ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 333

เดิมทีโหลชีอยากจะถามว่า เผ่าชักมังกรไม่เคยมีใครเข้ามาก่อนเลยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีคนรู้ว่าในนี้มีที่แห่งหนึ่งน่ากลัวมาก? แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม แม้แต่เฉินซ่ายังเปลี่ยนสีหน้า คิดว่าน่าจะเป็นกลไกที่ร้ายกาจมาก

กำลังคิดอยู่ เฉินซ่าก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้แล้ว "เคยได้ยินเรื่องสารปรอทไหม?"

สารปรอท? สีหน้าของโหลชีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางรู้ว่า พระราชาและขุนนางสมัยโบราณบางคนในตอนที่ฝังศพจะเทปรอทลงไปในสุสานด้วย หนึ่งคือสามารถป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ประการที่สองคือเพื่อป้องกันการโจรกรรมสุสาน ก๊าซระเหยจากสารปรอทมีพิษ สามารถทำให้โจรขโมยสุสานถูกพิษตายได้

แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่สุสานนี่นา หรือว่าข้างในนี้ก็มีสมบัติหายากเช่นกัน จำเป็นต้องใช้ปรอทในการป้องกัน?

เห็นท่าทางของนาง เฉินซ่าก็รู้แล้วว่านางต้องรู้จักปรอทแน่นอน "เห็นรูที่ลูกธนูถูกยิงออกมาพวกนั้นไหม? ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด รูเล็กๆเหล่านั้นจะมีปรอทไหลออกมา กลไกประเภทที่มีสารปรอทไหลลงมาหลังจากที่ค่ายกลลูกธนูถูกยิงออกไปแล้ว ในสุสานพระราชาและขุนนางของราชวงศ์ตงชิงเคยมีมาก่อน"

โหลชีแอบน้ำตาไหล: "ความหมายของท่านคือ นี่คือแผนผังฆ่าตายแน่?"

"ใช่"

สิ่งที่โหลชีไม่เข้าใจคือ นางรู้จักกลไกในการลงมา ถ้าหากนางเดาไม่ผิด คนที่วางกลไกอันนั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนางเล็กน้อย ดังนั้น นางถึงได้จำวิธีการเคลื่อนเท้านั่นได้รางๆ ตั้งแต่ครั้งที่แล้วตอนที่ท่านจินบอกกับนางว่าคำสาปเลือดดวงชะตาของตระกูลโหลมีแต่พรสวรรค์ทางสายเลือดถึงจะสามารถฝึกสำเร็จได้ นางก็เข้าใจเล็กน้อยแล้วว่า ยุทธวิธีจู่โจมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองกับตระกูลโหล น่าจะมาจากความทรงจำที่ติดอยู่ในจิตใต้สำนึก ก็ไม่รู้ว่านักพรตเลวพานางไปยุคปัจจุบันตอนนางอายุเท่าไหร่ บางทีในตอนที่นางอายุได้สองสามขวบเคยมีคนเล่าเกี่ยวกับยุทธวิธีจู่โจมพวกนี้ให้นางฟัง จิตใต้สำนึกของนางจดจำมันเอาไว้ ในความทรงจำธรรมดากลับไม่มีก็ไม่แปลก

แต่หากเป็นค่ายกลที่วางโดยผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนาง เช่นนั้นตอนที่ออกแบบ ไม่ใช่ว่าควรจะนึกถึงความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? ใช้วิธีเคลื่อนเท้าของตระกูลโหลสามารถลงมาได้ หมายความว่าอาจจะเป็นทายาทของตระกูลโหล ข้างล่างนี้อย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นแผนผังฆ่าให้ได้ไม่ใช่หรือ!

หรือว่ายังจะต้องฆ่าล้างคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโหล?

เฉินซ่าตรวจหากลไกอื่นๆด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หันหน้ามาเห็นสีหน้าท่าทางที่ความหมายไม่ชัดเจนของโหลชี ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: "กลไกทั้งหมดไม่ได้ถูกสร้างในเวลาเดียวกัน บางที หลังจากที่มีคนสร้างกลไกชั้นแรกขึ้นแล้ว ก็มีคนมาที่นี่ และวางแผนผังฆ่าให้ได้อีก"

โหลชีนึกขึ้นได้ในทันที

ดังนั้น นี่ก็มีความเป็นไปได้ว่าศัตรูที่รู้จักคนที่ออกแบบค่ายกลที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโหลคนก่อนหน้านี้เป็นอย่างดีเป็นคนวางกลไกระดับสองนี้ขึ้นมา ใช้แผนผังฆ่าให้ได้ จุดประสงค์ก็เพื่อฆ่าคนที่ทำลายค่ายกลที่มีความเกี่ยวข้องกับคนออกแบบค่ายกลคนก่อนหน้านี้

"เวลานี้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น หากลไก" เฉินซ่ากล่าวราบเรียบออกมาอีกคำหนึ่ง ถ้าหากคนที่ออกแบบค่ายกลก่อนหน้านั้นเป็นคนของตระกูลโหลจริงๆ มีความเกี่ยวข้องกับนางอยู่เล็กน้อย เช่นนั้นอาศัยนางหากลไกน่าจะพึ่งได้มากกว่า อีกอย่าง วิธีการวางกลไกของที่นี่กับกลไกของเขาเฉินอวิ๋นฝ่ายนั้นมันคนละทิศคนละทางกันจริงๆ ให้เขาหาเป็นไปได้ว่าเวลาอาจจะนานมากขึ้น

โหลชีพยักหน้า สงบสติอารมณ์ลงมา

"มีปรอทไหลออกมาแล้ว!" สือหมินจีตะโกนขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

เฉินซ่ากล่าวเสียงขรึม: "กลั้นหายใจ กลั้นหายใจไม่เป็นก็ปิดปากปิดจมูกเอาไว้"

ทุกครั้งในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เฉินซ่าไม่เคยตื่นตระหนกมาก่อน เสียงของเขามักจะเย็นชาแต่กลับสงบนิ่งมาก ในเวลาปกติอาจทำให้คนรู้สึกกลัว แต่ในเวลาเช่นนี้กลับสามารถทำให้คนรู้สึกอุ่นใจได้

สำหรับโหลชีก็เช่นกัน ท่าทางของเขาที่มักจะเย็นชาสงบนิ่งเช่นนี้ ทำให้จิตใจของนางสงบลงไปมากเช่นกัน

หยิบขวดออกมาขวดหนึ่งแล้วโยนให้กับเยว่ ให้เขาแจกให้ทุกคนคนละหนึ่งเม็ด กลืนลงไปอย่างรวดเร็ว ต้านก๊าซพิษเอาไว้ชั่วคราวได้ไม่เป็นปัญหา แต่หากปรอททะลักเข้ามาในปริมาณมากจริงๆ ห้องโถงนี้ก็จะเต็มไปด้วยก๊าซพิษที่หนาแน่น อย่าว่าแต่ก๊าซพิษเลย ถึงเวลานั้นพวกเขาจะไม่มีแม้แต่ที่จะให้ยืนเลยด้วยซ้ำ หากผิวสัมผัสกับสารปรอทในปริมาณมาก ก็จะถูกทำลายเช่นกัน

สถานการณ์เร่งด่วน

เยว่กับเฉิงสิบและคนอื่นๆต่างก็พยายามค้นหากลไก

โหลชีเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ต้องมีทางออกแน่นอน ไม่อย่างนั้น จะสร้างห้องโถงนี้ไว้ทำไม

ทุกคนต่างก็เดินหากลไกไปทั่ว มีเพียงนางที่ยืนอยู่กับที่ ดูเหมือนจะเหม่อลอย ความจริงในใจของนางจู่ๆก็มีบางอย่างแวบเข้ามา "ลูกธนูทำไมต้องออกแบบเป็นการกราดยิงไม่เลือกด้วย? มากมายและซับซ้อนขนาดนั้น ถึงแม้ว่านั่นจะสามารถยิงไปในทุกซอกทุกมุมได้ แต่ในเมื่อหลังจากนั้นมีปรอทอยู่ เช่นนั้นก็เป็นการกระทำที่เกินความจำเป็นอย่างสิ้นเชิง ใช้ลูกธนูมากมายขนาดนี้ ตอนที่ยิงออกมาเมื่อครู่นี้ลอยละล่องอยู่เต็มท้องฟ้า มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าลูกธนูถูกยิงออกมาจากไหน......เฉินซ่า!"

เฉินซ่าหันกลับมามองนาง เห็นสายตาทั้งคู่ของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาว

"ฝนลูกธนูเมื่อครู่นี้ ท่านจำได้หรือไม่ว่ามันถูกยิงออกมาจากไหน?"

ต้องบอกว่าโหลชีชอบคุยกับคนฉลาด เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ขึ้นมา เฉินซ่าเข้าใจความหมายของนางในทันที ยิ่งไปกว่านั้น คนอื่นอาจจะมัวสนใจอยู่กับการหลบเลี่ยงฝนลูกธนู มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับอันตรายโดยปราศจากความกลัวอย่างแท้จริง ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นยังสามารถมองสำรวจไปรอบทิศทางได้ มองเห็นและจดจำว่าลูกธนูถูกยิงมาจากทิศทางใด

นางก็พอจะจำได้รางๆ แต่ต้องการการยืนยันจากเขา

"เจ้าหมายความว่า?" เฉินซ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แวบร่างไปยังมุมหนึ่งทันที โหลชีก็ตามไปอย่างรวดเร็ว และยังกวักมือเรียก ให้ทุกคนตามไปด้วย

"จริงๆด้วย"

ตรงจุดนี้ บนกำแพงหินมีที่เล็กๆที่ไม่มีรูลูกศรออกมา ก็ย่อมไม่มีปรอทไหลออกมาอยู่แล้ว

เยว่ยื่นมือไปจับ เคาะไปหนึ่งที "กำแพงหินตรงจุดนี้แข็งแกร่งผิดปกติ อาจจะเจาะได้ยากมาก ดังนั้น......"

"ไม่ เพราะนี่คือที่อยู่ของทางออกมากกว่า นี่คือประตูบานหนึ่ง" โหลชียิ้มตาหยี

ด้านหลังประตูคือทางออก ไหนเลยจะเป็นไปได้ที่จะเทสารปรอทลงไป และฝนลูกธนูที่ถี่ยิบนั่น ก็แค่คิดที่จะหลอกล่อคนที่อยู่ที่นี่ ให้พวกเขาคิดว่าฝนลูกธนูถูกยิงออกมาจากทุกที่ เบี่ยงเบนความคิดออกไป ให้คนคิดไม่ถึงว่าในความเป็นจริงยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่มีลูกธนูถูกยิงออกมา

ถึงแม้จะคิดได้ ตอนนั้นก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ฝนลูกธนูหนาแน่นเกินไป

เสียดาย เฉินซ่ามีสายตาแบบไหน โหลชีมีสายตาแบบไหน

เฉินซ่าก็ผ่อนสีหน้าท่าทางลง "ถูกต้อง ที่นี่ก็คือทางออก" มือของเขาตบไปยังบางจุดในนั้น ตรงกำแพงหินกลับมาถ้วยหยกขนาดเล็กที่ใหญ่กว่าฝาครอบนิ้วหัวแม่มือเพียงเล็กน้อยเด้งออกมา

ทุกคนมองกันอย่างประหลาดใจ

"นี่มันหมายความว่าอย่างไร?"

เฉินซ่ามองไปทางโหลชี "กลไกสายเลือด"

"อะไรคือกลไกสายเลือด?" โหลชีตะลึงงัน "ท่านคงไม่ได้จะบอกว่า ให้เจาะเลือดหยดลงไปใช่ไหม?"

"ใช่ เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ" เฉินซ่ากล่าว: "สถานที่แห่งนี้ เป็นไปได้ว่าผู้วางค่ายกลอาจจะยินดีให้แค่ญาติของเขาเข้ามา ดังนั้น มีเพียงคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปได้"

ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย ยังมีกลไกประเภทนี้ด้วย?

โหลชีแสดงออกว่าไม่เชื่อ แต่ว่ารูลูกธนูตรงจุดอื่นๆพวกนั้นตอนนี้สารปรอทที่ไหลออกมาใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆเยอะมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว หากยังไม่ลองอีก พวกเขาคงต้องสั่งลากันที่นี่ทั้งหมดจริงๆ

"ลองก็ลอง!" นางต้องการจะรับพิชิตวันมากรีดนิ้วมือทันที เฉินซ่ากลับจับมือของนางเอาไว้ "ข้าทำเอง"

เขาหยิบพิชิตวันขึ้นมา เพียงแค่ปาดผ่านเล็บของนางอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ใช้พิชิตวันปาดถูกนางจริงๆ แต่แสงเยือกเย็นที่แหลมคมของพิชิตวันบาดเนื้อของนางออกเล็กน้อยพอดี เพียงพอสำหรับให้เลือดหยดออกมาหนึ่งหยด เขาก็กดนิ้วมือของนางเอาไว้แน่น ไม่มีเลือดออกมาอีกแม้แต่ครึ่งหยด

เลือดหยดนั้นหยดลงในถ้วยหยกใบเล็กๆใบนั้น ถ้วยหยกเล็กก็หดกลับเข้าไปในผนังหยกทันที

ทุกคนต่างรอกันอย่างกลั้นหายใจกันเล็กน้อย ได้ยินเพียงข้างในมีเสียงเอี๊ยดดังขึ้นมา ตรงหน้าของพวกเขา มีประตูหินกว้างหนึ่งคนค่อยๆถอยออกไปจริงๆ

ข้างใน กลิ่นหอมแบบที่ได้กลิ่นตอนอยู่ข้างบนแรงขึ้นเป็นสิบเท่า!

โหลชีรู้สึกว่าสมองไม่ค่อยพอใช้เท่าไหร่แล้ว

พวกเขาต่างก็รีบเข้าไปในประตูนั่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นบานประตูก็ค่อยๆปิดลงไปอย่างแน่นหนาอีกครั้ง

"เลือดได้ผลจริงๆ? คงไม่ใช่ว่าเดิมทีจะใช้เลือดของใครก็ได้ทั้งนั้นหรอกนะ?" นางมองดูเฉินซ่า

เฉินซ่าส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: "ไม่หรอก กลไกสายเลือดมีมานานหลายปีมากแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้มีน้อยคนมากที่สามารถสร้างกลไกประเภทนี้ได้ก็เท่านั้น"

"หมายความว่า ข้ามีความเกี่ยวข้องกับคนที่สร้างค่ายกลนี้จริงๆ"

เฉินซ่ามองดูนาง สิ่งที่สายตานั่นแสดงออกมาความหมายมันชัดเจนมาก

ใช่ ถูกต้อง เกี่ยวข้องกันจริงๆ

โหลชีจับหน้าผาก "เฮ้อ ชาติกำเนิด เกลียดสิ่งที่ซับซ้อนประเภทนี้ที่สุดแล้ว" พูดไป นางก็ตบไปที่ไหล่ของเฉินซ่าราวกับพี่น้องที่สนิทกัน ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า: "ไม่เป็นไร เราสองคนหัวอกเดียวกัน"

เยว่และคนอื่นๆพากันรู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย

ยังไม่ทันได้พูดเลย ก็เห็นสายตาของนางประกายขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง: "ไม่ถูกไม่ถูก เมื่อครู่ตอนที่เราอยู่ข้างบนก็ได้กลิ่นหอมประเภทนี้แล้ว แต่ในความเป็นจริง กลิ่นหอมนี้ยังถูกกั้นด้วยประตูหินบานหนึ่งและพื้นที่ของห้องโถงห้องเมื่อครู่ด้วย กลิ่นหอมที่สามารถทะลุออกไปนอกกำแพงได้!" นางมองดูเฉินซ่า เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า: "ท่านว่า มันจะเป็นผลไม้ชั้นเยี่ยมแบบไหน?"

เมื่อพูดเช่นนี้ ตาทุกคนก็เป็นประกายตามไปด้วยทันที

ใช้แล้ว มันคืออะไรกันแน่? อยู่ที่นี่กลิ่นหอมแรงมากแล้ว

เฉินซ่ามองไปทางพ่อของสือหมินจี "เจ้าลองเล่าสิ่งที่เจ้ารู้มาหน่อย"

เมื่อครู่ตอนที่ปรอทยังไม่ออกมาเขาก็บอกแล้ว สมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่าเคยกล่าวไว้ เขตต้องห้ามมีสถานที่แห่งหนึ่งอันตรายมาก เขารู้ได้อย่างไร? กล่าวอีกนัยหนึ่ง แล้วผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่ารู้ได้อย่างไร?

พ่อเฒ่าสือถูกสายตาที่เย็นชานั่นของเขากวาดมอง ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวทันที สายตาไม่กล้ามองสบตากับเขาเลยด้วยซ้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนยังต้องระดมความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย "ข้า ข้าน้อยก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนเด็กเคยได้ยินผู้นำเผ่าคนก่อนกล่าวไว้ว่า ในเขตต้องห้ามอันตรายมาก ในนั้นยังมีสถานที่แห่งหนึ่งน่ากลัวมาก เข้าไปแล้วจะตายได้ แต่ว่า ในตอนนั้นไม่แน่ว่าจะมีกลไกแล้ว ข้าเดาว่าเมื่อก่อนที่นั่นก็น่าจะมีปรอทอยู่มากแล้ว......"

สถานที่แห่งนี้ ไม่ได้ดำรงอยู่แค่สิบกว่ายี่สิบปีแน่ๆ แต่ว่า กลไกถูกวางไว้เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

โหลชีนึกถึงปิ่นระย้าหงส์สีรุ้งที่ตนเองได้มา ยังมีเลือดหยดนั้นตรงกลไกสายเลือดเมื่อครู่นี้ ในใจรู้สึกจนปัญหาเล็กน้อย

ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตนเองจะไปใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

มือถูกเฉินซ่าจับเอาไว้แน่น เขาจูงนางเดินไปข้างหน้า: "ไม่ว่าจะเป็นอะไร มาแล้วก็ไปดูหน่อย"

โหลชีมองดูมือที่ถูกเขาจับเอาไว้ ในที่สุดสายตาก็มั่นคง ถึงอย่างไร นางก็ไม่ใช่คนที่ชอบวิ่งหนีจริงๆ เจอกับเรื่องก็แบกรับไว้แล้วกัน!

ข้างหน้ามีตรอกช่องแคบทางหนึ่ง เหนือศีรษะมีเถาวัลย์สีเขียวห้อยลงมา บังทัศนวิสัยในการมองเห็นเอาไว้ ระหว่างช่องว่างมีแสงสลัวจางๆ

"ถ้าหากคนที่วางค่ายกลขึ้นมาภายหลังไม่ได้เข้ามาถึงที่นี่ เช่นนั้นข้างในนี้ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอีก เพราะประตูคือผู้ที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับตัวเองเป็นคนเปิดออก ผู้วางค่ายกลจะไม่ออกแบบกลไกอันตรายอีก" เฉินซ่ากล่าว

โหลชีมองไปทางเขา: "แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้วางค่ายกลคนที่สองไม่เคยเข้ามา?"

ไม่สามารถยืนยันได้ ดังนั้นก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าข้างในมีอันตรายหรือไม่

แต่ว่า ยืนอยู่ที่นี่ กลิ่นหอมนั่นกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ