ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 351

"ตายล่ะ หรือว่าเกิดเรื่องแล้ว!" ว่าแล้ว หูขว้างจือยังไม่ทันได้ขออภัยเฉินซ่ากับโหลชีก็ถอนเท้าวิ่งขึ้นเขา

โหลชีกับเฉินซ่าสบตากันทีหนึ่ง แล้วเหาะขึ้นพลัน อิง เฉิงสิบกับโหลวซิ่นตามอย่างเงียบเชียบ เวลานี้ย่อมต้องตามทันทีอยู่แล้ว พริบตาเดียวก็ผ่านหน้าหูขว้างจือ

เขาถึงสถานที่ค่อนข้างเรียบเอวเขา เห็นชายหลายสิบคนตื่นตระหนกวิ่งพล่านทำอะไรไม่ถูก บ้างเพราะตื่นเต้นรีบร้อนเกินไป จึงพลาดเท้ากลิ้งลงเขา

โหลชีเห็นคนหนึ่งพอดี จุดที่ยืนเป็นลักษณะพื้นที่ที่งอกออกมา เขาวิ่งมุ่งไปด้านหน้า แพล็บเดียวก็เหยียบอากาศ ตกลงไปทันที นี่หากตกลงไปต้องได้พิกลพิการแน่

ฟืบเสียงหนึ่ง แส้ของนางออกมาฉับพลัน ครั้นพันตัวคนผู้นั้นแล้วกระชาก เขาก็ล้มอยู่กับพื้นหญ้า

แต่คนมากมายวิ่งกระเจิงเช่นนี้ อยู่บนเขาจะรนหาที่ตายเองได้ง่าย และเกรงว่ามีคนล้มลงไปแล้วจะถูกย่ำ

เฉินซ่าส่งเสียงใสออกไปอย่างฉับพลัน เสียงใสที่เหน็บกำลังภายในแฝงความข่มหลายส่วน พริบตาเดียวก็ทำให้ทุกคนที่กอดศีรษะนั่งยองลง ลืมความกลัว และหยุดความเคลื่อนไหว

"ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว ฝ่าบาทมีอายแห่งมังกร สามารถข่มภูตผีปีศาจทั้งมวลได้ ทุกคนอย่างตื่นตระหนก!" โจวหลี่ที่ตามมาติดๆ ตะโกนออกมา

คำพูดประโยคนี้ได้ผลโดยแท้ คนเหล่านั้นดีใจยกใหญ่ กราบไว้ลงไปอย่างพร้อมเพรียง

สำหรับประชาชนที่มีความหวาดกลัว นี่เสมือนทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยง่ายมากขึ้น

"ลุกขึ้น ถอยไปอีกทางเถิด" เสียงของเฉินซ่าเย็นชาเล็กน้อย แฝงความโหดเหี้ยมและน่าเกรงขาม

รอจนพวกเขาถอยออกแล้ว เปลอย่างง่ายทั้งห้าวางเรียงอยู่บนพื้นหญ้า แต่ละเปลต่างมีหนึ่งศพ อาจเป็นเพราะความกลัว พวกเขาจึงคลุมศพด้วยผ้าห่มผืนหนึ่ง และหนึ่งในนั้นผ้าห่มได้หล่นลงด้านข้าง เผยศพออกมา ศพนั้นเป็นผู้ชาย ทรวงอก คอเสื้อกระชากออก ปรากฏหน้าอกแผ่นใหญ่ออกมา

โหลชีตั้งใจมอง ทันใดนั้นกระเพาะก็ปั่นป่วน เกือบอาเจียนออกมา

มิใช่เพราะกลัว แต่ขยะแขยง อีกอย่าง แม้แต่นางที่ไม่ถือว่ามีรูมากนักยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคกลัวรู

ขึ้นมากะทันหัน! อยากร้องกรี๊ดแล้ว!!!

"แหวะ!"

ไหนเลยจะรู้ว่านางยังไม่อาเจียน ด้านข้างก็มีเสียงอาเจียนดังมาแล้ว กลับเป็นโจวหลี่เสียนี่

ขณะที่โจวหลี่เห็นแผ่นอกของศพก็อดไม่อยู่ หันข้างไปอาเจียนหนัก ถัดจากนั้น หูขว้างจือก็เข้าร่วมเรียงแถวด้วย

โหลชีมองเฉินซ่าตามจิตสำนึก กลับพบว่าใบหน้าเขาเป็นเหมือนปกติ...ยังคงโหดเหี้ยมไร้อารมณ์เช่นนั้น

แกร่ง...จริงๆ

"ยากนักจะมีสิ่งที่เจ้ากลัว" เขาสังเกตได้ถึงสายตาของนาง ยื่นมือลูบศีรษะนางเบาๆ โหลชีรู้สึกเหมือนเป็นสุนัขน้อยสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งชั่วขณะ

นางรีบสะบัดศีรษะ เอ่ยอย่างไม่ยอม"นี่มิใช่กลัว แค่ปรับสภาพจิตใจไม่ได้เท่านั้น เป็นอารมณ์อีกแบบที่ต่างจากหวาดกลัว"

"เช่นนั้นเจ้ายังไม่ต้องเข้าไป ข้าจะเข้าไปดูแล้วค่อยบอกเจ้าว่าเป็นอย่างไรกันแน่"

"นายท่าน ข้าน้อยไปก่อนเถิด" อิงเอ่ยเสียงหนัก

เฉินซ่าพยักหน้า"ระวังหน่อย"

อิงเดินไป

เมื่อเดินเข้าใกล้หน่อย เห็นชัดมากขึ้น แม้แต่เขาก็ยังแทบอดความรู้สึกหุนหันที่จะกระโดดวิ่งไม่ได้ เช่นเดียวกับที่โหลชีบอก นี่ทำให้ปรับจิตใจไม่ได้อย่างร้ายแรง

เขาได้ยินเสียงฝีเท้า ครั้นหันกลับไป เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็เดินตามมาด้วย

"เราดูแทนแม่นาง"

อิงอยากกรอกตาขาวใส่มาก ยังต้องแบ่งแยกขนาดนี้ใช่ไหม? เขาดูแทนพระสนมไม่ได้? อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ความคิดของเฉิงสิบนะ มิใช่เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้จัดงานพิธีแต่งตั้งพระสนมใหญ่โต ยังประกันไม่ได้ว่าฝ่าบาทจะอภิเษกกับนางผู้เดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมเปลี่ยนการเรียกเป็นพระสนมหรือ?

แล้วยังเห็นพวกเขาเป็นเส้นสงคราม มิใช่ค่ายเดียวกับพวกเขาแน่ะ

"พวกเจ้าจะดูก็ดูเถิด" เขาเอ่ย อดกลั้นความครั่นเนื้อครั่นตัว นั่งยองลงข้างศพนั้น

เวลานี้ มือของโจวหลี่ยื่นถุงน้ำให้เขาถึงหนึ่ง เขากลั้วปาก กว่าจะสงบลงได้ แล้วไปขอรับโทษต่อหน้าเฉินซ่าและโหลชี

"ช่างเถิด ใต้เท้าโจวถมดูว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ก่อนเถิด" โหลชีเห็นเฉินซ่าเหลือบมองเขาสายตาหนึ่ง ท่าทางนั้นเห็นชัดว่าดูแคลนการแสดงออกเช่นนี้ของชายตัวโตคนหนึ่ง เบี่ยงหัวข้อสนทนาทันที

โจวหลี่และหูขว้างจือจึงไปสอบถามด้วยตัวเอง

ครั้นถาม ก็มีชายสี่คนใบหน้าซีดเผือดเหงื่อกาฬเต็มศีรษะถูกผลักออกมา

"นั่นเป็นศพที่พวกเขาสี่คนหามขอรับ"

เนื่องจากศพหนักมาก สองคนหามกินกำลังมากเกินไป ดังนั้นสี่คนหามหนึ่ง ทั้งยังมีคนรอสลับสับเปลี่ยน ถึงอย่างไรเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เวลานี้จึงไม่มีผู้ใดมีกะจิตกะใจบุกเบิกเขาอีก ที่นี่มีคนมากมาย เรียกไปช่วยงานหลายสิบคนก็ยังได้

แต่สี่คนนี้ขณะที่หามศพนั้นอยู่ก็ได้ยินเสียงประหลาดเล็กน้อยออกมาจากในศพ ราวกับเสียงแมลงอะไรกินขี้เลื่อย พวกเขารับไม่ได้คาดเดาอยู่ตลอด ครั้นมาถึงจุดนี้ ขณะที่วางศพลงก็แง้มผ้านวมที่คลุมศพออกมาดู จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงนั้นดังออกมาจากหน้าอกของศพ คนหนึ่งจึงฮึดความกล้ากระชากคอเสื้อออก

ครั้นเห็น พวกเขาก็ตกจนหกคะเมนปัสสาวะราด!

ก็คือเสียงที่พวกโหลชีได้ยิน

สีผิวของศพนั้นเป็นสีขาวจืด ไร้สีเลือดสักนิด แผ่นอกของเขาเหมือนเนื้อที่แช่แข็งมาหลายปี แต่ด้านบนมีรูเล็กๆ แน่นเต็มไปหมด รูเล็กเหล่านั้นแต่ละรูล้วนมีสีแดงเข้ม ท่าทางเหมือนเลือดถูกแช่แข็งในฉับพลัน

หากบอกว่ารูเล็กนั้นเรียบ เช่นนั้นก็อาจไม่ถึงกับน่าสะอิดสะเอียนขนาดนั้น ทว่าแต่ละรูรอบๆ ล้วนมีเนื้อเน่าขาวซีดคล้ายหนอน

ทั้งแผ่นอกอเนจอนาถจนทนดูไม่ได้

หลังจากโหลชีกดความครั่นเนื้อครั่นตัวในตอนแรกได้แล้วก็เป็นปกติ เวลานี้นางรู้สึกถึงความเย็น

"หนาวมาก" นางมองทางเฉินซ่า เฉินซ่าพยักหน้า

เวลานี้พวกเขาถึงพบว่าหลายสิบคนนั้นล้วนใส่เสื้อผ้าฤดูหนาวหนาๆ

โหลชีคิดถึงท่าทางหูขว้างจือที่สั่นเทาตลอดเมื่อก่อนหน้านี้

"เป็นความเย็นที่แผ่ออกมาจากศพ" เฉินซ่าเอ่ย

เวลานี้อิงหันตรงกลับมา เอ่ย"นายท่าน พระสนม ไม่เห็นว่าข้างในคืออะไร"

สีหน้าเฉิงสิบและโหลวซิ่นดูแย่มาก เพราะมองภาพนี้จากระยะใกล้ต้องรับกับความกดดันทางจิตใจประมาณหนึ่ง อีกทั้งความหนาวที่สมควรตาย หนาวจริงๆ!

ถึงพวกเขาจะเดินกำลังภายใน ไอเย็นก็ยังมุดเข้ารูขุมขน ความหนาวแบบนั้น ยังต่างจากความหนาวท่ามกลางนภาแข็งพื้นหิมะ ราวกับรัดกระดูกแน่น ให้รู้สึกเหมือนกระดูกจะแช่แข็งแล้ว

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นหันมา"แม่นาง จะเปิดหน้าอกดู..."

วาจาพวกเขายังไม่ทันสิ้น ดวงตาแหลมโหลชีก็เห็นรูเล็กหนึ่งในนั้นมีบางอย่างมุดออกมา นางเรียกขึ้นพลัน"ถอยออก! ถอยออกเร็ว!"

นางไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่นั่นเป็นปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณต่อเรื่องและวัตถุที่อันตราย ปรีชาญาณบอกนาง นั่นเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมาก!

เฉิงสิบและโหลวซิ่นติดตามนางมาระยะหนึ่งแล้ว บ่มเพาะความรู้ใจและการเชื่อฟังโดยไม่ลังเล ขณะที่เสียงนางดังมาก็แสดงวิชาตัวเบาถอยออกห่างทันที

อิงกลับเพราะไม่ได้อยู่กับนางมาระยะหนึ่ง ทั้งเมื่อก่อนยังชอบงัดข้อกับโหลชีอยู่บ้าง ชอบเคลือบแคลงในถ้อยคำนาง ดังนั้นจึงรู้ตัวช้าไปจังหวะหนึ่ง

สิ่งนั้นถึงมือเขาในชั่วแวบเดียว

แม้แต่เฉินซ่ากับโหลชีก็เห็นไม่ชัดว่ามันกระโดด หรือว่าปีน หรือว่าบิน มันราวกับถึงแขนอิงในชั่วขณะเวลา

สีหน้าโหลชีเปลี่ยนพลัน เนื่องจากในที่สุดนางเห็นลักษณะเจ้าสิ่งนั้นชัดแล้ว

นั่นเป็นมดตัวหนึ่ง มดตัวหนึ่งที่ขนาดใหญ่เกือบเท่าเล็บนิ้วโป้งของคนเต็มวัย สีชาดล้วน แต่หัวกลับเป็นสีขาวหิมะ ขาวเหมือนกับหิมะน้ำค้างแข็ง

เมื่อเห็นลักษณะเจ้าสิ่งนั้นชัด นางก็รู้สึกครั่นคร้ามไปทั้งตัว!

นางพุ่งไปทางอิงประหนึ่งสายฟ้า พร้อมกันนั้นก็ตะโกนเสียงหนึ่ง"ทุกคนถอยไปเดี๋ยวนี้!"

เสียงนี้ของนางชวนให้ขวัญหายโดยแท้ แม้แต่เฉินซ่าก็ใจเต้นทีหนึ่งด้วย แต่เขาเข้าใจนางดี ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของนาง ก็สั่งการสลายตัวโดยพลัน

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นช่วยสลายผู้คนทันที

"ถอย ถอยเร็ว ทุกคนออกจากเขานี้ รีบไป!"

"อย่าผลักกันมั่ว ลงเขาไปให้หมด รีบถอยไปเร็ว!"

เมื่อโหลชีกล่าวประโยคนั้นออกไปแล้วก็ไม่สนใจผู้อื่นอีก นางจ้องเพียงแขนของอิง"อิง กลั้นลมหายใจ อย่าขยับ อย่าขยับเด็ดขาด แม้แต่ลูกตาก็ด้วย!"

ขณะที่สิ่งนั้นอยู่บนแขน อิงก็รู้ว่าแย่แล้ว เพราะจู่ๆ เขาก็หนาวสุดใจ ราวกับเลือดจะหยุดหมุนเวียน เมื่อได้ยินคำพูดโหลชี เขาไม่กล้าต่อกรโดยสมบูรณ์แบบทันที กลั้นลมหายใจพลัน รักษาท่วงท่า ไม่กล้าขยับสักนิด

เขาเห็นเจ้าตัวนั้นกำลังปีนป่ายขึ้นช้าๆ

โหลชีถึงข้างตัวเขาแล้ว

อิงตะลึงในฉับพลัน นางห้ามไม่ให้เขาแม้แต่ขยับ เช่นนั้นนางมาได้อย่างไร? แล้วนางยังขยับด้วย! นาทีนี้เขากลัวถึงที่สุด กลัวว่าเจ้าตัวนี้จะมุดเข้าร่างนางไป

"อิง" เขาได้ยินเสียงโหลชีดังมา"ฟังนะ เจ้าต้องฟังข้า ผิดแม้แต่นิดเดียว แขนเจ้าข้างนี้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว!"

เวลานี้นางโกรธพาลอยู่หน่อยหนึ่ง หากปฏิกิริยาเขาเร็วเช่นเดียวกับเฉิงสิบและโหลวซิ่นก็ไม่เป็นไรแล้วมิใช่หรือ? เวลานี้นางกลัวจริงๆ กลัวว่าสุดท้ายจะรักษาแขนข้างนี้ของเขาไม่ได้

"ข้ารู้แล้ว โหลชี เจ้าอย่าได้ตื่นตระหนก"

ขณะที่อิงเรียก 'โหลชี' เสียงนี้หัวใจช่างเศร้าสลดนัก เขารู้สักที เวลานี้ในสมองเขาแวบภาพออกมา เป็นตอนที่อยู่หุบเขาลึกลับ ตอนที่เขายังทะเลาะมีปากเสียงกับนางได้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มีชีวิตชีวาที่นางมีต่อเขา

ทันใดนั้นเขาไม่อยากเรียกนางว่าพระสนมแล้ว ไม่อยาก

โหลชีไหนเลยจะมีเวลาสนใจว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ นางส่งคลื่นเสียงกับเขา"กลั้นลมหายใจ ไม่ใช่ว่าเฉินซ่าสอนวิธีกลั้นลมหายใจแกล้งตายกับพวกเขาหรือ?"

แต่ แต่ นางโง่แล้ว ตอนนี้ควรให้เฉินซ่าสอนเขา

นางเปลี่ยนไปส่งเสียงกับเฉินซ่าทันที แต่กลับได้ยินเสียงหนักแน่นของเฉินซ่าอยู่ข้างใบหูนาง"ใจเย็นหน่อย"

เขาอยู่ข้างกายนาง

"เฉินซ่า วิธีกลั้นลมหายใจที่แกล้งตายแบบนั้นเจ้าเป็นใช่ไหม? สอนเขา ให้ดีที่สุดก็ทำให้เขาหมดลมหายใจโดยสมบูรณ์" นางยังพอจำได้เป็นเมื่อไรที่เฉิงสิบหรือว่าใครเคยบอกนาง ว่าเฉินซ่าเคยสอนพวกเขา

ภาวะตายปลอม ไม่เพียงกลั้นลมหายใจ ยังต้องใช้กำลังหายใจควบคุมระดับการไหลเวียนเลือด ให้การไหลเวียนเลือดช้าลง การเต้นของหัวใจละชีพจรก็ช้าลง เหมือนกับตายไปทั้งตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ