ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 352

เฉินซ่าเป็นจริงๆ เมื่อก่อนเขาเคยสอนคนพวกนี้ข้างกาย เวลานี้เขาถึงนึกขึ้นได้ว่า เขาควรจะสอนโหลชี และควรจะสอนนางให้เป็นด้วย

ตอนนี้เขาอยากให้นางเป็นทุกอย่าง ทำเป็นหมด แบบนี้ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร อย่างน้อยนางก็สามารถรับมือได้หมด เมื่อครู่ที่นางร้องออกมานั่นเขาก็รู้ว่าเรื่องมันต้องไม่ดีเอามากๆ ความเร็วที่นางพุ่งไปหาอิงนั้นเร็วจนเขาตกใจ ในยามนี้ถึงเขาจะรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีเอามากๆ แต่ก็ยังหึงนางโดยควบคุมตนเองมิได้

ท่าทางโหลชีเมื่อครู่ดูตื่นเต้นมากเกินไป นางกังวลเรื่องอิงขนาดนี้?

พอคิดถึงภาพเมื่อก่อนที่นางกับอิงทะเลาะถกเถียงกัน เฉินซ่าพลันนึกขึ้นมาได้ถึงข้อมูลที่เมื่อก่อนฮั่วหยูฉุนเคยรวบรวมจากนักโทษพวกนั้นมาให้เขา จะดูอย่างไรว่าสตรีนางหนึ่งชมชอบเจ้า หนึ่งในนั้นมีข้อหนึ่ง สตรีบางคนยิ่งชอบเจ้ายิ่งชอบถกเถียงกับเจ้า หาเรื่องทะเลาะกับเจ้า บางครั้งทะเลาะจนนางเองยังมิรู้ตัวว่าชอบเจ้า เพียงแต่ในบางเวลาพิเศษเท่านั้นถึงจะรู้สึกตัวถึงความรู้สึกของตนเอง

โหลชีคงมิใช่ว่าชอบอิง แต่ปกตินางมิรู้ตนเอง ตอนนี้ถึงช่วงอันตรายเป็นตายถึงค้นพบตนเองกระมัง?

ช่วงเวลาเป็นตาย ฝ่าบาทหึงแล้ว หึงแล้ว...

อิงเข้าสู่สภาวะแกล้งตาย น่าแปลกนัก มดแดงตัวนั้นกลับหยุดลง โหลชีขนลุกขนพองทั่วร่าง ก่อนส่งกระแสจิตหาเฉินซ่า

"สิ่งนี้เรียกว่ามดเย็นแดง จำยุงกร่อนกระดูกได้ไหม? นั่นเทียบกับมดเย็นแดงแล้วต่างกันราวหนูเจอราชสีห์เลย เจ้าอย่าขยับนะ กลั้นลมหายใจ มันแทบจะไร้คู่ต่อสู้เลย แต่มีจุดอ่อนอย่างหนึ่งคือ มันตาบอด มันทำได้แค่ได้ยินหรือรับรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจอยู่ อีกอย่าง ขอเพียงมันได้ยินลมหายใจของสิ่งมีชีวิตในระยะห้าก้าว พอได้ยินมันจะโผเข้าหาสิ่งนั้น จากนั้นมุดเข้าร่างกาย อาหารของพวกมันคือกระดูก"

โหลชีพูด เฉินซ่าถึงพบว่านางยืนในระยะห่างจากอิงห้าก้าวพอดี จิตใจเขาจึงค่อยผ่อนคลายลง

"เสียงแปลกของศพที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยิน เป็นเพราะเจ้ามดเย็นแดงนี่กำลังกินกระดูก?" เฉินซ่าถาม

โหลชีบอก "ใช่"

"ถ้าพูดอย่างนี้ ในห้าร่างนี้ล้วนเป็นมดเย็นแดง ถ้าพวกมันคลานออกมา..." เฉินซ่ายังรู้สึกขนลุกขนพองเลย

"หลังจากมดเย็นแดงกินอิ่มแล้วมันจะเข้าจำศีลฤดูหนาว ไม่ออกมาหรอก" โหลชีคิดถึงบันทึกบทตำนานประหลาดของนักพรตเลวนั่น นางยังขนลุกขนพองไม่หาย

"ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อน พวกมันจะจำศีลฤดูหนาวได้ยังไง?"

"ท่านไม่รู้สึกหนาวรึ?" โหลชีแนบชิดร่างเขา "มดเย็นแดงมีความสามารถลดอุณหภูมิได้ด้วยตนเอง ทำไมถึงมีเจ้าพวกนี้อยู่นะ? ข้าคิดว่านักพรตเลวแต่งเรื่องหลอกข้าเสียอีก ทำไมถึงมีพวกมันอยู่จริงล่ะ?" คำพูดประโยคหลังนี่ นางราวกับบ่นพึมพำกับตนเอง

"ลดอุณหภูมิได้ด้วยตนเอง?"

"อืม ดังนั้นจึงเรียกว่ามดเย็นแดงยังไงล่ะ หลังจากพวกมันกินกระดูกแล้ว จะปล่อยไอเย็นออกมา ไอเย็นชนิดนี้น่ากลัวมาก เพียงพอทำให้สัตว์ตัวเล็กและพืชพันธุ์อ่อนแอรอบตัวหนาวตายได้เลย" โหลชีมองมดเย็นแดงที่หยุดบนแขนอิง "พวกมันไม่แน่ใจว่าเนื้อผ้าคืออะไร ดังนั้นจะมุดเข้าร่างกาย ต้องสัมผัสกับผิวกายโดยตรงจึงจะมุดได้ แต่จะโจมตีมันไม่ได้ พอโจมตี ท่านไม่มีทางเคลื่อนไหวได้เร็วเท่ามัน ฝ่ามือลมยังไม่ทันถึง มันก็จะรับรู้ได้แล้ว และมุดเข้าไปเลย พอมุดเข้าไปก็ไม่มีทางเอามันออกมาได้"

และพอมันมุดเข้าไปก็กินกระดูก ต่อให้กินเป็นรูแค่นิดเดียว หากต่อไปได้เจ็บปางตายแน่

ครั้งนี้โหลชีทำอะไรไม่ได้จริงๆ นักพรตเลวเองก็ไม่รู้จะต่อกรกับเจ้าพวกนี้ยังไง เขาเพียงแค่เขียนบอกไว้ง่ายๆว่าอย่าเข้าใกล้พวกมันในระยะห้าก้าวก็ได้แล้ว

แต่ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ? อิงจะอยู่ในสภาพแกล้งตายไปตลอดไม่ได้ ได้ตายกันพอดี อีกอย่างพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีมดเย็นแดงกี่ตัวในห้าศพนั่น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกมันจะกินอิ่มแล้วจำศีลฤดูหนาว เกิดมันยังกินไม่อิ่ม และออกมาตอนเอาศพไปฝังล่ะ?

ดังนั้นตอนนี้ห้าศพนั่นก็ยังขยับไม่ได้

โหลชีอยากจะบ้า

เฉินซ่าบอก "ก็ไม่ยาก หาอาหารให้มันใหม่ก็ได้แล้วกระมัง ให้พวกเฉินซ่าไปล่าสัตว์มา"

พอเขาพูดแบบนี้ โหลชีพลันเข้าใจความหมายเขา ตาเป็นประกายทันที "ท่านฉลาดนัก! ทำไมข้าถึงนึกไม่ถึงนะ? เอาตัวใหญ่หน่อยมานะ!" อันที่จริงนางแค่ต่อจิ๊กซอว์ไม่ติด มักคิดว่ายากมากยากมาก น่ากลัวมาก แต่กลับลืมคิดจากจุดพื้นฐานที่สุด

เดิมภูเขานี้ล่าสัตว์ได้ง่ายมาก แต่เรื่องจริงกลับทำให้พวกเขาตกใจ เพราะเปิดภูเขา สัตว์มากมายล้วนวิ่งเข้าป่าลึกไปแล้ว อีกอย่างโหลชีเดาว่า เพราะเจ้ามดเย็นแดงอยู่นี่ หนาวมากจริงๆ บรรดาสัตว์น่ะเซนส์ดี ตกใจวิ่งหนีกันไปหมดแล้ว

มดเย็นแดงตัวนั้นเกาะอยู่บนแขนอิงไม่ขยับ ทำเอาพวกเขาหวาดหวั่นกันไปหมด เอาแต่มองมัน

สุดท้ายเฉินซ่ากัดฟันบอก "ไปจูงม้ามาหนึ่งตัว"

โหลชีใจกระตุก เสียสละม้าหนึ่งตัว? บางทีอาจเป็นเพราะหลังย้อนเวลามามีท่าเสวี่ย นางเลยผูกพันกับม้าอยู่หน่อย

ไม่มีหนทางอื่นแล้ว หูขว้างจือจูงม้าผอมแก่มาหนึ่งตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซ่าให้บังคับจูงมันมา มันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ สุดท้ายเลยโดนกำลังภายในผลักเข้าไป พอม้านั่นเข้าไปในระยะห้าก้าวแล้ว โหลชีกับเฉินซ่ายังไม่ทันมองละเอียดว่ามดเย็นแดงตัวนั้นขยับยังไง แต่พริบตาเดียวมันก็ไปอยู่บนตัวม้าแก่นั่น และมุดเข้าไปในเนื้อม้าโดยที่พวกเขายังไม่ทันสังเกต บนตัวม้าพลันเกิดรูเล็กน่ารังเกียจเหมือนบนห้าศพนั่น

ม้าตัวนั้นล้มตึงลงพื้นทันที ชักกระตุกไปทั่วร่าง ไม่มีแม้เสียงร้องสักแอะ

"สวรรค์..."

โหลวซิ่นที่อยู่ไกลหน่อยพึมพำออกมา "มดตัวเล็กเพียงนี้เพียงตัวเดียว พริบตาเดียวฆ่าม้าตายหนึ่งตัว!"

เสียงกินกระดูกน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นมา

โหลชียื่นมือไปตบบ่าอิง พลางบอกเฉินซ่า "รีบเรียกเขาให้ตื่นขึ้น"

อิงปล่อยการควบคุมตนเอง แต่เพราะควบคุมนานเกินไป สภาวะแกล้งตายอยู่นานเกินไปหน่อย เลยล้มมาทางโหลชี โหลชียื่นมือจะรับเขาตามสัญชาตญาณ

สายตาเฉินซ่าดำทะมึน ยื่นมือไปพยุงอิง และรับจากมือนางมา

รอจนพวกเขาถอยไปอยู่ระยะร้อยก้าว ต่างพากันถอนหายใจโล่งอก เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ โหลชีมองอิง "แขนเจ้าข้างนี้แข็งแย่แล้วกระมัง? หูขว้างจือ พาองครักษ์อิงไปหาท่านหมอขอน้ำมันมวยมานวดแขนหน่อย นวดจนรู้สึกร้อนแสบก็พอ"

"ขอรับ" หูขว้างจือรีบเข้ามาพยุงอิง

โจวหลี่เองก็หนาวจนริมฝีปากขาวซีด "ฝ่าบาท พระสนม ซากศพพวกนี้จะจัดการอย่างไรดี?"

"เผา เผาทั้งหมดละกัน" โหลชีบอก "อีกอย่าง จุดที่พบศพ คาดว่ามดเย็นแดงคงตามมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว แบบนี้ดีที่สุด เผาให้หมดในคราวเดียวละกัน ท่านอย่าบอกกับข้าว่าจะให้ไปสืบที่นั่นนะ ข้าบอกท่านเลย ข้าไม่ไปหรอก"

นางพึ่งจะกลับมาพั่วอวี้ กลับมาครั้งนี้ยังไม่ทันได้พักผ่อนอะไรเลย เมื่อวานมาถึง เมื่อคืนก็มีคนหางานให้ทำ คำสาปยาตรากตรำอยู่ค่อนคืนถึงจะได้พักผ่อน สุดท้ายเช้ามืดก็โดนลากออกมาร่วมว่าราชการตอนเช้าอีก ถกเถียงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ทำเอานางพูดจนคอแห้งแล้ว ก็แค่กินข้าวเช้า อยากให้เขาพานางเดินเล่นกินลมชมวิวสบายๆ วนสักรอบค่อยกลับมานอนต่อ ใครเลยจะรู้เจอกับเรื่องนี้อีก ชาติก่อนนางทำกรรมอะไรไว้หนักหนาหรอ? ชาตินี้ถึงต้องทำงานหนักขนาดนี้ ตั้งแต่ไม่กี่ขวบก็ไม่เคยได้พักผ่อนเลย นี่จะไม่ให้นางได้ใช้ชีวิตนั่งกินนอนกินเลยรึ?

พอคิดถึงตรงนี้ นางมองเฉินซ่าอย่างเซ็งจิต พลางถามเขาหนึ่งคำถาม

"ท่านว่า ทำไมข้ามักต้องยุ่งเพียงนี้ล่ะ?" ยังไม่รอเขาตอบ เอก็พูดต่ออย่างจริงจังอีกว่า "นี่เป็นเพราะว่าข้าเป็นอัจฉริยะน่ะสิ! เฮ้อ มีสุภาษิตคำหนึ่งว่าไว้ ผู้มีความสามารถย่อมต้องเหนื่อยหน่อย"

นางถอนหายใจว่า "ท่านว่าแม่ข้าคลอดลูกที่เป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างข้าออกมาได้นี่ก็เก่งใช่ย่อยนะ"

เฉินซ่ามุมปากกระตุก

ขนาดเฉิงสิบกับโหลวซิ่นที่เดินตามหลังยังทนไม่ไหวมุมปากกระตุกด้วย

น่าแปลกจริง ทั้งๆที่ปกติพวกเขาเองก็รู้สึกว่านางเก่งกาจมาก แต่พอได้ยินนางชมตนเอง ทำไมถึงรู้สึกกระอักกระอ่วนพิกลได้ล่ะ?

หลังจากกลับไป งานอธิบายก็ไม่เกี่ยวกับนางละ นางยืนกรานจะรอในรถม้า เฉินซ่าจะลากนางไปจัดการเรื่องราวด้วย นางก็มุดเข้ารถม้า ให้ตายก็ไม่ยอมลงมา สุดท้ายเฉินซ่าก็ไม่กล้าบังคับนาง

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นไปวนมาหนึ่งรอบ หาผลไม้ป่ามาให้นาง โหลชีกอดหมอนกินผลไม้ป่าสดหวานอยู่ในรถม้า ทนไม่ไหวถอนหายใจออกมา "อย่างนี้ถึงจะถูกสิ"

"แม่นาง มดเย็นแดงพวกนั้นแค่เผาก็ได้แล้วจริงหรอ?" เฉิงสิบถามระหว่างนั่งหน้าด้านนอกตัวรถ

โหลชีรับคำ "น่าจะได้แล้วนะ เจ้าพวกนี้ต้านทานไฟไม่ไหวหรอก แต่ก็ต้องให้มันโดนกักไว้ในร่าง ไฟต้องโหมแรง เอาแบบพริบตาเดียวไหม้หมด ถ้าพวกมันอยู่ด้านนอก ด้วยความเร็วของพวกมัน ดูท่าไฟยังไม่ไหม้ก็หนีแล้ว"

ดังนั้นการเผาซากศพดีที่สุด ไม่ต้องไปโดนซากศพพวกนั้นด้วย พวกมันกำลังจะจำศีลฤดูหนาว พวกมันจะช้าลงหน่อยด้วย

พวกเฉินซ่าจัดการเรื่องพวกนี้ใช้เวลาไปเต็มๆครึ่งชั่วยาม โหลชีก็ไม่สน ยังไงซะในรถม้าทั้งกว้างทั้งสบาย กินผลไม้ป่าเสร็จก็นอนหลับในรถม้าเลย จากนั้นนางรู้สึกว่าเฉินซ่ากลับเข้ารถม้าแล้ว พอผ่อนคลาย ก็ยิ่งหลับสนิท ขนาดรถม้าเริ่มวิ่งกลับไปยังไม่รู้ตัว

ส่วนคนของตำหนักจิ่วเซียวก็ได้เห็นภาพที่ทำให้พวกเขารู้สึกตะลึงทึ่งมาก

ฝ่าบาทอุ้มพระสนมลงรถม้า!

เขากระทำมันอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา พระสนมเหมือนจะหลับในอ้อมแขนเขา ฝ่าบาทอุ้มนางเดินเข้าตำหนักสาม ฝีเท้านิ่งมั่น คล้ายกับกลัวว่าถ้ารีบร้อนเดินแล้วจะทำให้นางหลับไม่สบาย

พวกเขากล้าใช้หัวเป็นประกัน ชาตินี้ไม่เคยเห็นฝ่าบาทอ่อนโยนเยี่ยงนี้มาก่อน

ข่าวนี้แน่นอนต้องสะพัดไปถุงทุกตำหนักรับแขก

พอเฟยฮวนได้ยินข่าวนี้ โกรธจนอยากขว้างปาข้าวของ แต่นับจากเรื่องนางตอนว่าราชการเมื่อเช้ามืดแพร่ออกมา ท่าทีของเหล่านางกำนัลที่มีต่อนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งมีคนหนึ่งบอกนางว่า แม่นางชุ่ยฮวาใจเย็นลงเถิด กาน้ำชาหรือถ้วยชาอะไรนั่น ครั้งก่อนโดนนางขว้างปาเสียหาย ตอนนี้เหลือเพียงชุดนี้เท่านั้น หากขว้างปาอีก จะไม่มีให้ดื่มน้ำแล้ว

เดิมเฟยฮวนชอบซีฉางหลี นางรู้สึกว่าตนมาพั่วอวี้เพียงเพื่อภารกิจหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจเฉินซ่าอะไรมากนัก แต่หลังจากโดนฉีกหน้าอย่างหนักแล้ว นางกลับเกิดความอยากเอาชนะขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ