ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 350

เฉินซ่าเอ่ย"เจ้าขึ้นรถมา เดินทางไปเล่าไป"

เฉินซ่าใส่ใจเรื่องของเมืองชีมาโดยตลอด เรื่องที่เขาผลไม้เมื่อก่อนโจวหลี่ก็เคยรายงานเขาแล้ว แต่โหลชียังไม่รู้ ดังนั้นจึงให้โจวหลี่ขึ้นรถม้าแล้วเล่าให้นางฟังด้วย

"พ่ะย่ะค่ะ"

โจวหลี่ขึ้นรถม้ามา แล้วยังคารวะกับโหลชีอีกครั้ง สืบเพราะนี่เป็นเมืองของโหลชีเพียงผู้เดียว เขารู้สึกว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของนาง

"มิต้องมากพิธีแล้ว ใต้เท้าโจวเล่าเรื่องเขาผลไม้มาก่อนเถิด เป็นอย่างไรกันแน่" กับอาณาเขตของตัวเอง โหลชีย่อมเห็นเป็นสำคัญอยู่แล้ว

"แรกเริ่มกระหม่อมยังไม่เคยคิดจะปลูกไม้ผลนอกเมือง มีอยู่วันหนึ่ง หูขว้างจือถือผลไม้ป่ามาตะกร้าหนึ่ง ให้กระหม่อมลองดู บอกว่าเก็บมาจากภูเขานอกเมืองสองสามลูกนั้น หวานสดชื่นยิ่งนัก"

เฉินซ่ามองทางโหลชี"จำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่เจ้าทิ้งจดหมาย ทิ้งยาถอนเทียบหนึ่งได้ไหม?" ตอนนั้นเพื่อให้ฟ่านฉางจื่อผู้อาวุโสสามแห่งเขาเวิ่นเทียนวางใจ สี่ร้อยกว่าคนที่อยู่สร้างเมืองให้ไอ้ตาเดียวที่นี่ถูกวางยาสลายกำลังทั้งหมด โหลชีไม่มีเวลาและไม่มียาถอนมากมายขนาดนั้น ดังนั้นจึงมอบจดหมายและยาถอนนิดหน่อย

"จำได้"

"แรกเริ่มเดิมทีคนที่ได้รับยาถอนผู้นั้นก็คือหูขว้างจือ เขาถูกไอ้ตาเดียวพามาทั้งครอบครัว ข้าเห็นเขาจัดว่าฉลาดมีไหวพริบ จึงให้โจวหลี่แนะนำเขามากหน่อย ต่อไปหากพิสูจน์ได้ว่าเขาน่าเชื่อถือ เรื่องเมืองชีนี้เจ้าก็มอบหมายเขาให้ได้ส่วนหนึ่ง"

โหลชีมองเขา เม้มริมฝีปากยิ้ม

กลับไม่ได้กล่าวอะไร แต่เมื่อก่อนเฉินซ่าไม่ค่อยใส่ใจคนอื่น เวลานี้เพื่อเมืองชี กลับให้ความสนใจทีละน้อย หากว่าใจนางไม่ตื้นตัน เช่นนั้นก็เป็นเท็จ

"อือ เชิญใต้เท้าโจวกล่าวต่อ"

"พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นกระหม่อมชิมผลไม้ผ่านั้นแล้ว มีรสหวานน้ำมากจริง รสเลิศอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเกิดความคิดไปที่นั่นบุกเบิกเขาปลูกต้นไม้ พระสนมคงมิทราบ อากาศและดินของเมืองชีไม่เหมาะใช้ปลูกเป็นพื้นที่กว้าง จำพวกธัญพืชไม่ค่อยเหมาะ ต่อไปเสบียงน้ำมันก็อาศัยเงินไปซื้ออย่างเดียวก็ไม่ได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงคิด หากสามารถปลูกป่าผลไม้ผืนใหญ่ได้ ประชาชนเมืองชีก็ไม่ต้องลำบากอีก จะหาเงินซื้อข้าวสารน้ำมันก็ไม่มีปัญหา ดังนั้นจึงนำคนไปตรวจสอบ และเป็นจริงอย่างที่คิด ภูเขาแถบนั้นที่นอกเมืองล้วนเหมาะเพาะปลูกไม้ผลอย่างยิ่ง"

ครู่หนึ่งแล้วโจวหลี่จึงเอ่ย"พอกระหม่อมกลับมาก็ติดประกาศ รวบรวมประชาชนที่ยินดีไปบุกเบิกภูเขาเพาะปลูก เมืองสร้างใกล้เสร็จแล้ว มีแรงงานจำนวนหนึ่งที่ว่างงาน พวกเขาต่างยินดีไป กอปรกับประกาศหนังสือแจ้งผู้มีความสามารถที่ฝ่าบาทประกาศเมื่อก่อนหน้านี้ก็ดึงดูดประชาชนมาไม่น้อย บางคนคิดว่าตนไม่มีความสามารถ แต่ที่จริงเป็นทักษะการเพาะปลูกดีเยี่ยม เดิมพวกเขาคิดว่าตนไม่มีความรู้ จึงมีความคิดว่าจะมีโอกาสหรือไม่มาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงดีใจกันมาก"

"ดังนั้นตอนนี้ที่พระสนมเห็นประชาชนในเมืองมีไม่มาก เพราะที่จริงแล้วยังมีอีกเกือบสี่พันคนอยู่ที่เขาผลไม้นั่น ตอนนี้กำลังยุ่งงวดอยู่ เอาไว้เขาผลไม้บุกเบิกใกล้เสร็จแล้ว คนพวกนี้ส่วนมากก็จะอยู่ในเมือง"

"ใต้เท้าโจวลำบากแล้ว" โหลชีผ่ามิติมาครึ่งปีกว่า เวลานี้ยังเป็นครั้งแรกที่สัมผัสปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนเหล่านี้ กลับรู้สึกน่าสนใจนัก มักเจอความตื่นเต้นอันตรายดุจเรือลำน้อยกลางเกลียวคลื่นใหญ่ เหนื่อยมากจริงๆ อีกอย่าง นี่ก็เป็นดินแดงของนาง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็หันไปทางเฉินซ่า เผย 'ยิ้มร้าย' เสมือนพ่อค้าที่มีอุบายออกมา แหะๆ สองเสียง"ฝ่าบาทมอบอาณาเขตภายในกำแพงให้ข้า หรือว่ารวมถึงพื้นที่นอกเมืองนั่นด้วย?"

ครั้นเฉินซ่ากับโจวหลี่ได้ยินแล้วก็นิ่งค้าง พวกเขายังไม่เคยคิดเรื่องนี้จริง

เมื่อโหลชีเห็นอารมณ์พวกเขาแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราว จึงกอดแขนเฉินซ่ากลับ"กลับไปก็มีราชโองการ กระดาษขาวหมึกดำเขียนชัด แบ่งพื้นที่ใหญ่ให้ข้า ถึงตอนนั้นข้าจะได้ให้ใต้เท้าโจวเป็นหลักเขตที่ดินข้ามฝั่งมาของข้า หลักเขตที่ดินมาอยู่ในเขตของข้า ยามจำเป็นก็เก็บค่าผ่านทางได้ด้วย"

เฉินซ่าโกรธจนหัวเราะ

"เรื่องดีไม่คิด แต่คิดเรื่องแบ่งเขตแดนเก็บค่าผ่านทางก่อน?" เขาอดงอนิ้วดีดหน้าผากนางทีหนึ่งเป็นไม่ได้"แม้แต่ข้าก็ต้องเก็บค่าผ่านทางด้วยหรือไม่?"

โหลชีประคองหน้าผากถลึงตาใส่เขา"ฝ่าบาทผ่านทาง ราคาเดียวกับสามัญชน!"

เฉินซ่าโมโหจนอยากดีดนางอีกสักที เขาลืมไปได้อย่างไรว่านางเป็นผู้หลงในทรัพย์?

เส้นสายตาของโจวหลี่ไม่รู้ว่าจะเบนไปทิศทางไหนดี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่ออยู่ตามลำพังฝ่าบาทกับพระสนมจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ปกติเห็นฝ่าบาทเย็นชานัก วาจาน้อยยิ่ง ต่างกับเวลานี้อย่างสิ้นเชิง ส่วนพระสนมก็ต่างจากสตรีที่เขาพบเจอด้วยเช่นกัน เขานึกถึงก่อนหน้านี้ไม่นานถามองครักษ์อิงด้วยความแปลกใจ"พระสนมเป็นคนเช่นไร?"

เวลานั้นองครักษ์อิงคิดอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายบอกเขาเพียง"เอาไว้ท่านเจอก็รู้เอง"

ยามนี้เขารู้แล้วจริงๆ องครักษ์อิงเกรงว่าจะหาคำคุณศัพท์บรรยายไม่ได้กระมัง พวกเขาบรรยายสตรีนางหนึ่ง บางทีอาจใช้เรียบร้อยดีงามพร้อมด้วยคุณธรรม อ่อนโยนสงบ มีความรู้มารยาท มิเช่นนั้นก็เข้าใจจิตใจผู้อื่น สดใสมีไหวพริบ ปัญญาเหนือผู้คน แต่คล้ายว่าคำพวกนี้จะไม่เหมาะกับพระสนมสักเท่าใด หรืออาจพูดได้ว่า ไม่พอ ไม่เพียงพอที่จะบรรยายนาง

ชั่วขณะที่เขาเหม่อลอย โหลชีก็รบเร้าเฉินซ่าให้รับปากแบ่งพื้นที่ให้นางดีๆ แล้ว รวมไปถึงเขาผลไม้ผืนใหญ่ ล้วนแบ่งให้เป็นเขตแดนของเมืองชี

"เชิญใต้เท้าโจวกล่าวต่อเถิด" ครั้นโหลชีได้ดั่งใจหมายก็พอใจแล้ว

"พ่ะย่ะค่ะ การบุกเบิกเขาผลไม้นี้แบ่งออกเป็นหลายส่วน มีคนถอนหญ้าพลิกหน้าดิน และมีคนไปค้นหาผลไม้ป่าที่มีแต่เดิมแล้วทำสัญลักษณ์ จากนั้นก็บันทึกในสมุด ถึงตอนนั้นค่อยดูว่าจะเคลื่อนย้ายอย่างไร เพราะผลไม้ป่าบางจำพวกรสชาติดีจริงๆ ไม่อาจขุดเสียไปหมดได้ เมื่อวานมีคนสองคนออกไปหาต้นผลไม้ป่ามิได้กลับมา วันนี้ก็มีอีกสามคนที่ไปเขาเดียวกันนี้แล้วไม่ได้กลับมา ดังนั้นผู้ที่รับผิดชอบการจ้างแรงงานเหล่านั้น หรือก็คือหูขว้างจือจึงพาคนกลุ่มหนึ่งออกไปตามหา สุดท้ายพบศพของห้าคนนั้น สภาพการตายสยดสยอง เขาไม่กล้าทำอะไร ดังนั้นจึงส่งคนมามอบจดหมายรายงานให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ"

"สภาพการตายสยดสยอง?" โหลชีจับคำพูดนี้"สยดสยองเช่นไร?"

โจวหลี่ส่ายหน้า"เรื่องนี้หูขว้างจือมิได้กล่าว เพียงแต่บอกว่าถึงก็รู้เองพ่ะย่ะค่ะ"

"เช่นนั้นก็รีบไปหน่อยเถิด องครักษ์อิง เพิ่มความเร็ว" โหลชีเอ่ยกับอิงที่กำลังบังคับรถม้า

"พ่ะย่ะค่ะ"

รถม้าวิ่งด่วน พวกเขาออกจากประตูเมืองอีกทางหนึ่ง ทางนี้โหลชีไม่เคยมา เป็นภูเขาผืนหนึ่งหลังเมือง

ภูเขาในเวลานี้เชื่อมต่อเป็นรูป งดงามยิ่ง ลักษณะภูเขาไม่สูง แต่ต้นไม้แน่นขนัด อุดมด้วยแสงอาทิตย์ เป็นสถานที่เหมาะในการผลิตผลไม้ป่าโดยแท้

แต่เวลานี้เขาสองลูกที่เข้ามาถูกบุกเบิกเกือบเสร็จแล้ว ด้านล่างภูเขาสร้างกระท่อมเรียบง่ายมากมาย มีคนกำลังพักผ่อน มีคนนั่งล้อมวงงัดข้อกัน

"เพราะต้องทำเวลาบุกเบิกภูเขา ดังนั้นจึงสร้างกระท่อมง่ายๆ สองสามแถว กลางคืนล้วนพักอยู่ที่นี่ อาหารสามมื้อก็มีคนทำ ต่อแถวรับอาหารพ่ะย่ะค่ะ" โจวหลี่เอ่ย

รถม้าของพวกเขาผ่านมา คนจำนวนมากต่างหยุดมองพวกเขา โจวหลี่ลงรถม้าไปก่อนทุกคนน่าจะรู้จักเขา มีคนตะโกนเรียกใต้เท้าโจวประโยคหนึ่ง แต่กลับไม่มีผู้ใดวิ่งมา

รอจนเฉินซ่าลงรถม้า ถึงมีคนตื่นตะลึงขึ้น"เป็นฝ่าบาท ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว!"

เฉินซ่าลงรถม้า ยื่นมือไปทางห้องโดยสาร โหลชีวางมือไว้ในมือเขา กระโดดลงรถม้าเบาๆ

"ฝ่าบาท พระสนมเสด็จ!"

โจวหลี่เปล่งเสียงขาน

เบื้องหน้าคุกเข่าลงเป็นแถว"ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระสนม!"

โหลชียังไม่เคยถูกคนจำนวนมากเช่นนี้คุกเข่าให้ อดมองทางเฉินซ่าเป็นไม่ได้ ทว่าเฉินซ่ากลับเพียงกุมมือนางแน่น"ลุกขึ้น"

"ขอบพระทัยฝ่าบาท"

โหลชีมักรู้สึกว่าเฉินซ่าเป็นราชาแต่กำเนิด กับสถานการณ์เช่นนี้ เขาคล้ายกับควบคุมได้ดีมากมาตลอด ทั้งที่วัยเยาว์เขามิได้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงแปลกใจกับฐานะของเฉินซ่ามากขึ้น

พวกเขาเดินไปทางเนินเขาจุดหนึ่ง มีคนเร่งรีบมาต้อนรับ นั่นเป็นชายผู้หนึ่งในชุดผาวสั้นสีฟ้าคราม บนใบหน้าเขียนว่าร้อนรุ่มและไม่สงบ

โหลชีย่อมไม่รู้จักคนผู้นี้ ตอนนั้นตอนที่นางมาก็ไม่ได้ไปดูประชาชนที่อยู่ในบ้านไม้นั้น

แต่นางเดาได้ว่าคนผู้นี้ก็คือหูขว้างจือ

เป็นจริงดังนั้น เมื่อเขาพบเฉินซ่ากับโหลชีก็คุกเข่า"ข้าน้อยหูขว้างจือถวายบังคมฝ่าบาท พระสนม" เขาเห็นโหลชีก็ตื่นเต้นมากขึ้นอีกหน่อย แต่กลับไม่กล้าวู่วาม

"มิต้องมากพิธี ศพทั้งห้านั่นล่ะ?" เฉินซ่าถามเสียงหนัก

โหลชีประเมินหูขว้างจือแวบหนึ่ง พบว่าร่างกายเขากลับไม่อ่อนแอ ทั้งเวลานี้ก็เข้าสู่คิมหันตฤดู อากาศไม่หนาว แต่เขากลับมีท่าทางสั่นเทาเล็กน้อย

"ทูลฝ่าบาท ศพทั้งห้าอยู่ด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากรู้สึกว่าแปลกมาก จึงมิกล้าฝัง คิดจะรอใต้เท้าโจวมาดูก่อนแล้วค่อยทำการตัดสิน"

"ศพแปลกมาก?" โหลชีอดไม่ได้ที่จะถาม

"เออ...ศพหนักมาก แล้วยังเย็นเยียบ ขณะขนย้ายก็ราวกับมีเสียงแว่วๆ เสียงประเภทนั้นดังออกมาจากข้างในศพ อธิบายได้ไม่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ"นัยน์ตาของหูขว้างจือยังดูหวาดกลัวอยู่บ้าง"มีคนบอกว่าบุกเบิกเขาทำให้เทพเจ้าขุนเขาพิโรธ เทพเจ้าขุนเขาจะลงโทษแล้ว"

โหลชีไร้คำพูดเล็กน้อย สมัยโบราณแม้นมีเรื่องน้อยนิดก็มักนำไปเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า แต่หากเป็นดั่งที่เขากล่าวจริง ศพแปลกขนาดนั้น ทั้งยังเย็นมาก เช่นนี้ก็แปลกมากโดยแท้

"ศพแข็งแล้ว?"

"ไม่ ไม่ๆๆ พ่ะย่ะค่ะ มิได้แข็ง" หูขว้างจือเอ่ย"ก็เพราะศพไม่แข็งจึงรู้สึกแปลกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ข้าน้อยก็..." ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ไม่กล้าต่อความ

เฉินซ่าเอ่ย"เจ้าก็กลัวแล้ว?"

หูขว้างจือหน้าซีดเล็กน้อย"ข้าน้อยกลัวจริงพ่ะย่ะค่ะ"

พวกเขาสนทนาพลางขึ้นเขาไปโดยการนำของหูขว้างจือ ภูเขาแถบนี้พวกเขาบุกเบิกแล้ว เส้นทางยังถือว่าเดินสะดวก แต่ท่อนด้านหลังยังเป็นรูปแบบเขาใหญ่เดิม ยังมีวัชพืชเป็นพุ่ม เถาวัลย์พันกิ่งไม้ พวกเขาต้องเดินทางเขาเช่นนี้ระยะหนึ่ง

หูขว้างจือรู้สึกละอายนัก เอ่ยอธิบาย"เนื่องจากขณะที่ขนย้ายศพมาถึงที่นี่ พวกเขาก็หวาดกลัวหนัก บอกว่าด้านหน้าก็เป็นภูเขาที่เปิดทางแล้ว เกรงว่าขนย้ายไปคนที่บุกเบิกเขาจะอเนจอนาถ จึงหยุดอยู่เบื้องหน้านี้ ฝ่าบาทกับพระสนมเสด็จมาด้วยองค์เอง จะ..."

เขากระวนกระวายเล็กน้อย มองโจวหลี่แวบหนึ่ง

โหลชีโบกมือเอ่ย"ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นไป เรื่องน่ากลัวเราเจอมาเยอะแล้ว"

เมื่อนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องสะพรึงกลัวหลายเสียงจากด้านหน้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ