ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 359

ตอนนี้ต่อให้โหลชียอม เฉินซ่าก็ไม่อยากแก้กู่ด้วยวิธีอย่างนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้ในใจไม่มีใคร เขาก็เลยเห็นหญิงธาตุหยินนั่นเป็นแค่ตัวยา แน่นอน ตอนนั้นเขาไม่ถือสาที่จะแต่งตั้งนางผู้นั้นเป็นสนม

แต่ตอนนี้ในใจเขามีโหลชีแล้ว จะไม่ยอมลบหลู่นางเยี่ยงนั้น แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สามารถคิดออกมาได้เลยว่า ถ้าในอ้อมกอดตนมีสตรีอีกผู้หนึ่งจะเป็นความรู้สึกเยี่ยงไร ยังไงก็ตามมันไม่ดีแน่

ส่วนโหลชีก็ยกหน้าที่การแก้กู่ปลิดชีพอย่างไรไว้บนบ่าเลย

ผู้ชายของนาง นางช่วย มันเป็นเรื่องถูกต้องทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่ากู่ปลิดชีพไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ

พอได้ยินคำถามของหมอเทวดา โหลชีส่ายหัวบอก "ยังหาอยู่ ต้องคิดออกมาได้แน่"

หมอเทวดาอึ้ง นางมั่นใจมากนะเนี่ย ต้องรู้ไว้ นี่เป็นกู่ที่แม้แต่ดีจิ้งจอกมารยังหลีกหนีไม่ได้ และเวลาเริ่มนานก็ยิ่งลำบากมากขึ้น

โหลชีรู้สึกว่า ถ้านักพรตเลวอยู่ที่นี่ นางน่าจะมั่นใจมากกว่านี้ เพราะนักพรตเลวค่อนข้างคุ้นเคยกับของที่นี่มากกว่านาง รู้มากกว่ามากนัก

"กระสายยาอีกห้าอย่างที่เหลือคืออะไร?"

หมอเทวดาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา เปิดให้นางดู

"ทั้งหมดต้องการกระสายยาสิบชนิด กระสายยาพวกนี้มิใช่ยาธรรมดา" หมอเทวดาบอก "ในช่วงนั้นที่พระสนมไปยังหุบเทพมาร ฝ่าบาทเคยบอกข้าน้อยว่า พระสนมเป็นดาวนำโชคของเขา กระสายยาทั้งห้าชนิดที่ได้มาล้วนอาศัยพระสนมทั้งสิ้น"

ดอกลึกลับ จิ้งจกน้ำแข็ง งูยักษ์เย็นสารทฤดู มุกน้ำตาตงไห่ ลูกนิลดำ กระสายยาเหล่านี้ล้วนเป็นโหลชีที่ช่วยหามาได้จริง ไม่เพียงแค่เฉินซ่า ขนาดโหลชีเองยังรู้สึกแปลกใจ กระทั่งนางมักรู้สึกว่าพรหมลิขิตกำหนดไว้ เหมือนมีบางอย่างชี้นำชะตาชีวิตของนางและเฉินซ่า บางทีนางอาจจะมาเพื่อหากระสายยาให้เขา มาช่วยเขาแก้กู่ก็ได้

แต่จะมีวันไหนไหมที่นางต้องอาศัยเขาคอยคุ้มครอง?

โหลชีมักรู้สึกว่านักพรตเลวให้นางมาที่นี่ เรื่องที่จะให้นางช่วยต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าจะมาช่วยเฉินซ่า

สายตานางจับจ้องไปที่สมุดเล่มนั้น กระสายยาอีกห้าชนิดที่เหลือ ผีเสื้อหยก ลูกอำพัน ก้างน้ำแข็ง แมลงสนแดง หญ้าเข็มดำ นางเคยได้ยินแค่ผีเสื้อหยกและแมลงสนแดง และมีบันทึกไว้ในบทตำนานประหลาดของนักพรตเลว แต่ของสองอย่างนี้ก็หายากมาก

ที่เหลืออีกสามอย่าง...

"องครักษ์อวิ๋นไปตามหากระสายยาที่ทุ่งหญ้า คือไปหาหญ้าเข็มดำรึ?" ทุ่งหญ้า นางเลยคิดถึงหญ้า

ไม่คิดว่าจะเดาถูก หมอเทวดาพยักหน้าบอก "ใช่ไง เดิมคิดว่าจะหาได้ง่ายๆ ใครจะรู้ว่าองครักษ์อวิ๋นไปนานขนาดนั้นแล้วยังไม่มีส่งข่าวอะไรกลับมาเลย ดูท่าหญ้าเข็มดำนั่นก็หายากอยู่"

"งั้นหมอเทวดาคิดว่า กระสายยาที่เหลือ อันไหนพอหาง่ายหน่อย?"

หมอเทวดามองอยู่นานก่อนจะส่ายหัวบอก "ขออภัยพระสนม พูดไม่ถูกเลยจริงๆ"

โหลชีแอบเซ็ง มันพูดยากจริงๆ

"แต่ว่า ตอนนี้เรื่องในพั่วอวี้มีมากจนไม่สามารถละทิ้งไปได้ กระสายยาพวกนี้องครักษ์เยว่และองครักษ์อิงได้ส่งคนออกไปหาแล้ว เชื่อว่ารออีกสักหน่อยต้องมีข่าวแน่"

โหลชีพยักหน้า ในตอนนี้คงทำได้แต่รอ คนมากมายขนาดนั้นออกไปตามหา ต้องดีกว่าตัวนางวิ่งแร่เองจริงไหม?

พอออกมาจากหมอเทวดานั่น นางพาเอ้อร์หลิงกลับตำหนักสาม เห็นว่ายังเช้าอยู่ เลยเดินเล่นรอบๆ เดินไปเดินมาก็มาถึงตำหนักที่นางไม่เคยเข้าไปมาก่อน

ตำหนักนี้ไม่ใหญ่ แต่ดูแล้วหรูหรามาก

"อันที่จริงตำหนักหนึ่งและตำหนักสองของตำหนักจิ่วเซียวอยู่ในระหว่างการสร้าง หลังจากเข้าพำนักแล้วมีบางสถานที่ถึงเริ่มก่อสร้างแต่งเติม ไม่งั้นก่อนหน้านี้เวลากระชั้นชิด ไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้มากขนาดนี้" เอ้อร์หลิงบอก "แต่ว่าตำหนักสามเป็นตำหนักที่สร้างเสร็จเร็วที่สุด ตอนแรกสร้างตำหนักสามก่อน ฝ่าบาทเข้าพำนัก ด้านนอกถึงเริ่มสร้าง แต่ตำหนักสามใหญ่มาก ในนั้นมีเพียงห้าหกตำหนัก เพราะตอนนั้นฝ่าบาทบอกว่า ต่อไปจะไม่มีนายหญิงมากขนาดนั้น ให้สร้างแค่ห้าหกตำหนักก็พอ"

ดังนั้นต่อให้ไม่มีนาง เดิมเฉินซ่าก็คิดจะมีแค่หนึ่งจักรพรรดินีสี่พระสนมงั้นหรอ?

"เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าตำหนักนี้ต่างหากที่ดูหรูหรา" โหลชีเลิกคิ้วบอก

เอ้อร์หลิงบอกอย่างกระอักกระอ่วน "พระสนม เดิมการก่อสร้างตำหนักจิ่วเซียว แม่นาง...เสวี่ยก็สามารถพูดได้"

โหลชีเหลือบตาขึ้นก็เห็นประตูเข้าตำหนัก ป้ายชื่อนั้นเขียนไว้สามตัวใหญ่

ตำหนักสุขหิมะ

นางหัวเราะทันที ตำหนักสุขหิมะ หิมะนี่ตั้งใจเก็บไว้ให้ตัวเองงั้นสิ? ถึงได้สร้างให้ดูสวยงามหน่อย น่าเสียดาย มีนางอยู่ มีหรือจะให้ที่ทางแก่นางน่ะ

โหลชีไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นคนดีที่ไม่ถือสาเอามากๆ

"ไปเรียกคนมา เปลี่ยนป้ายชื่อซะ ให้เรียกว่าตำหนักมารุต" นางเปลี่ยนชื่อเอามั่วๆ เพราะพอดีมีลมพัดมาน้อยๆ

"เจ้าค่ะ"

"เจ้าไปเถิด ข้าจะเข้าไปดูหน่อย"

เอ้อร์หลิงรับคำสั่งจากไป โหลชีเปิดประตูตำหนักเดินเข้าไป ตำหนักจิ่วเซียวพึ่งเริ่มสร้างได้ยังไม่ถึงสองปี ตัวตำหนักถือว่าใหม่มาก แต่เพราะเฉินซ่าไม่ค่อยอยากให้คนเข้าอยู่ตำหนักสาม นอกจากตำหนักบรรทมเขาเองแล้ว สถานที่พวกนี้เลยไม่มีใครมาทำความสะอาด ตอนนี้เลยมีฝุ่นผงอยู่บ้าง

สวนเล็กๆดีๆก็มีหญ้าขึ้นรกร้าง ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง

แต่ระหว่างที่เดินผ่านตำหนักว่างเปล่าถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง โหลชีก็เจอเซอร์ไพร์ส ดีใจมากกว่าตกใจด้วย เพราะในสวนดอกไม้ด้านหลังนี้มีบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆอยู่!

เสวี่ยเอ้ยเสวี่ย ความโลภของเจ้านี่มากโขอยู่นะ

ที่แท้ นางเก็บของดีอย่างนี้ไว้ไม่บอกคนอื่นล่ะสิ ไม่งั้นด้วยร่างกายนั่นของเฉินซ่า ในวันที่สิบสี่และสิบหกซึ่งเป็นก่อนและหลังพิษกู่กำเริบได้มาแช่น้ำพุร้อนจะดีเอามากๆเลย ถ้านางเพิ่มผงยาเข้าไปหน่อย บ่อน้ำพุร้อนนี้ก็จะกลายเป็นบ่อยาแล้ว

โหลชีเดินเข้าไปใกล้ เดิมเสวี่ยให้ความสำคัญกับบ่อน้ำพุร้อนนี้มาก ดูการจัดวางบ่อน้ำพุร้อนนี้ก็รู้แล้ว ถึงจะเอามันไว้ในตำหนัก แต่ยังมีม่านหน้าต่างตาข่ายสูงๆไว้ กลางคืนยังให้แสงจันทร์ด้านนอกสาดเข้ามาได้ พอดีกับเหนือบ่อน้ำพุร้อนวางกระจกไร้สีไว้ ยังมองเห็นท้องฟ้าได้

รอบด้านบ่อน้ำพุร้อนนี้ยังเป็นหินกรวดก้อนเล็กวางประดับรายล้อม มีภูเขาปลอมธรรมชาติเตี้ยๆไว้ เพราะข้างบ่อน้ำพุร้อน ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง กลิ่นดอกไม้หอมกระจ่าง หญ้าเองก็ขึ้นเขียวชอุ่ม

ถ้าบอกว่านางจะได้เป็นหนึ่งในพระสนมจริง ในตำหนักของนางมีบ่อน้ำพุร้อนที่ดูมีบรรยากาศเยี่ยงนี้ เช่นนั้นย่อมมีบางสิ่งที่ดึงดูดฝ่าบาทมากกว่าสนมอื่นแน่

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้สถานที่นี้เป็นของนางแล้ว

โหลชีตัดสินใจจะย้ายมาที่นี่ทันที ถึงในสายตาคนภายนอกนางกับเฉินซ่าถือเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ในใจนางไม่ใช่ พวกเขาอยู่ในช่วงคบกัน จากรักถึงรักมาก ถึงแต่งงานมันเป็นคนละเรื่องกัน อีกอย่าง ไม่มีขอแต่งงานไม่มีงานแต่งงาน ให้นางถือว่า "แต่งแล้ว" นางไม่มีทางยอมเด็ดขาด

แยกกันอยู่คนละตำหนัก เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

เพราะความเห็นแก่ตัวของเสวี่ย ตำหนักนี้เลยอยู่ใกล้ตำหนักบรรทมของเฉินซ่าที่สุด

พอคิดแบบนี้แล้ว นางถึงพบว่า ตำหนักบรรทมของเฉินซ่ายังไม่มีชื่อตำหนักเลย

รอเอ้อร์หลิงพาคนมาเปลี่ยนป้ายชื่อ โหลชีเลยให้คนทำความสะอาดตำหนักที่พึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักมารุตนี่เสียเลย

ตำหนักมารุตที่พึ่งทำความสะอาดเสร็จเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ แต่ในนี้ยังว่างเปล่าอยู่ ขาดอุปกรณ์เครื่องใช้อีกมาก ตอนนี้ตำหนักจิ่วเซียวมีกรมวังแล้ว จะเติมเครื่องใช้มาที่นี่ต้องผ่านกรมวังก่อน โหลชีถึงพึ่งค้นพบว่า เฉินซ่ายังไม่ได้ยกสิทธิ์ด้านนี้ให้นางเลย

สำหรับเฉินซ่าแล้ว นี่คงเป็นหนึ่งในเรื่องเล็กที่ลืมล่ะมั้ง

ก่อนหน้านี้โหลชีเองก็ไม่เคยคิดถึงปัญหาเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้นางเริ่มปวดหัวละ จะเกลี้ยกล่อมเฉินซ่ายังไงให้ยอมตกลงให้นางย้ายมาตำหนักมารุตนี่ล่ะ?

ดังนั้นคืนนี้โหลชีเลยไม่ได้นอนก่อนอย่างปกติ นางนั่งบนตั่งอ่านหนังสือรอเฉินซ่ากลับมา

ประมาณเวลายามโฉ่วเฉินซ่าถึงกลับมา โหลชีมองท้องฟ้า น่าจะประมาณตีสองกว่า อุณหภูมิบนภูเขาจิ่วเซียวต่างกับตีนเขาอยู่บ้าง ถึงจะเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่อุณหภูมิในตอนเช้าและค่ำก็ยังต่างกันมาก ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นเวลานี้โหลชีคงหลับบนเตียงไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้นั่งบนตั่ง พอเขาเข้ามาก็พาลมเข้ามาด้วย หนาวเย็นพอดู

เพราะก่อนหน้านี้นางมักจะเหลือตะเกียงไว้ให้เขา ดังนั้นคืนนี้นางไม่ได้นอน วินาทีที่เฉินซ่าเปิดประตูเข้ามาก็สังเกตเห็นแล้ว พอเขาผลันร่างเข้ามาก็ปิดประตูทันที เห็นนางนั่งเอนพิงตั่ง งอเข่า บนเข่าวางหนังสือเล่มหนึ่ง ได้ยินเสียงเลยหันมามอง แสงตะเกียงสาดบนหน้านาง ทำให้ใบหน้างามล้ำนั่นดูอบอุ่นยิ่ง

ความอบอุ่นเยี่ยงนี้ส่งผ่านมาถึงหัวใจเขาตลอด

เสียงเฉินซ่าพลันอบอุ่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

"ทำไมยังไม่นอน?"

"รอท่านไง" โหลชีวางหนังสือลง กระโดดขึ้นมา หยิบของที่วางข้างๆ วิ่งไปข้างหน้าเขา "เฉินซ่า เหนื่อยแล้วใช่ไหม? ข้าพาท่านไปที่แห่งหนึ่ง สามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าให้ท่านได้ดีมากเลย"

เฉินซ่าพลันระแวงขึ้นมาทันที

ไม่ใช่เขาไม่เชื่อโหลชี แต่นางน้อยนักที่จะใส่ใจเยี่ยงนี้ อีกอย่าง หากมิจำเป็นนางจะไม่นอนดึกเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่เขาสังเกตเห็นได้ ตอนนี้ดึกเยี่ยงนี้นางยังไม่นอนบอกจะพาเขาออกไป มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือไร?

เขาไม่ขยับตัว เหล่เสื้อผ้าที่นางกอดไว้พลางว่า "ถ้าไม่ได้มองผิด นั่นเป็นเสื้อผ้าของข้า"

และยังเป็นเสื้อตัวในหนึ่งชุด รวมถึงเสื้อคลุมหนึ่งตัวด้วย

ดึกดื่นค่อนคืนเยี่ยงนี้ กอดเสื้อตัวในและเสื้อคลุมของเขาจะไปทำอะไร?

โหลชีพยักหน้า ดึงเขาจะออกไปข้างนอก "ของท่านแหละ ไปแล้วท่านก็รู้เอง"

ตำหนักสามในยามค่ำคืน มีเพียงตะเกียงดวงเดียวที่จุดบ้างเป็นครั้งคราว รอบด้านทั้งเงียบและมืดมาก ลมกลางคืนพัดมาแผ่วเบา มีกลิ่นดอกไม้ที่ไม่รู้ลอยมาจากไหน คลอเคลียกับแสงจันทร์รำไรนี่

เฉินซ่าเดินตามนางในกลางคืนอย่างนี้ พลันรู้สึกว่ากลางคืนที่เดิมทีเดียวดายหนาวเหน็บไร้ที่เปรียบ กลับไม่ได้หนาวเหน็บเยี่ยงนั้นแล้ว

หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงตำหนักมารุต เขาเห็นนางผลักประตูเข้าไป ในตำหนักมารุตกลับมีตะเกียง เฉินซ่าเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร

โหลชีพาเขามาถึงข้างบ่อน้ำพุร้อน ในนั้นมีวางตั่งเล็กอันหนึ่งแล้ว บนนั้นวางของอาทิเช่น สบู่ ผ้าขนหนู ผ้าขัดหลังเอาไว้ มีแสงจันทร์ที่ส่องทะลุกระจกเหนือหัวลงมา เพิ่มความลึกลับให้กับห้องอาบน้ำนี้ บวกกับไอน้ำประปรายของบ่อน้ำพุร้อน กลิ่นดอกไม้ลอยฟุ้ง ทำให้คนอดรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้

"บ่อน้ำพุร้อนนี้ท่านเองก็ไม่รู้กระมัง?"

โหลชีมองเขา สายตาเป็นประกาย เหมือนกับเด็กที่อวดของ

เฉินซ่าไม่ค่อยเข้าใจ โหลชีเมื่อหลายวันก่อนที่เย็นชาไร้หัวใจไปซ่อนไว้ที่ไหน ตอนนี้นางมีหรือจะเหลือสภาพของวันก่อนนั่น

"อืม" เขารับคำหนึ่งที

"ข้าเพิ่มผงยา สามารถลดอาการเหนื่อยล้าได้ ท่านลงไปแช่ซักครึ่งก้านธูปก็พอแล้ว"

เฉินซ่ามองนางวุ่นวาย พลันถามขึ้นว่า "ชีชี เจ้าจะขัดหลังให้ข้าหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ