ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 349

และเวลานี้จูซื่อก็ผลักประตูชะโงกเข้ามาอีก ใบหน้าเหนียมอาย ยื่นมือเลิกเสื้อผ้าของนาง ปากก็ว่า"มา เสวี่ย ข้าจะดูบาดแผลเจ้าสักหน่อย"

เสวี่ยเกือบหายใจไม่ออก ผูยู่เหอและซือเอ๋อร์กลัวว่าเขาจะทำให้เสวี่ยโมโหจนเป็นโรคขึ้นจริงๆ จากนั้นพวกนางก็จะไม่มีให้พึ่งพิงสักนิด ซือเอ๋อร์จึงไปผลักจูซื่อออก"ไสหัวไป เจ้ารีบออกไป!"

แต่จูซื่อก็เสน่หาในตัวนางนัก กุมมือนางฉับพลัน ดึงมาถึงข้างปากแล้วจุมพิตรุนแรง"ซือเอ๋อร์ เป็นเด็กดี มาจูจุ๊บกับข้าเร็ว..."

ซือเอ๋อร์ออกแรงดึงมือกลับ ขณะจะก่นด่า เมื่อผูยู่เหอเห็นสีหน้าซีดเซียวเสวี่ย กัดฟันเอ่ย"ซือเอ๋อร์ เจ้า เจ้าพาเขาออกไปห้องข้างๆ"

"คุณหนู ท่านพูดอะไรน่ะ?" ซือเอ๋อร์ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน มองนางชะงักงัน

"แม่นางเสวี่ยต้องพักผ่อนอย่างสงบ หากนางเกิดเรื่อง เราก็จะไม่มีที่พัก ไม่มีคนให้พึ่งพิง ดังนั้นต้องลำบากเจ้าสักหน่อยก่อน"

จูซื่อเอ่ยด้วยความยินดีอย่างห้ามตัวไม่อยู่"ไม่ลำบากๆ ข้าต้องดีกับพวกเจ้าแน่ๆ แก้วใจซือเอ๋อร์ไปเข้าห้องหอกับข้าก่อนก็ได้ ยอดรักยู่เหอ เจ้าดูแลน้องนางเสวี่ยเอ๋อร์ก่อน ครั้งหน้าข้าค่อยเอาใจเจ้ามากๆ ครอบครัวเราสี่คนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเถิด เอาไว้วันพรุ่งข้าไปหางานสักอย่างข้างนอก ก็เพียงพอเลี้ยงพวกเจ้าแล้ว มิต้องเป็นห่วง"

หากไม่มองตัวเขา ไม่ได้กลิ่นเหม็นของเขา พวกผูยู่เหอสามนางได้ยินวาจาเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจรู้สึกประทับใจได้จริงๆ แต่มีเขาอยู่ ให้ห้องนี้เหม็นเกินไปจริงๆ เหม็นจริงๆ! ครั้นมองใบหน้าเขา ข้าวที่รับประทานในเมื่อวาน เวลานี้ก็อยากอาเจียนออกมาแล้ว

"ซือเอ๋อร์ รีบลากเขาไป!" ทันใดนั้นเสวี่ยก็คำรามออกมาด้วยความบ้าคลั่ง นางอดทนไม่ไหวแล้ว ทั้งที่นางควรเป็นหนึ่งในสี่องครักษ์แห่งพั่วอวี้ จะสร้างแคว้นแล้ว นางก็คือขุนนางหญิงใหญ่ที่สุดของแคว้น ข้างกายนางแม้ไม่ใช่เฉินซ่าที่เป็นฝ่าบาทสูงส่ง ก็ควรเป็นแม่ทัพเครื่องทรงงามอาชาแกร่ง เป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นไอ้อัปลักษณ์เช่นนี้!

"เจ้าแซ่จู ซือเอ๋อร์เข้าเรือนหอกับเจ้า นางจะตามเจ้าไป รีบไปๆ!" ผูยู่เหอยื่นมือผลักซือเอ๋อร์เข้าอ้อมอกจูซื่อทันที

จูซื่อได้โฉมเฉลาหอมกลุ่นตัวนิ่มอยู่ในอก ก็อุ้มซือเอ๋อร์เดินออกข้างนอกไปในบัดดล ก่อนหน้านี้ที่เสวี่ยขัดขืนได้ ก็ด้วยนางมีวิชายุทธ์อยู่กับตัว แต่ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของจูซื่อ บัดนี้ซือเอ๋อร์ไร้วิชายุทธ์โดยสิ้นเชิง และด้วยแขนของจูซื่อที่ทรงพลัง นางถูกอุ้มขึ้น แม้แต่โอกาสขัดขืนก็ไม่มี

"ไม่ ไม่! ปล่อยข้า ขอร้องล่ะปล่อยข้า! คุณหนู คุณหนูช่วยด้วย!" ซือเอ๋อร์เพรียกหาอย่างอเนจอนาถ แม้ไม่นานก็ถูกอุ้มเข้าห้องข้างๆ ไป แต่เสียงร้องของนางยังแว่วมาถึงโสตหูของเสวี่ยและผูยู่เหอชัดเจน

"อ้า! ปล่อยข้า! อย่ากระชากเสื้อผ้าข้า ข้อร้อง โปรดปล่อยข้าไปเถิด!"

เสวี่ยหลับตาปี๋ เอ่ยเสียงแหบ"ผูยู่เหอ เจ้าก็ช่างใจดำนัก นั่นเป็นสาวใช้ข้างกายเจ้า" ก็ผลักไปสู้อ้อมอกของคนอัปลักษณ์เช่นนั้นทั้งอย่างนี้แล้ว

ผูยู่เหอกัดริมฝีปาก เอ่ย"ซือเอ๋อร์เป็นสาวใช้ เดิมทีก็ควรแบ่งเบาความกังวลของนาย อีกอย่าง นางก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว ไม่ให้นางไป หรือจะให้ข้าไป?"

"จากนี้ พวกเจ้าวางแผนอย่างไร?"

"แม่นางเสวี่ย เจ้าจะขับไสพวกเราไปไม่ได้นะ เราอยู่ในพั่วอวี้ไร้ญาติขาดมิตร อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น ออกไปต้องไม่รอดชีวิตแน่"

"ตอนนี้ข้าเองก็แทบเอาตัวไม่รอด..."

"จริงสิ เราไปหาแม่นางชุ่ยฮัวได้! นางทำให้พวกเราต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าว่าทำไมนางจึงไม่ร่ายคำสาปอัปมงคลนั่นเสียเอง? นางรอด แล้วถือดีอย่างไรมาทำร้ายพวกเราเช่นนี้?"

เสวี่ยก็เบิกตาโพลงเช่นกัน"ใช่ ควรไปหานาง หากนางไม่รับปากพวกเรา พวกเราก็จะเผยเรื่องของนางออกไป!"

"แต่เวลานี้แม้แต่เขาจิ่วเซียวพวกเราก็ขึ้นไปไม่ได้ แล้วจะไปหานางอย่างไร?"

"ข้ามีวิธีหนึ่ง ตอนนั้นข้าก็มีคนที่ส่งเสริมอยู่หลายคน พวกเขาช่วยข้าได้ แต่ต้องรออีกสองสามวัน รอให้อาการบาดเจ็บข้าดีขึ้นอีกหน่อย" เสวี่ยเอ่ย

ผูยู่เหอดีใจใหญ่"ได้ๆๆ"

เสียงคร่ำครวญของซือเอ๋อร์ที่อยู่ห้องข้างๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ผูยู่เหอได้ยินแล้ว หัวใจก็แข็งขึ้นทุกที ซือเอ๋อร์เป็นบ่าว ขายตัวเข้าตระกูลนางมานานแล้ว นายให้บ่าวทำอะไร บ่าวมิอาจมีตัดพ้อแม้น้อยนิด นางไม่ผิด ไม่!

...

รถม้าแล่นตลอดทางอย่างมั่นคง โหลชีจำทางได้ นี่เป็นทางไปเขาพยัคฆ์ชัดเจน เพียงแต่...ตั้งแต่มาจากเมืองพั่วอวี้สร้างถนนหลวงที่ค่อนข้างราบเรียบ กว้างขวางมาก สามารถสัญจรรถม้าหรูหราคันใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่ตอนนี้เคียงกันสามคันได้ในเวลาเดียวกัน

เพียงแต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จเท่านั้น ยังคงพยายามทำให้เรียบ อีกทั้งยังมีคนย้ายต้นกล้าจากภูเขามาปลูกสองข้างทางนี้ด้วย

นางนึกถึงเมืองชีที่เฉินซ่ากล่าวถึง รู้สึกถึงลางสังหรณ์ตงิดๆ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยเป็นไปได้ด้วย ส่วนตลอดทางเฉินซ่าก็กึ่งนอนหลับตาสงบจิต แสดงให้เห็นชัดว่าไม่ให้นางถามสถานการณ์เมืองชี

"ฝ่าบาท พระสนม ถึงเมืองชีแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เสียงของอิงส่งมาจากด้านหน้า ครั้นเยว่กลับไปก็ผลักภาระทั้งหมดให้แก่เขา ส่วนตัวเองกลับจะออกมาเป็นคนขับรถม้านำทางนี่ให้ได้ เขารู้สึกว่านี่ถึงเป็นการพักผ่อน

ชั่วขณะโหลชีก็เปิดผ้าม่านขึ้นมา มองออกไปแวบหนึ่ง นางเห็นประตูเมืองที่ตั้งตระหง่านนั้นในทันที 'เมืองชี' สองคำบนนั้นมังกรเหินหงส์ร่ายรำเป็นสง่าที่สุด

'ชี' คือชีชื่อของนาง

ประตูเมืองเปิดออก แผ่นหินเขียวปูทอดยาวออกไป มองเห็นถนนหลักด้านในที่กว้างขวางเรียบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ