ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 326

หนูน้อยสือเฟยถูกวู๊วูดึงดูดจริงๆด้วย วู๊วูวิ่งไปมารอบๆขาของเขาขนสีม่วงแสมสีเงินอ่อนนุ่มบนตัวมันดึงดูดให้เขายื่นมือออกไปสัมผัส วู๊วูใช้ลิ้นเลียไปที่ฝ่ามือเล็กของเขา หยอกจนเขาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา

โหลชีเข้าไปใกล้ กล่าวถามว่า: "บอกน้าสิ เจ้าชื่อสือเฟยใช่ไหม?"

"ไม่ใช่" เขากล่าว: "ข้าชื่อเสี่ยวเฟย!"

อืม ก็ได้ เสี่ยวเฟย เผ่าชักมังกรไม่มีคนนอกเข้ามา ทั้งเผ่าล้วนแซ่สือกันหมด คาดว่าพวกเขาคงไม่มีความเคยชินในการเรียกชื่อพร้อมแซ่

"เสี่ยวเฟย แล้วพ่อแม่เจ้าล่ะ?"

ขณะที่โหลชีถามก็มองดูบาดแผลบนไหล่ของเขาไปด้วย สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากคือตะไคร่น้ำเหล่านั้นร่วงหล่นไปแล้ว และบาดแผลของเขาก็ดีขึ้นมากแล้ว เลือดหยุดไหลสนิทแล้ว และแผลก็สมานกันมากแล้ว ดูแล้วเหมือนแผลที่เป็นมาหลายวัน ฟื้นฟูไปแล้วสี่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์

ประสิทธิภาพของยานั่นดีจนน่าทึ่งมากจริงๆ!

เวลานี้เฉิงสิบเดินเข้ามา เห็นนางกำลังดูแผลของสือเฟย ก็เข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า: "แม่นาง ตอนที่เขาเพิ่งตื่นมาก็บอกว่าคัน ยื่นมือไปเกาก็เลยทำให้ตะไคร่น้ำทั้งแผ่นนั้นหลุดไป......"

โหลชีมองค้อนเขาครู่หนึ่ง: "ข้าถามเจ้าแล้วหรือ? ข้าบอกว่าสามารถคุยกับข้าได้แล้วหรือ?"

ใบหน้าหล่อเหลานั่นของเฉิงสิบสลดลงไปทันที "แม่นาง ท่านอย่าไม่สนใจข้าน้อยเลย......"

โหลชีไม่สนใจเขา ถามสือเฟยต่อไปอีกว่า: "พ่อแม่เจ้าล่ะ? แล้วก็ ปู่ของเจ้าล่ะ?"

"ท่านพ่อกับท่านแม่ แล้วก็ท่าน ท่านปู่......" ดูเหมือนสือเฟยจะนึกถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวในทันที เบ้ปากก็กำลังจะร้องไห้: "พวกเขาตกลงไปในแม่น้ำ อินทรียักษ์ มันเอาแต่จะตะครุบข้า......"

"พวกเขาตกลงไปในแม่น้ำแล้ว?" โหลชีขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นเฉินซ่าลอยตัวไปบนที่สูงของเขาหิน แล้วมองสำรวจไปรอบๆ

"พวกเขาตกลงไปในแม่น้ำ รีบไปช่วยพวกเขาเร็ว!" สือเฟยยืนขึ้นมา จะไปอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยอีก

เฉินซ่ากระโดดลงมา "แม่น้ำอยู่ทางโน้น" เขาชี้ไปทิศทางหนึ่ง แขนก็โอบรอบไปทางเอวของโหลชี นางจะต้องการจะดิ้นให้หลุดแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ก็เลยจ้องมองเขาอย่างดุดันครู่หนึ่ง

"อย่าให้เด็กน้อยหัวเราะเยาะเจ้าสิ" เฉินซ่ากระซิบที่ข้างหูนาง

เด็กน้อยมีอะไรต้องหัวเราะเยาะนางด้วย? "ท่านคนเดียวแน่มากไม่ใช่หรือ?" โหลชีกัดฟัน ในใจอัดอั้นไม่พอใจอย่างมาก ไม่พอใจ ที่เขาทำนั่นคือการคิดเอาเองตัดสินใจเอง ในตอนนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ เช่นนั้นนางก็ไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับเขาเลย นอกจากนี้ ครั้งสุดท้ายก็ยังไม่ได้เห็น ส่งนางออกมาแบบนั้น นางยังจะรู้สึกว่าตนเองโง่เกินไปเลย

นางเป็นคนประเภทที่เมื่อพบกับอันตราย ไม่พยายามจนถึงวินาทีสุดท้ายจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดมาตลอด และที่เขาทำเช่นนั้นคือการลิดรอนสิทธิในการพยายามจนถึงวินาทีสุดท้ายของนาง ใครจะรู้ว่าวินาทีสุดท้ายนางจะไม่สามารถคิดหาวิธีได้? ถือสิทธิอะไร ถือสิทธิอะไรมาตัดสินใจแทนนาง? หากนางสามารถช่วยทั้งสองคนได้ในวินาทีสุดท้าย แต่เขากลับส่งนางออกไปตัวเองกลับเสียชีวิตในภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด เช่นนั้นต่อไปนางจะใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกเช่นไรในวันเวลาที่เหลืออยู่นั้น?

ใครให้สิทธิเช่นนั้นกับเขา? ใครเป็นคนให้!

"ข้าแค่อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่"

"ไหนบอกว่า ตายก็จะฝังข้าไปด้วยไม่ใช่หรือ? ท่านแม่งพูดแล้วไม่เป็นคำพูด!" โหลชีคำรามคำพูดประโยคนี้เสียงเบาจบ ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกต้องนัก หรือนางหวังอยากจะถูกฝังไปกับเขาขนาดนั้นเลย? ถุยถุยถุย!

เฉินซ่าทำสัญญาณมือ เฉิงสิบอุ้มเด็กนั่นขึ้นมาอีกครั้ง เกลี้ยกล่อมเขาว่าจะพาไปหาพ่อแม่ เยว่อุ้มจิ้งจอกม่วง ทุกคนตามเขาไปมุ่งทางแม่น้ำ

คน คือรับปากเผ่าชักมังกรแล้วว่าจะช่วย และจุดประสงค์หลักของเฉินซ่าก็ยังคงเป็นน้ำพุวิเศษบ่อนั้น ช่วยสือหมินจี จะมีโอกาสค้นพบน้ำพุวิเศษนั้นมากขึ้น

ขณะที่กำลังเร่งเดินทาง ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังคงกระทำการง้อเมียที่เขาไม่ค่อยถนัดมากนักต่อไป

"เดิมทีข้าคิดเอาไว้ว่าบนเส้นทางไปสู่ปรโลกมีคนไปเป็นเพื่อนก็ไม่เลว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าทิ้งไว้คนหนึ่งเอาไว้มาไหว้ตอนเทศกาลเช็งเม้งก็ดีเหมือนกัน......"

"ถุยถุยถุย!" โหลชีโกรธแล้ว หมอนี่พูดบ้าอะไรเนี่ย? "ท่านพูดไม่เป็นก็อย่าพูดได้ไหม?"

ความจริงไหนเลยที่นางจะไม่รู้เจตนาของเขา ไหนเลยจะไม่รู้ แต่มันก็โกรธนั่นแหละ ได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ของเขาก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่

ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่จนใจมาก ไม่อย่างนั้นควรพูดอย่างไรล่ะ?

ดีที่ถึงแม่น้ำเร็วมาก เขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อไปอีก โหลชีฮึออกมาคำหนึ่ง ส่งสัญญาณให้จิ้งจอกม่วง จิ้งจอกม่วงหาคนน่าจะเร็วกว่าพวกเขา

บนตัวของสือเฟยมีกลิ่นของสามคนนั้นแน่นอน ประสาทรับกลิ่นของจิ้งจอกม่วงดีมาก ไม่ต้องกังวลเลยว่ามันจะไม่ได้กลิ่น

เส้นทางการไหลของแม่น้ำสายนี้ไม่กว้าง แต่ว่าแม่น้ำก็ยังไหลปั่นป่วนมาก เพราะภูมิประเทศเป็นแบบเนินลาดลงตลอดทาง บนเส้นทางสายน้ำยังมีโขดหินอีกระเกะระกะเล็กน้อย

ปลายน้ำหักเลี้ยวเข้าไปในหุบเขา มองไม่เห็นแล้ว

"เสี่ยวเฟย เจ้ายังจำได้ไหมว่าพ่อแม่เจ้าพวกเขาตกลงไปในแม่น้ำตรงนี้ใช่ไหม?"

โหลชีถามสือเฟย แต่ว่าเด็กอายุสามสี่ขวบคนหนึ่ง บางทีขณะนั้นอาจจะเป็นช่วงที่กำลังหวาดกลัว ไหนเลยจะสังเกตสิ่งแวดล้อมที่อยู่บริเวณโดยรอบได้? แล้วสือเฟยก็ส่ายหน้าจริงๆ กล่าวด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย: "เสี่ยวเฟยจำไม่ได้"

โหลชีสังเกตภูมิประเทศที่อยู่บริเวณโดยรอบ กล่าวถามอีกว่า: "แล้วเจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนนั้นพ่อแม่เจ้าตกลงไปในแม่น้ำได้อย่างไร?"

"ยา ยาตกลงไปแล้ว"

"ยาอะไรตกลงไป?"

สือเฟยชี้ไปที่ไหล่ของตัวเองแล้วกล่าวว่า: "ยาสำหรับเสี่ยวเฟยตกลงไป ท่านปู่ไปช้อน ตกลงไป ท่านพ่อท่านแม่ก็ตกลงไป"

ตามที่ได้กล่าวมา ก็คือพ่อของสือหมินจีไม่ทันระวังทำยาพวกนั้นตกลงไปในแม่น้ำ จากนั้นเขาก็จะไปช้อนมันขึ้นมา สุดท้ายไม่ทันระวังตัวเองก็ตกลงไปด้วย สือหมินจีและภรรยาจะไปดึงเขา กลับถูกลากลงไปด้วย

โหลชีกำลังจะกล่าวขึ้นมา เฉินซ่าก็ชี้ไปทางก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว "อยู่ที่นั่น"

นั่นคือหลุมยุบสูงชันแห่งหนึ่งของสายน้ำ ข้างบนมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง หินก้อนนั้นแบบราบ คิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคงจะพักผ่อนอยู่บนก้อนหินก้อนนั้น จากนั้นไม่ทันระวังเผลอทำยาตกลงไปใต้ก้อนหิน ซึ่งก็คือในแม่น้ำ

เยว่โฉบไปสำรวจครู่หนึ่ง กลับมารายงานว่า: "ตรงส่วนที่หันไปทางแม่น้ำของหินนั่นมีความลื่นมาก และมีร่องรอยการเสียดสีอยู่"

"เช่นนั้นก็เดินเลาะลงไปจากตรงหินนี้แล้วกัน" โหลชีเดินเลาะลงไปตามแม่น้ำก่อน ขณะที่เดินไปก็มองสำรวจไปในแม่น้ำด้วย

เวลานี้ จิ้งจอกม่วงวิ่งไปไกลมากแล้ว เลี้ยวเข้าไปในตรงโค้งหักเลี้ยวนั่นทันที ไม่เห็นร่องรอยแล้ว นางอดเร่งฝีเท้าไล่ตามไปทางมันไม่ได้

ท้องฟ้าสลัวลงมาแล้ว ในใจพวกเขามากน้อยก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นี่ถ้าหากถึงตอนกลางคืนก็จะยิ่งหายากมากขึ้น และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าที่นี่ยังจะมีอันตรายอะไรอีกไหม ผู้นำเผ่าอาวุโสบอกว่าเขตต้องห้ามนี้มีกลไกกับดักมากมาย แต่ถึงตอนนี้พวกก็ยังไม่พบกลไกกับดักที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเลย แต่ภัยอันตรายกลับมีอยู่

"พระสนม ท่านว่าเข้าไปในหุบเขาที่อยู่ด้านหน้าถึงจะเป็นสถานที่ที่เป็นแกนหลักที่สุดของเขตต้องห้ามใช่ไหม?"

โหลชีส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: "ข้าเองก็ไม่รู้"

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางมีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างหนึ่ง มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับสถานที่แห่งนี้เลย แต่ความรู้สึกแบบนี้นางก็รู้อย่างแปลกประหลาดว่ามันไม่ได้เป็นของนางเอง ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกเช่นนี้อย่างไร

แต่ว่า ความรู้สึกผิดปกติของนางเช่นนี้ เฉินซ่าก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาจับมือของนางเอาไว้แน่น สิ่งที่คิดอยู่ในสมองคือเหตุการณ์ตอนที่เห็นปิ่นระย้าหงส์สีรุ้งก่อนหน้านี้ นางบอกว่าอาจจะเป็นของท่านแม่ของนาง เช่นนั้นมันจะหมายความว่าอย่างน้อยเขตต้องห้ามแห่งนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเล็กน้อยหรือไม่?

ในที่สุดก็ถึงตรงทางโค้งหักเลี้ยวของแม่น้ำนั่น แต่ทันทีที่เลี้ยวโค้งไปพวกเขาก็ต้องสะดุ้งตกใจ

เพราะเพิ่งจะหักเลี้ยว ด้านหน้าก็คือรอยเลื่อน ซึ่งก็คือข้างหน้าไม่มีทางแล้ว กระแสน้ำไหลลงสู่ด้านล่าง กลายเป็นน้ำตกสายหนึ่ง หากพวกเขาวิ่งเร็วเกินไป ไม่แน่อาจจะเบรกฝีเท้าเอาไว้ไม่ทันก็กระโดดลงด้านล่างไปเลย

"วู๊วูล่ะ?" โหลวซิ่นกล่าวถามด้วยความสงสัย วู๊วูมาก่อนสักพักหนึ่งแล้ว คงไม่ใช่ว่าตกลงไปหรอกนะ?

"พวกท่านสังเกตไหมว่าน้ำตกแห่งนี้แปลกมาก?" โหลชีขมวดคิ้วแล้วกล่าวถาม

เฉินซ่ารับคำของนางเสียงต่ำ: "ไม่มีเสียงกระแสน้ำปะทะกัน"

ถูกต้อง มันเงียบเกินไป เงียบจนไม่เหมือนว่ามีน้ำตก เดิมทีน้ำตกไหลหลากลงมาจากที่สูง มันต้องมีเสียงน้ำไหลและเสียงน้ำพุ่งเข้าไปในสระแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าที่นี่กลับไม่มี เพราะไม่มีเสียง เมื่อครู่นี้พวกเขาถึงไม่ได้สังเกต และเลี้ยวเข้ามาในทันใด

"ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลและกลไกกับดัก" มาถึงตรงนี้จู่ๆโหลชีกลับรู้สึกอยากจะลองทำดูเล็กน้อย

นางไม่สนใจว่าที่นี่จะมีความเกี่ยวข้องกับท่านแม่ที่มีความเป็นไปได้ของนางคนนั้นไหม นางแค่อยากทำลายค่ายกลของที่นี่ ทำลายมัน ดูว่ามีสมบัติแปลกๆอะไรบ้างกันแน่

"ถูกต้อง ที่นี่มีค่ายกลขนาดใหญ่อยู่" เฉินซ่ามองสำรวจบริเวณโดยรอบ กล่าวว่า: "แม้แต่ภูเขาบริเวณโดยรอบยังถูกชักนำเข้าไปอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่กึ่งประดิษฐ์กึ่งธรรมชาติแห่งนี้เป็นพิเศษ คนที่จัดวางค่ายกลคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะแน่นอน"

โหลชีดึงมือออกมาจากมือของเขา เรียกออกมาคำหนึ่ง: "วู๊วู!"

วู๊วูก็ไม่รู้ว่ามุดออกมาจากไหนอีกแล้ว โหลชีมองไปที่สถานที่ที่มันออกมาเมื่อครู่นี้ ต้นไม้คดเคี้ยวต้นหนึ่งที่งอกออกมาจากกำแพงภูเขา แต่ไม่เห็นทางเข้ารูเลยแท้ๆ แล้ววู๊วูออกมาจากไหนกัน?

นางเดินเข้าไป ยื่นมือจะไปสำรวจต้นไม้คดเคี้ยวต้นนั้น แต่จู่ๆกระบี่เล่มนั้นของเฉินซ่ากลับดังชิ้งขึ้นมาสั่นไปครั้งหนึ่งดังขึ้นเสียงหนึ่ง

การกระทำของนางหยุดเอาไว้ในทันที หันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ "กระบี่เล่มนั้นมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ?"

เฉินซ่าสีหน้าเคร่งขรึม "กระบี่เล่มนี้ทำมาจากเหล็กดำน้ำแข็งพันปีซึ่งเดิมทีก็เกิดขึ้นจากการดูดซับเลือดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ถ้าหากจู่ๆสามารถทำให้มันเกิดเสียงสะท้อนเดียวกันได้ เช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรเจ้ารู้ไหม?"

หมายความว่าอย่างไร?

โหลชีตะลึงไปครู่หนึ่ง นึกขึ้นมาได้: "หมายความว่าที่นี่มีเลือดจำนวนมาก?"

เฉินซ่าพยักหน้า "หากข้าเดาไม่ผิด ภายในค่ายกลขนาดใหญ่แห่งนี้ เคยมีทุ่งอสุรา ต้องมีคนตายมากมายที่นี่แน่นอน เช่นนี้แล้วเจ้าก็ยังจะทำลายค่ายกลแห่งนี้หรือ?"

"ไม่ทำลายค่ายกลนี้ หรือเราไม่หาคนไม่หาน้ำพุวิเศษแล้ว?" โหลชีกล่าว: "ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะมีคนและน้ำพุวิเศษหรือไม่ ค่ายกลนี้ข้าทำลายแน่"

สายตาของนางหยุดไว้ที่ถุงที่ใส่ปิ่นระย้าหงส์ที่ตนเองถืออยู่ ที่นี่ ไม่แน่อาจจะมีอะไรที่สามารถทำให้นางฝันอีกครั้งก็ได้

"ได้ ข้าไปกับเจ้า"

คนอื่นๆเพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สายตาล้วนเผยความหมายเดียวกันออกมา นางไปไหน พวกเขาก็ไปที่นั่น

โหลชีเม้มปาก ยื่นมือสำรวจไปทางต้นไม้คดเคี้ยวต้นนั้น คว้าลำต้นเอาไว้

เมื่อสัมผัสกลับเป็นความเย็นยะเยือก

โหลชีตกใจเล็กน้อยในทันที "ไอน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ทำค่ายกลด้วยน้ำแข็ง?"

สิ่งที่นางพูดพวกนี้ นอกจากเฉินซ่าแล้ว คนอื่นๆล้วนฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก

"ผนึกความเย็นด้วยความเย็น ข้างในจะต้องเย็นชื้นมากแน่นอน" เฉินซ่ากล่าว

"เกลียดสถานที่สุดหยิน แต่ก็ยังต้องเข้าไป" โหลชีกล่าว ใช้แรงกดต้นไม้นั่นอย่างแรงทีหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ