ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 353

เฟยฮวนรู้สึกว่าตนเองก็ไม่ด้อย อย่างน้อยไม่ด้อยกว่าโหลชี

หากพูดเรื่องหน้าตา ถึงนางจะไม่งดงามเท่าโหลชี แต่นางรู้มาตลอดว่าข้อเด่นของหน้าตาตนอยู่ที่ไหน นางอ่อนแอรูปร่างแน่งน้อยมาก ประหนึ่งอ่อนแอพลิ้วไหวดุจต้นหลิว ยากจะต้านแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ บุรุษมากมายล้วนพ่ายแพ้ต่อสตรีเช่นนาง บุรุษมากมายล้วนตายภายใต้ทีท่าของนาง นางดูอ่อนแออรชร อันที่จริงแล้วนางมีหัวใจที่แข็งกล้าโหดเหี้ยมนัก

มิเช่นนั้นนางคงไม่ยอมวิ่งมาตำหนักจิ่วเซียวด้วยตัวคนเดียวเพื่อมอบกายให้เขา ทั้งๆที่ในใจชอบซีฉางหลี ถึงอาจารย์นางจะเคยบอกว่านางต้องมอบกายให้เฉินซ่า แต่ยังไงนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง ล้วนหวังว่าจะได้มอบกายให้คนที่ตนรัก แต่ตอนนี้เฟยฮวนรู้สึกว่า การรักเฉินซ่า ดูไม่น่าใช่เรื่องยากลำบากอะไร

ถึงซีฉางหลีจะชอบนาง แต่เทียบกับงานใหญ่ของเขาแล้ว นางเป็นสิ่งที่สามารถสละได้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นางมิอาจรักเขาได้หมดใจ พวกเขาต่างมิมีใครมอบหัวใจทั้งหมดออกมา

เฟยฮวนพลันอยากรู้ว่า เฉินซ่ากับโหลชีได้มอบหัวใจทั้งหมดให้แก่กันและกันหรือไม่?

"ใครก็ได้"

ในเมื่อนางเป็นคนที่ใต้เท้าองครักษ์อิงไปรับมา และยังไม่มีใครบอกว่าจะทำยังไงกับนาง ดังนั้นเหล่านางกำนัลจึงไม่มีใครกล้าไม่นบนอบด้วย

"แม่นางชุ่ยฮวามีสิ่งใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ?"

พอได้ยินนางกำนัลเรียกนางว่าแม่นางชุ่ยฮวา ในใจเฟยฮวนรู้สึกแปลกนัก นางมิใช่คนโง่เขลา คนมากมายยามได้ยินชื่อนี้ของนางพลันแสดงออกประหลาดนัก ตอนแรกนางไม่ได้ใส่ใจ แต่หลายครั้งเข้านางก็สังเกตได้ และพวกเขายังบอกว่านางชื่อเฟยฮวน

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? นางจำได้ว่าตนชื่อชุ่ยฮวานี่นา

แต่ในเมื่อมั่นใจว่าตนชื่อเฟยฮวน ตามใจจริงนางก็ว่าเฟยฮวนเพราะกว่าชุ่ยฮวา ซีเฟยฮวน ซีชุ่ยฮวา? เฟยฮวนครุ่นคิดไม่ตก สุดท้ายคิดถึงครั้งนั้น ตอนที่นางจัดการใช้การควบคุมฝัน

ตอนนั้นนางสงสัยว่าการควบคุมฝันของตนล้มเหลวแล้ว เช้ามืดวันนี้ทำให้นางแน่ใจแล้วว่า ล้มเหลวแล้วจริงๆ แต่เพราะอะไรเล่า? นางไม่เข้าใจจริงๆ อีกอย่าง ล้มเหลวได้อย่างไร? นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเฉินซ่าสามารถทำลายคำสาปได้แล้ว

อีกอย่าง ต่อให้เขาทำได้ ระหว่างหลับอย่างมากคือแรงต้านทานมากหน่อย ไม่มีทางทำให้ความทรงจำนางเปลี่ยนไปได้ชั่วคราวเปลี่ยนชื่อนางไปนี่นา

นางไม่มีทางคิดออกแน่ว่า นางหลงกลโหลชีเข้าอย่างจังแล้ว

"ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท" เฟยฮวนยังคงตัดสินใจโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน

"ฝ่าบาทมิได้มีรับสั่งเรียกแม่นางชุ่ยฮวาเข้าเฝ้านี่นา" นางกำนัลแสดงออกว่าไม่มีหนทาง เฟยฮวนกัดฟันกรอด เมื่อใดกันที่นางต้องการพบบุรุษผู้หนึ่งแล้วยังต้องรอรับสั่งให้เข้าเฝ้า?

"ฝ่าบาทมิได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ข้าก็จะเข้าเฝ้า ข้าจะทำอาหารบำรุงไปถวายฝ่าบาท"

สายตานางพลันมีประกายวาบผ่าน พอนางกำนัลนั่นสบตานาง สายตาพลันแข็งทื่อ

"เจ้าค่ะ"

พอโหลชีตื่นขึ้นมา แสงอาทิตย์อัสดงกำลังเป็นสีแดง นางไม่ได้หลับสบายหลับนานขนาดนี้นานมากแล้ว ตื่นมาคราวนี้เลยตกอยู่ในภวังค์นิดหน่อย ไม่รู้ว่านี่เวลาอะไร แต่ไม่นานนางก็ได้กลิ่นอ่อนใสชนิดหนึ่ง กลิ่นแบบนี้นางคุ้นเคยมาก นั่นเป็นกลิ่นบนตัวเฉินซ่า นางมองไปรอบด้าน ถึงมองออกว่านี่เป็นเตียงใหญ่เตียงใหม่ ผ้าห่มที่ห่มบนตัวหรือผ้ามู่ลี่อะไรล้วนเป็นของใหม่ พอเปิดมู่ลี่ออกดู ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของเฉินซ่านั่นเอง

แต่ของใหม่ทั้งหมด ทำไมถึงมีกลิ่นเขาได้ล่ะ?

นางลงจากเตียง พบว่าตนเองเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ใส่เสื้อตัวในตัวใหม่ ด้านในว่างเปล่า เสื้อชั้นในอะไรก็ไม่มี

"เอ้อร์หลิง!"

โหลชีรู้สึกโกรธเลือดขึ้นหน้าฉับพลัน นางไม่เชื่อว่าตนเองจะนอนหลับสนิทถึงขั้นนี้ ขนาดมีคนถอดเสื้อผ้านางออกหมดแล้วจับนางเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังไม่รู้ตัวอีก

เอ้อร์หลิงเฝ้าอยู่ด้านนอกจริงๆ ได้ยินเสียงนางก็รีบเปิดประตูเข้ามา "พระสนมทรงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?"

โหลชีพอเห็นนางก็โล่งอก "เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า?"

"เอ่อ...ถือว่าใช่"

พอได้ยินคำนี้ โหลชีแทบพองลม "อะไรคือถือว่าใช่?"

เอ้อร์หลิงเม้มปากแอบขำ กดเสียงต่ำบอกนางว่า "เดิมฝ่าบาทจะช่วยพระสนมเปลี่ยน แต่ฝ่าบาทไม่รู้วิธีถอดชุดสตรี หลังจากดึงซ้ายดึงขวามั่วไปหมดถึงให้ข้าน้อยเข้ามาช่วย ฝ่าบาทเป็นคนเปลี่ยนเสื้อตัวใน ฝ่าบาทพึ่งตื่นได้ไม่นาน" โหลชีแทบเป็นลม

"เจ้าเฉินซ่าจี้จุดหลับข้าหรือไง?"

พระสนมน่าจะเหนื่อยเกินไปกระมัง ฝ่าบาทบอกให้ท่านพักผ่อนให้มาก เลยจี้จุดหลับของท่าน"

โหลชีกัดฟันกรอด เจ้าหมอนั่น ถึงเจ้าหมอนั่นจะรับปากไม่มีอะไรกับนางก่อนพิธีอภิเษกสมรส แต่ตกลงเขาเข้าใจคำว่าชายหญิงห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันไหมเนี่ยหะ? ทำไมหน้าหนาขนาดนี้เนี่ย? ทำไมปล่อยวางกว่านางที่มาจากยุคปัจจุบันอีกเนี่ย?

"ฝ่าบาทพักผ่อนนานแค่ไหน?"

"ราวหนึ่งชั่วยามกว่ากระมัง"

พอได้ยินเอ้อร์หลิงพูดแบบนี้ โหลชีพบว่าตนเองแอบผ่อนลมหายใจแผ่วเบา นางอึ้งไปเล็กน้อย อันที่จริงนางก็แคร์เขามากอยู่เหมือนกันนะ นางเองยังเหนื่อยมากเลย และคิดว่าเขาต้องเหนื่อยแน่ ถ้าได้นอนพักผ่อนสักสองชั่วโมงก็คงดี โหลชีถึงกับเริ่มคิดทำยาบำรุงร่างกายออกมาให้เขากินเลย

พอใส่เสื้อผ้าเสร็จ ตอนนางจะรัดสายรัดเอวถึงพบว่าสายรัดเอวที่เข้าชุดกับชุดนี้ก็วางอยู่ข้างๆ

เอ้อร์หลิงเห็นสายตานางตกไปอยู่ที่สายรัดเอว จึงถามขึ้น "พระสนม ตอนนี้อยู่ในวัง ถ้าเช่นไรอย่ารัดสายรัดเอวเส้นนั้นของท่านเลย?" สายรัดเอวพิเศษของพระสนม นางแค่ดูยังรู้สึกว่าหนักมากเลย

โหลชีมองสายรัดเอวบางเบาและสวยงามเข้าชุดเส้นนั้น พลางพยักหน้า ยอมให้เอ้อร์หลิงรัดสายรัดเอวนั่นที่เอวนาง

พอจัดชุดเสร็จ เอ้อร์หลิงพูดอย่างชื่นชมว่า "พระสนม ท่านงามนัก เอวอรชรจริงๆ"

โหลชียิ้มบอก "เจ้าเองก็สวยมาก"

เอ้อร์หลิงรู้ความเคยชินของนาง จัดการแต่งทรงผมที่เรียบง่ายแต่ถูกกาลเทศะให้กับนาง เปิดกล่องกระจกกล่องหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้งออก ในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับ

"ของพวกนี้มาจากไหนกันน่ะ?" ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของเฉินซ่า เมื่อก่อนไม่มีเครื่องประดับของผู้หญิงเลยสักนิด ตอนนี้กลับมีโต๊ะเครื่องแป้ง แถมยังกล่องเครื่องประดับกล่องใหญ่นี่อีก

"พระสนม ของพวกนี้ฝ่าบาทสั่งให้คนหามาจัดเตรียมไว้ หลังจากที่ท่านไปหุบเทพมาร จริงสิ พระสนม ท่านอย่าได้พูดว่าจะไปพำนักตำหนักข้างอีกเลย ท่านดูสิฝ่าบาททรงตั้งพระทัยเตรียมการเยี่ยงนี้แล้ว" ตอนนี้เอ้อร์หลิงแทบจะกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของเฉินซ่าแล้ว ถ้าบอกว่าแม่นางของพวกเขาจะแต่งงานล่ะก็ เป็นฝ่าบาทย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทเปลี่ยนไปมากเลย ยังสนใจถึงสิ่งเหล่านี้ ทั้งเท่ทั้งรอบคอบ โชคที่เหล่านางกำนัลตำหนักหนึ่งและสองไม่รู้ มิเช่นนั้นจะไม่ยิ่งหลงใหลฝ่าบาทรึ?

แหะแหะ น่าเสียดายที่ชาตินี้พวกนางไม่มีโอกาสแล้ว ในใจฝ่าบาทมีแต่พระสนมเท่านั้น รอวันสร้างแคว้น ฝ่าบาทจะต้องแต่งตั้งพระสนมเป็นจักรพรรดินีแน่ นับแต่นี้ฝ่าบาทและจักรพรรดินีเคียงคู่ไปด้วยกัน กลายเป็นตำนาน!

เอ้อร์หลิงดีใจกับโหลชีจริงๆ

โหลชีเหล่นาง พลันถามขึ้น "เอ้อร์หลิงเองก็มีชายหนุ่มในดวงใจแล้ว?"

"อะ อะไรนะ?" เอ้อร์หลิงหน้าแดงฉับพลัน "พระสนมอย่าล้อข้าน้อยเล่นเลย ข้าน้อยจะอยู่รับใช้พระสนมนี่แหละ!"

"ฮิฮิ ข้างกายข้ามีแม่เฒ่าแล้วนะ..." โหลชีนึกขึ้นได้ "เสี่ยวโฉวล่ะ?"

เสี่ยวโฉวอยู่ตัวคนเดียว และตัดสินใจจะติดตามนางแล้ว ไม่เหมือนกับพวกถูเปิน นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น้อยแล้ว ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น้อยแถมยังไม่ได้ออกเรือนอีก ต้องตระเตรียมที่ทางให้ดี

"อ้อ จริงสิ ข้าน้อยลืมบอกพระสนม" เอ้อร์หลิงรีบบอก "อาหญิงเสี่ยวโฉวตอนนี้ก็พำนักที่ตำหนักจิ่วเซียว"

"อาหญิงเสี่ยวโฉว?"

"ที่ตงชิง นางกำนัลที่อายุมากมีประสบการณ์หน่อยล้วนเรียกว่ามามา แต่ฝ่าบาทรับสั่งแล้ว ตำหนักหนึ่งและตำหนักสองมิเป็นไร หากเป็นในตำหนักสามนี้ให้เรียกว่าอาหญิง"

โหลชีถึงบางอ้อ

พูดแบบนี้ อาหญิงก็ถือเป็นตำแหน่งหนึ่งในตำหนักหลังล่ะมั้ง

ตอนนี้ท้องของโหลชีร้องจ๊อกๆขึ้นมา

"พระสนมทรงบรรทมเลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว"

เดิมนางก็หลับในรถม้าตอนสายๆ ถึงตรงกลางจะโดนจี้จุดหลับ แต่หลับยาวจนถึงเวลาเย็นนี่ก็ถือว่าหลับเก่ง "ไปไปไป ไปกินข้าวกัน"

ในสวนมีตะวันยามเย็นฉายส่อง แสงเต็มท้องฟ้า ส่องมาที่กำแพงกระจก ยิ่งทำให้งดงามสว่างไสว ดูตระการตายิ่งนัก ต้นสนเขียวตรง ภูเขาเทียมขวักไขว่ สะพานหินโค้งเล็กน้อย มีสายน้ำใสเย็นไหลผ่าน สวนนอกตำหนักของเฉินซ่าไม่มีดอกไม้หรือต้นหลิวอะไร ผู้ชายคนนั้นไม่ชอบสไตส์นี้ ดังนั้นในตำหนักเขามีโต๊ะเครื่องแป้งและกล่องเครื่องประดับ มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนสงสัยนัก

โหลชีเห็นเฉินซ่าที่นั่งอยู่ในศาลาไม่ไกล

ชุดสีแดงดำ ผมดำกระจายตัวลง คิ้วยาวโก้งโค้ง ใบหน้าด้านข้างหล่อเหลาไร้ใครเปรียบ เขาถือสมุดเล่มหนึ่งไว้ด้วยมือเดียว บนโต๊ะยังมีอีกสองกอง แบ่งซ้ายขวาวางไว้ โหลชีเดาว่ามันคือฎีกา เขาจากไปนานขนาดนี้ น่าจะต้องมีหลายเรื่องมากต้องจัดการ เพียงแต่ทำไมเขาไม่ไปห้องหนังสือ กลับมานั่งทำอะไรที่นี่กัน?

นางกำลังจะเดินเข้าไป แต่กลับเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีหยกเดินมาจากทางประตูตำหนัก ดุจกำลังเหยียบดอกบัว เพียงแค่ท่าทางการเดินก็ทำให้นางดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

เฟยฮวน

โหลชีเลิกคิ้วขึ้นทันที

เฟยฮวนทำไมสามารถเข้าตำหนักสามได้?

พอนางเพ่งมองยิ่งตกใจ เพราะข้างกายเฟยฮวนตามมาด้วยหมอเทวดา

นี่มันขั้นตอนอะไรกัน? โหลชีสงสัยหนักมาก เอ้อร์หลิงกลับโกรธขึ้นมา "พระสนม สตรีผู้นั้นเข้ามาได้อย่างไรกัน? ข้าน้อยจะไปไล่นางออกไป!"

สตรีที่องครักษ์อิงไปรับเข้าตำหนักจิ่วเซียว นางมิสนใจดอก

โหลชีดึงนางไว้ "ในเมื่อนางเข้ามาได้ ย่อมแปลว่าฝ่าบาทอนุญาตนะ ไม่เห็นพวกเขาเดินตรงไปหาฝ่าบาทแล้วหรือไง?"

นางยืนอยู่ตรงนี้มองไป ตรงนั้นมีต้นสนแถวหนึ่ง นางพึ่งเห็นเฟยฮวนกับหมอเทวดา แต่แค่เวลาหันมาพูดสองคำนี้ นางยังเห็นเยว่และอิง

ดีนี่ มากันหมดแล้ว ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ตอนนี้นางมองเห็นถาดในมือเฟยฮวน บนถาดนั้นมีโถดินสีขาวตัวหนึ่ง

นั่นคืออะไร?

"เอ้อร์หลิง เจ้าไปเตรียมอาหารให้ข้า" โหลชีแยกเอ้อร์หลิงไป หนึ่งเพราะนางหิวมากจริงๆ สองเพราะนางจะไปแอบฟังนี่นา เอาเอ้อร์หลิงไปด้วยไม่ได้

เอ้อร์หลิงกระทืบเท้า หมุนตัวจากไป

โหลชีเห็นเฟยฮวนถือชามนั้นยืนนิ่งนอกศาลา หมอเทวดากับเยว่ อิงล้วนเข้าไปในศาลา ไม่รู้ว่าหมอเทวดาพูดอะไรกับเฉินซ่า เฉินซ่าถึงได้ผงกหัวฉับพลันหันไปมองเฟยฮวนที่อยู่ด้านนอก

เฟยฮวนสบสายตากับเขา ย่อเข่าลงเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ