป็นกบหกขา..."

เมื่อครู่ฝ่าบาทบอกว่าเป็นกบหกขา และบอกว่าจะช่วยเขาอย่างไร แต่ขณะที่เขาออกไปให้พาโหลชีออกไปด้วย ในใจเฉิงสิบอยากช่วยโหลชี ดังนั้นจึงรับปาก

เพียงแต่วินาทีที่เขาพานางออกมาก็รู้ว่าตัวเองอาจเลือกผิดไป ด้วยนิสัยแม่นางของเขา นางจะทิ้งฝ่าบาทไว้ได้อย่างไร?

"กบหกขา!" สีหน้าเยว่เปลี่ยนพลัน

เขาได้ยินเรื่องกบหกขาพร้อมกับฝ่าบาท นั่นเป็นหมอเทวดาอธิบายวัตถุดิบยาบางอย่างกับพวกเขาในสมัยก่อน แล้วได้พูดถึงกบหกขานี้ด้วย บอกว่าตำนานกบหกขานี้ หากเอามาต้มกินก็จะเป็นประโยชน์ต่อโสตประสาทหูอย่างยิ่งยวด แต่ขณะที่กบหกขาปรากฏตัว ไม่ว่าใครก็แค้นที่พ่อแม่ไม่ได้ให้ขาเพิ่มสองข้าง พวกเขาจะได้วิ่งเอาชีวิตรอดได้เร็วขึ้นอีกหน่อย

ขณะที่โหลชีพุ่งเข้าไปก็เห็นเฉินซ่าซัดฝ่ามือไปทางกบหกขาที่กำลังกระโดดอยู่ด้านหลังเขา หากแก้มของมันป่องจะส่งเสียง และตอนที่นางเห็นมันก็แก้มป่องแล้ว เมื่อครู่เฉินซ่าหันตัวไป เห็นชัดว่ากบหกขาตัวนั้นไล่ตามเขา

แต่โหลชียื่นมือชักแส้ปลิดวิญญาณกำลังจะฟาดไปทางกบหกขา เงาม่วงหนึ่งก็แล่นผ่านนางแล้วพุ่งไปทางกบหกขา

"วู๊วู!"

ใครก็คิดไม่ถึงว่าที่เรียกออกมาจะเป็นวู๊วู และกบหกขาเพิ่งอ้าปากจะร้อง จิ้งจอกม่วงก็กัดหัวมันในคำเดียว เคี้ยวกบหกขากรุบๆ สองสามที ดูดจนแห้ง จากนั้นก็ซู๊ดจน กบหกขาแฟบไปทั้งตัว

เฉินซ่า "..."

โหลชี "..."

จิ้งจอกม่วงแกร่งขนาดนี้ เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเขาวิ่งกันทำไม?

"วู๊วู เจ้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าทรงพลังเช่นนี้!" โหลชีอุ้มจิ้งจอกม่วงที่มุดเข้าอ้อมแขนนางอย่างจะเอารางวัล ทีแรกด้วยความตื่นเต้นคิดจะจุ๊บปากมันทีหนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงว่ามันเพิ่งกินกบหกขาตัวเป็นๆ ไป นางก็ทิ้งความคิดนี้โดยพลัน

"จิ้งจอกม่วงแสงจันทร์ที่เจ้าได้มาช่างเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนัก" เฉินซ่ามองนางพลางเอ่ย

แต่เวลานี้โหลชีกลับนึกถึงตาเฒ่าจิน "ตอนแรกเป็นตาเฒ่าจินที่จะจับวู๊วู แต่ข้าสยบมันแทนเขา ตอนนั้นยังให้เขาช่วยเอางูยักษ์เย็นสารทฤดูไปส่งที่ตำหนักจิ่วเซียวด้วยแน่ะ แต่ตอนหลังไม่รู้ว่าตาเฒ่าจินเจอเรื่องอะไรกันแน่ วู๊วูก็เลยถูกคนชุดดำจับไปขายที่โรงพรรณยา และถึงได้พบข้า ไม่รู้ว่าตอนนี้ตาเฒ่าจินเป็นอย่างไรแล้วสินะ"

"ด้วยวรยุทธ์ของตาเฒ่าจิน ไม่เกิดเรื่องง่ายขนาดนั้นหรอก ข้าเดาว่าเขาคงเจอเรื่องอะไร แล้วจิ้งจอกม่วงก็เลยหนีไปเอง"

โหลชีพยักหน้า "ก็อาจเป็นอย่างนี้" นางอุ้มจิ้งจอกม่วง คิดในใจว่าตอนนี้นางกับจิ้งจอกม่วงก็อยู่ด้วยกันจนมีความผูกพันแล้ว หากต่อไปตาเฒ่าจินคิดจะทวงจิ้งจอกม่วงกลับให้หลานสะใภ้เขา ก็ไม่แน่ว่านางจะยอมมอบวู๊วูให้

เวลานี้เยว่กับคนอื่นๆ ก็ดาหน้าเข้าถ้ำหินมา พบกว่าพวกเขาปลอดภัยดี แล้วยังอุ้มจิ้งจอกม่วงสนทนากันอีก จึงอดไม่ได้ที่จะตะลึง

"ฝ่าบาท แม่นาง นี่..." เฉิงสิบอึ้งค้างไปก่อน

เสียงเขาของเตือนโหลชีให้คิดบัญชีย้อนหลัง ใบหน้านางจึงขรึมพลัน จ้องเฉิงสิบ "เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้า? หา? ไม่ใช่ว่าจะเชื่อฟังข้าเสมอหรือ? แต่เจ้ากลับกล้าทรยศข้า!"

เฉิงสิบร้อนรนทันที "แม่นาง! ข้าน้อยไม่ได้ทรยศท่าน..."

โหลชียื่นนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไปรูดซิปอยู่หน้าปากเขา "หุบปาก! ตอนนี้ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าพูด!" นางหันไปทางเฉินซ่า "เจ้าก็ด้วย! ตั้งแต่ตอนนี้ห้ามมาพูดกับข้า!" โมโหชะมัด เมื่อครู่เกือบลืมคิดบัญชีกับเขา

เมื่อพูดจบ นางก็อุ้มจิ้งจอกม่วงเดินไปทางปากถ้ำ เดินไปก็เอ่ยอย่างโมโหไป "วู๊วู สุดท้ายก็เป็นเจ้าดีที่สุด กินกบหกขาได้ให้ความอบอุ่นข้า ทำหน้าบ้องแบ๊วแถมไม่ทะเลาะกับข้าด้วย เจ้าว่าผู้ชายพวกนั้นทำอะไรได้? แต่ละคนสู้เจ้าไม่ได้ทั้งนั้น!"

บรรดาผู้ชายที่สู้จิ้งจอกน้อยไม่ได้ต่างมองหน้ากัน สุดท้ายก็มองเฉินซ่ากับเฉิงสิบ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

โหลวซิ่นไม่กล้ายิ้มเยาะเรื่องของเฉินซ่า จึงแค่ตบบ่าของเฉิงสิบ ถอนหายใจเอ่ย "เฮ้อ ไม่ใช่ว่าสหายไม่ช่วยเจ้า แต่เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ รีบคิดหาวิธีเอาใจให้แม่นางอารมณ์ดีเถอะ"

ว่าแล้วก็ส่ายหน้าถอนใจเดินจากไป

ส่วนเยว่กลับมองเฉินซ่าอย่างลำบากใจ "นายท่าน..."

ริมฝีปากบางของเฉินซ่าปิดเบาๆ แต่นัยน์ตากลับแวบรอยยิ้มหนึ่ง เขาส่ายหน้า "มิเป็นไร"

ยกเท้าแล้วตามโหลชีไป ที่นางโกรธ ก็เพราะในใจนางมีเขา นางไม่ชอบให้เขาผลักนางออกไปในช่วงความเป็นความตาย นี่หมายถึงนางยินดีที่จะร่วมเป็นตายกับเขา ดังนั้นนี่มีอะไรให้เขาห่วง ให้เขาโกรธกัน? เวลานี้เขาอารมณ์ดีมาก ดีสุดๆ

ด้านนอก หลูต้าลี่กำลังจ้องกันไปกันมากับเด็กคนนั้น

เวลานี้เด็กคนนั้นไม่โหวกเหวกแล้ว และไม่รู้ว่าเพราะถึงหลูต้าลี่จะร่างใหญ่บึกบึน แต่หน้าตากลับซื่อๆ หรืออย่างไร

โหลชีแวบดวงตาไป จากนั้นก็ตะโกน "นี่! เจ้าเด็กน้อย มาเล่นกับจิ้งจอกน้อยของข้าไหม?" ว่าแล้วก็ตบๆ จิ้งจอกม่วง "ถึงเวลาแอ๊บแบ๊วแล้ว!"

จิ้งจอกม่วง "วู๊วู วู๊..."

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ