ใต้หลุมลึกมีผลไม้ทิพย์ และเป็นที่ตั้งของทางออกเช่นกัน
ตอนนี้รู้แล้ว แต่จะลงไปมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลุมนี้ลึกมาก มองไม่เห็นก้นหลุม กระโดดลงไปเช่นนี้นั่นคือการกระทำที่รนหาที่ตายแน่นอน
"ในเมื่อทางออกอยู่ข้างล่าง เช่นนั้นผู้ที่ออกแบบกลไกนี้ก็ต้องออกแบบวิธีลงไปแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนกระโดดลงไปตาย ต้องหากลไกให้เจอ" โหลชีกล่าว แล้วมองไปทางเฉินซ่า
เฉินซ่ากล่าว "กลไกของที่นี่ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับของเขาเฉินอวิ๋น ถึงขั้น......" ถึงขั้นสูงกว่าระดับเลย
โหลชีอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้ ชี้ไปที่เขา: "พูดขึ้นมาแล้วข้ายังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ถามท่านเลย ท่านกับเขาเฉินอวิ๋นมีความสัมพันธ์อะไรกัน? ทำไมท่านถึงได้เป็นวิชากลไกเครื่องจักรของเขาเฉินอวิ๋น? แล้วก็ ดูเหมือนท่านค่อนข้างจะอดทนต่อซูหลิวอวิ๋นมากใช่ไหม?"
ขณะที่เฉินซ่ากำลังสำรวจอยู่ที่ปากหลุม ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบไปด้วย: "พูดว่าเจ้าหึงแล้ว ข้าก็จะบอกกับเจ้า"
โหลชีจ้องตาเขม็ง "ข้าหึง?"
เฉิงสิบและคนอื่นๆที่ถูกเยว่คลายการสกัดจุดเพิ่งตื่นมาก็ได้ยินการสนทนานี้ ต่างก็อดที่จะแอบยิ้มกันไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา แต่ละคนอดกลั้นกันแทบแย่ กลับเป็นสือเฟยที่ตื่นขึ้นมาพอดี ได้ยินคำพูดก็อดถามแม่ของเขาไม่ได้: "ท่านแม่ อะไรคือหึงหวง? น้ำส้มสายชูเปรี้ยวมาก ไม่อร่อย"
หน้าแก่ๆของโหลชีก็อดที่จะแดงขึ้นมาไม่ได้ ยื่นมือออกไปผลักเฉินซ่าทีหนึ่ง เฉินซ่าก็ยื่นมือมาประคองเอวของนางเอาไว้ ถอยหลังกลับไป ทันใดนั้นใต้รองเท้าก็เหยียบไปยังจุดแห่งหนึ่ง หลุมนั้นก็มีแสงสว่างโผล่ขึ้นมาอีกทันที
"เอ๋?" โหลชียื่นหน้าไปดูทันที ที่ก้นหลุมลึกมีแสงสว่าง มองลงไปจากปากหลุมสามารถมองเห็นพื้นผิวเป็นแอ่งน้ำเงียบสงบ น้ำเป็นประกายระยิบระยับ แต่หลุมลึกมากจริงๆ ลึกจนสามารถทำให้คนที่กลัวความสูงเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
"ข้ารู้แล้ว" โหลชีกล่าวออกมาคำหนึ่ง "ช่างเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ควบคุมจากระยะไกล" นางนั่งยองๆลงไปให้เขายกเท้าขึ้นมา เป่าพื้นดินที่เขาเพิ่งเหยียบเมื่อครู่นี้ สัมผัสไปเจอส่วนที่นูนออกมาเล็กน้อยเข้าจริงๆ เมื่อนางเหยียบลงไป ไฟที่อยู่ด้านล่างก็ดับลงไปอีก
"สวิตช์เปิดปิดไฟนี่!" นางเหยียบมันลงไป เปิดไฟที่อยู่ด้านล่าง
เฉินซ่ามองดูนาง สีหน้าจนใจ: "เล่นสนุกแล้ว?" นางอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย?
โหลชียืนขึ้นมา หัวเราะคิกคัก "อยากดูข้าร่ายรำไหม?
"ตกลง" เฉินซ่าโบกมือ เยว่และคนอื่นๆก็รีบหันหลังไปทันที สือหมินจีและคนอื่นๆเห็นดังนั้นก็รีบหันหลังไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฝ่าบาทไม่ให้พวกเขาดูพระสนมร่ายรำ พวกเขาย่อมไม่กล้าดูอยู่แล้ว
โหลชีเหล่มองเฉินซ่าครู่หนึ่ง "ดูนะ"
ฝีเท้านางกระโดดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ท่ารำไม่ใช่ท่ารำ ดูราวกับการกระโดดอย่างแผ่วเบาที่ไร้รูปแบบ เหมือนกวางน้อยตัวเล็กๆที่มีชีวิตชีวาตัวหนึ่งกำลังกระโดดอยู่บนหิมะมากกว่า
แต่ไม่ช้าเฉินซ่าก็พบว่าระหว่างการกระโดดของนางมีแบบแผนอยู่
ในหลุมมีเสียงดังแกร่กๆๆดังต่อเนื่องออกมา เขายื่นหน้าไปดู เห็นเพียงขั้นบันไดยื่นออกมาทีละขั้นทีละขั้นต่อเนื่องกันจากก้นหลุม โหลชีกระโดดแต่ละครั้งขั้นบันไดก็จะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขั้น กระโดดหนึ่งครั้งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น นางกระโดดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ขั้นบันไดพวกนั้นก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ตลอดจนขั้นบันไดขั้นสุดท้ายมาถึงปากหลุมพอดี ร่างของโหลชีก็หยุดอยู่ข้างกายของเขาพอดีเช่นกัน เฉินซ่ายื่นมือไปโอบเอวของนางเอาไว้ "สนมรักร่ายรำได้งดงามจริงๆ"
"ชมเกินไปชมเกินไป" โหลชียิ้มให้เขา "ท่านรู้หรือไม่? วิธีการเคลื่อนเท้าเมื่อครู่นี้ ข้าเคยเห็นคนร่ายรำในความฝัน ตอนแรกไม่รู้ ร่ายรำขึ้นมาถึงได้รู้"
ตอนแรกก็ปิ่นระย้าหงส์สีรุ้ง มีความเป็นไปได้ว่าเป็นของของแม่แท้ๆของนาง จากนั้นก็การจัดเรียงวิธีเคลื่อนเท้าของกลไกนี้ นางเคยฝันเห็นมาก่อน......
ที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของนางจริงๆใช่ไหม?
เฉินซ่ากุมมือของนางเอาไว้: "ตามติดข้าเอาไว้ ห้ามวิ่งไปเรื่อย"
โหลชีกลอกตามองบน เขาเห็นนางเป็นเด็กใช่ไหมเนี่ย? ยังวิ่งไปเรื่อยอยู่
เยว่หันกลับมา มองเห็นขั้นบันไดนั่น ก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน "ฝ่าบาทพระสนม ข้าน้อยลงไปดูก่อน"
"อืม"
เยว่อยู่ข้างหน้า โหลวซิ่นตามติดอยู่ด้านหลัง เฉินซ่าก็จูงโหลชีเดินตามลงไปด้วย ขั้นบันไดสูงนี้รองรับสองคนเดินข้างกันได้ หลังจากเฉินซ่ากับโหลชีก็คือหลูต้าลี่กับครอบครัวสี่คนของสือหมินจี จิ้งจอกม่วงยังอยู่ในอ้อมของสือเฟย ด้านหลังเฉิงสิบอยู่รั้งท้าย
"ขั้นบันไดสั่นไหวเล็กน้อย ทุกคนระวังหน่อย" เป็นบันไดที่ยื่นออกมาตามกลไก ไม่ได้มั่นคงมากนัก คนมากมายขนาดนี้เดินบนนั้นพร้อมกัน มันเลยสั่นไหวเล็กน้อย ซ้ายขวาก็ไม่มีอะไรปิดกั้น ล้มลงไปก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเช่นกัน ถึงวิชาตัวเบาของพวกเขาหลายคนจะดีมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะบินได้
ขั้นบันไดนี้ยาวมาก เดินอยู่นานพักใหญ่กว่าจะถึงก้นหลุม
......
เช้าตรู่เป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของตำหนักจิ่วเซียว
อิงก้าวเท้าออกจากตำหนักสาม เสวี่ยเดินมาอย่างเร่งรีบ ทันทีที่เห็นเขาก็กล่าวว่า: "อิง! ไปดูแม่นางเฟยฮวนนั่นหน่อยเถอะ!"
"แม่นางเฟยฮวนเป็นอะไรไป?"
"เจ้าไปดูก็รู้จะเอง" เสวี่ยเบ้ปาก "หากท่าทางเช่นนี้ยังสามารถเป็นพระสนมได้ แล้วข้าไม่ผ่านตรงไหน?"
"พอแล้ว ตอนนี้เจ้ายังจะพูดเรื่องนี้มีความหมายหรือ?" อิงเหล่มองนางครู่หนึ่ง "เจ้าละทิ้งความคิดแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่า มิเช่นนั้นต่อไปนายท่านไม่มีทางอดกลั้นต่อเจ้าเด็ดขาด"
สีหน้าของเสวี่ยขรึมลงมา
พวกเขามาถึงตำหนักรับรองของตำหนักสอง ก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังยกอาหารเช้าเข้ามา รายงานอยู่หน้าประตู: "แม่นางชุ่ยฮัว อาหารเช้ามาส่งแล้วค่ะ"
อิงตะลึงงัน "แม่นางชุ่ยฮัว ใครน่ะ?"
"เข้าไปดูเองก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ"
เสียงของเฟยฮวนดังออกมา "เอาเข้ามาเลย"
อิงจับต้นชนปลายไม่ถูก รีบเดินเข้าไปทันที ตะโกนเสียงดังขึ้นมา: "แม่นางเฟยฮวน?"
"ใครคือแม่นางเฟยฮวน? ใต้เท้าองครักษ์อิง ที่นี่ไม่มีแม่นางเฟยฮวน"
อิงมองดูเฟยฮวนที่เดินออกมาอย่างตะลึงงัน มองพิจารณานางรอบหนึ่ง คนก็ยังคงเป็นคนคนนั้นอยู่ ถึงแม้สีหน้าดูเหมือนจะซีดขาวเล็กน้อย ขอบตาดำเล็กน้อย แต่ก็เป็นเฟยฮวนจริงๆ และเวลานี้เฟยฮวนกลับเงยหน้ามองดูเขาอย่างงุงงง ราวกับรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเขามาก
อิงต่างหากที่รู้สึกแปลกใจ!
ตนเองยืนอยู่ที่นี่ดีๆ กลับไม่ยอมรับชื่อของตนเอง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
"เจ้าไม่ใช่แม่นางเฟยฮวนหรือ?"
"ใต้เท้าองครักษ์อิง ข้าน้อยชื่อชุ่ยฮัว"
พุด
ชุ่ยฮัว?
"เจ้าไม่ได้ชื่อเฟยฮวนหรือ?" อิงสับสนไปอย่างสิ้นเชิง
ชุ่ยฮัว นั่นเป็นชื่อของสาวชาวบ้านคนไหน?
มือข้างหนึ่งของเฟยฮวนจับเอาไว้ตรงหน้าอกมืออีกข้างถือผ้าเช็ดหน้าปิดเอาไว้ที่ริมฝีปากแล้วไอออกมา ไอเสร็จมองไปที่ผ้าเช็ดหน้า กลับมีเลือดสีแดงสดเป็นแอ่งเล็กๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที
นี่คือสถานการณ์ที่จะปรากฏขึ้นในอาการแว้งกัดของการควบคุมฝัน นางได้รับบาดเจ็บ แต่นางกลับจำไม่ได้เลยว่าตอนที่ร่ายมนต์ควบคุมฝันเฉินซ่าฝันเห็นอะไรกันแน่ ทำไมนางถึงถูกแว้งกัดได้? ตกลงการควบคุมฝันสำเร็จหรือไม่? นางจำไม่ได้สักนิดเลย!
"แม่นางเฟยฮวนเป็นอะไรไป?" อิงขมวดคิ้วขึ้นมา
"ใต้เท้าองครักษ์อิง ข้าน้อยชื่อชุ่ยฮัว เหตุใดท่านถึงเอาแต่เรียกข้าว่าเฟยฮวน?"
......
"พุด"
เดินลงจากขั้นบันได จู่ๆโหลชีก็นึกถึงชื่อของชุ่ยฮัวขึ้นมาอีก อดหัวเราะขึ้นมาอีกไม่ได้ น่าเสียดาย ในตอนที่อีกฝ่ายร่ายมนต์ควบคุมฝันอยู่สามารถสะกดจิตทางอ้อมได้แค่ข้อนี้ก็ทำได้ยากมากแล้ว ได้แค่สะกดจิตนางแล้วเปลี่ยนชื่อให้นาง จะทำอะไรนอกเหนือจากนี้เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ว่า นี่ก็ไม่เป็นไร เชื่อว่าถึงเวลาแม่นางชุ่ยฮัวท่านนี้จะต้องปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาด้วยตัวเองแน่ ถึงเวลานั้นค่อยคิดบัญชีกับนางก็ได้
"หัวเราะอะไรน่ะ?"
เฉินซ่ากล่าวถาม
โหลชีกลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วส่ายหน้า ตอนนี้ยังไม่สามารถเอ่ยเรื่องควบคุมฝันกับเขาได้ กลัวเขาถูกกระตุ้นพลังจิตได้รับความเสียหาย เมื่อคืนเขาน่าทึ่งมากจริงๆ น่าทึ่งจนนางกดไลก์ให้เขาอยู่ตลอดเวลา
"พระสนม ที่นี่มี......" จู่ๆเสียงของเยว่ก็ดังขึ้นมา
และจิ้งจอกม่วงก็วิ่งออกไปกะทันหัน
โหลชีเงยหน้า พวกเขาอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง และภาพสลักที่อยู่บนเสาของห้องโถงกลับเป็นจิ้งจอกม่วง!
"วูวู......" วู๊วูวิ่งวนรอบใหญ่อยู่ตรงรอบเสานั่น
"วู๊วู นี่คือเจ้า หรือว่าญาติของเจ้ากัน?" โหลชีมองดูภาพที่อยู่บนเสาต้นนั้น รู้สึกเพียงแค่ว่าเหมือนกันกับวู๊วูทุกอย่าง แต่นางไม่รู้ว่าจิ้งจอกม่วงทั้งหมดหน้าตาเหมือนกันหมดทุกตัวหรือไม่ หรือว่าตัวนี้ดูแตกต่างเป็นพิเศษ
"วูวู......" แววตาของวู๊วูมีประกายความโศกเศร้าแวบผ่านไป ครู่ต่อมา ก็มีน้ำตาไหลออกมา โหลชีและคนอื่นๆตกตะลึง จิ้งจอกม่วงตัวนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
"หรือว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า? พ่อเจ้า? แม่เจ้า?" โหลชีเดินเข้าไป จิ้งจอกม่วงกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง ถูไปสองสามครั้ง
โหลชีสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ จิ้งจอกม่วงที่อยู่ในภาพไม่ใช่พ่อของมันก็คือแม่ของมันนี่แหละ
เป็นไปไม่ได้ที่จิ้งจอกม่วงจะแตกออกจากก้อนหินอยู่แล้ว
"บางทีเมื่อก่อนคนที่ออกแบบกลไกนี้อาจจะเคยจับจิ้งจอกม่วงได้ตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือพ่อแม่ของวู๊วู" เยว่กล่าว
โหลชีเลิกคิ้วขึ้นมา: "เฮ้ พูดให้มันดีๆหน่อย! นี่ข้าไม่ได้เป็นคนจับมันมาไหม? เพื่อปลาย่างตัวเดียวมันเลยสมัครใจติดตามข้าเองตกลงไหม?"
พูดซะอย่างกับว่านางเป็นคนเลวที่บังคับสัตว์อย่างนั้นแหละ
ห้องโถงนี้ก็ยังว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม กำแพงหินโดยรอบก็ยังหากลไกและประตูลับอะไรพวกนั้นไม่เจอเหมือนเดิม
โหลวซิ่นอดที่กล่าวออกมาไม่ได้: "คงไม่ใช่หลุมลึกอีกแห่งหนึ่งหรอกนะ? แม่นาง ให้ข้าน้อยลองกระโดดอีกครั้งดูไหม?"
"เจ้ากล้าไปเจ้าก็ไปเลย" โหลชีกวาดตามองเขาครู่หนึ่ง
โหลวซิ่นเกรงกลัว ถูกนางพูดเช่นนี้จะกล้าไปกระโดดได้อย่างไรอีก?
โหลชีค่อยๆเดินเข้าไป นางรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น กลไกที่เหมือนกันไหนเลยที่จะใช้ครั้งที่สอง? อีกอย่าง หลุมลึกนี่ก็ลึกมากพออยู่แล้ว หากลึกลงไปอีก นางรู้สึกไม่ค่อยเป็นไปได้เท่าไหร่นัก นั่นต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรทางการเงินมากเกินไป ไม่มีความจำเป็นจริงๆ
ในขณะที่นางเดินไปถึงตรงมุมหนึ่ง จู่ๆเฉินซ่าก็หยุดนางเอาไว้ "ชีชี หยุดอย่าขยับ"
ในตอนที่เสียงของเขาดังขึ้นมาโหลชีก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถึงขั้นเท้าขวาที่ยกขึ้นมาของนางก็ยังไม่ได้เหยียบลงไปเลยด้วยซ้ำ
เฉินซ่าเดินไปข้างกายของนาง ดึงพิชิตวันออกมา ขุดหินก้อนใหญ่ออกมาจากกำแพงหินที่อยู่ด้านข้างโดยตรง ขณะเดียวกันกับที่หินก้อนนั้นตกลงไปบนพื้นเขาก็ดึงนางลอยถอยหลังออกไป
ชิ้วๆๆๆเสียงลูกธนูที่หนาแน่นดังขึ้นมา ลูกธนูนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมา เป็นการกราดยิงแบบไร้กฎเกณฑ์! ยิงไปยังทุกซอกทุกมุม ไม่มีทางหลบหลีกได้เลย!
เฉินซ่ากับโหลชีแวบไปถึงตรงหน้าของทุกคนทันที ขณะเดียวกันฝ่ามือก็วาดวงกลมขนาดใหญ่ไว้บนหน้าอก เกราะกำบังแห่งกำลังภายในที่แข็งแกร่งบังอยู่หน้าทุกคนอย่างมั่นคง
เสียงดิ๊งๆๆๆดังขึ้นมาอย่างแน่นหนา ลูกธนูที่ยิงมาทางด้านนี้ถูกขวางเอาไว้ทั้งหมด ร่วงหล่นลงไปบนพื้น
ลูกธนูฝนโปรยปรายกินเวลาไปอย่างน้อยสิบลมหายใจ ตรงใต้เท้าของพวกเขากลับมีลูกธนูกองสะสมกองหนึ่งแล้ว
โหลชีอดที่จะบ่นพึมพำออกมาคำหนึ่งไม่ได้: "นี่ลูกธนูเยอะมากใช่ไหมเนี่ย? จำเป็นต้องยิงลูกธนูเยอะแยะมากมายขนาดนี้เลยหรือ?"
เฉินซ่ามองสำรวจไปรอบๆ สีหน้ากลับเปลี่ยนไปกะทันหัน "ยิงลูกธนูมากมายขนาดนี้ มีจุดประสงค์อย่างอื่น!"
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เวลานี้ พ่อของสือหมินจีก็กล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว "ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนเคยกล่าวไว้ เขตต้องห้ามมีที่แห่งหนึ่งน่ากลัวมาก คิดว่าน่าจะเป็นที่นี่แหละ! เร็ว รีบหาวิธีออกไป ช้ากว่านี้ก็จะไม่ทันการแล้ว!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ