เปิดป้ายคักเลือก!
แค่นี้ก็ทำให้โหลชีเดือดมากพอแล้ว มีเพียงราชวงศ์ตงชิงและเป่ยชางที่มีกฎนี้ไม่ใช่หรือ? ที่นี่มีสนมแค่คนเดียว ยังจะเปิดป้ายคัดเลือกอะไรอีก!
คนโง่คนไหนเป็นคนคิดออกมากัน?
นางเองก็ไม่อยากแยกกันนอนกับเขาตลอดเวลา พอแต่งงานกันแล้ว เขาขอแยกห้องนอนนางเองก็ไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ไม่ใช่หรือ? จะให้อยู่ร่วมกันนางย่อมไม่ยินยอม
ในตอนที่โหลชียังโกรธจัดอยู่นั้น ก็มีคนที่นางคาดไม่ถึงมาขอพบนาง
เมื่อเอ้อร์หลิงพาคนเข้ามา โหลชีนั่งเท้าคางอยู่ในศาลากำลังคิดว่าจะไปที่ค่ายทหารในช่วงบ่าย ในเมื่อนางออกปากว่าจะนำพากองทัพที่เข้าซีเจียงได้มาให้เฉินซ่า นางไม่ผิดคำพูดแน่นอน
"พระสนม พาแม่นางเหยาเฟิงมาแล้ว"
อิ้นเหยาเฟิงจ้องโหลชีเขม็งมาตลอดทาง พระสนมคนนี้แตกต่างจากที่นางคิดไว้มาก ความประทับใจของนางที่มีต่อสตรีสูงศักดิ์ในวังหรือลูกสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นพวกนางค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องกิริยามารยาทของตนเองพอสมควร จะนั่งก็ยังมีกฎมากมาย
แต่กับสนมที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆตรงนั้น นางนั่งอยู่บนระเบียงของศาลา เอาหลังพิงเสา ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง ข้างหนึ่งงอ เอาคางวางไว้ที่หัวเข่า เส้นผมยาวดั่งน้ำตกทิ้งตัวลงมาเบาๆ จากไหล่ที่กลมอิ่มถึงหน้าอก ใบหน้าด้านข้างสดใส นางดูท่าทางเกียจคร้านและสบายใจสุดๆ ราวกับว่าแค่นั่งอยู่ตรงนั้นก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้
อิ้นเหยาเฟิงคิดอยากเจอโหลชีมาตลอด น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสนั้น มาวันนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอเอ้อร์หลิงก็ให้นางแจ้งทันที ที่แรกใจตุ้มๆต่อมๆ ไม่รู้ว่าโหลชีจะยอมพบนางหรือไม่ ไม่คิดเลยว่าเอ้อร์หลิงจะออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วพานางไปยังตำหนักสามด้วยตนเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่อิ้นเหยาเฟิงได้เข้ามาในตำหนักสาม ว่ากันว่าฝ่าบาทเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบให้ใครเข้ามารบกวน
"หม่อมฉันอิ้นเหยาเฟิง คารวะพระสนม"
เมื่อมองโหลชีใกล้ๆ ก็รู้สึกว่านางสวยมาก ยิ่งตอนที่นางหันกลับมา ดวงตาของนางคู่นั้นราวกับว่าเต็มไปด้วยแสงจันทร์
โหลชีมองไปยังอิ้นเหยาเฟิง นางเป็นหญิงสาวที่อายุดูยังจะไม่ถึงยี่สิบปี หน้าตาค่อนข้างดี ริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อย มีความกล้าหาญ นางยังมีลักษณะพิเศษที่หาได้ยากคือทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้อีกด้วย
แค่มองปราดเดียว โหลชีก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้ใช้ได้ทีเดียว ดังนั้นนางจึงยิ้มออกมา แล้วพูดว่า "แม่นางเหยาเฟิงไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด"
อิ้นเหยาเฟิงไม่ได้มีท่าทีเกรงใจเท่าคนอื่นๆ เมื่อพูดคำขอบคุณแล้วนางก็นั่งลงบนม้าหินข้างๆ นางมองดูโหลชีอย่างแปลกใจเล็กน้อย นางที่นั่งอยู่บนระเบียงของศาลา หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างสงบแล้วเดินไปนั่งที่ม้าหินตรงข้ามของอิ้นเหยาเฟิง รอจนนั่งลงแล้วโหลชีถึงลุกขึ้นมานั่งตรงข้ามนาง
ตอนที่เอ้อร์หลิงเข้ามารายงานก่อนหน้านี้ เขาก็ได้บอกที่มาของอิ้นเหยาเฟิงคร่าวๆกับนางแล้ว
นางเป็นหัวหน้าค่ายสามของค่ายเหยาเฟิงซึ่งเป็นกองกำลังในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ที่ศิโรราบให้เฉินซ่า หัวหน้ากองโจรทั้งสามเดิมเป็นพี่น้องกัน อิ้นเหยาเฟิงเป็นน้องสาม ไม่รู้ว่าเอ้อร์หลิงไปได้ยินมาจากไหน นางได้ยินสิ่งที่อิ้นเหยาเฟิงพูดในตอนแรก ตอนนั้นนางได้ยินว่าหากอยากเป็นพระสนมแห่งพั่วอวี้จะต้องมีผลงานนางจึงพูดต่อหน้าเฉินซ่าว่านางต้องการทำความงามความชอบสองเรื่องแรกก่อน เรื่องที่หนึ่งคือนำคนกว่าหนึ่งพันหกร้อยคนมาจากค่ายเหยาเฟิงมายังเมืองพั่วอวี้ สองคือบอกที่อยู่ของเหมืองทองคำกับเขา
แต่ว่าเรื่องแรกก็ถูกทำลายด้วยคำพูดของเฉินซ่าเพียงคำเดียวว่า เจ้าไม่ยินดีพาคนเข้าร่วมกับเมืองพั่วอวี้ได้ ส่วนเขาก็กำจัดจอมโจรได้ และเรื่องที่สอง ต่อมาก็เป็นนางและเหอชิ่งเหนียนที่ถูกจำได้โดยตรง แล้วก็ไม่มีใครนึกถึงนางขึ้นมาเลย
หลังจากเข้ามายังพั่วอวี้ พี่ใหญ่และพี่รองของนางก็ล้วนได้รับความสำคัญ เข้าไปในค่ายทหารรับตำแหน่งแม่ทัพ เหลือแต่นางที่ถูกทิ้งไว้ที่ตำหนักหนึ่ง ไม่ได้ให้นางทำงานอะไร ปล่อยให้นางว่างๆไปทั้งวัน ทำให้นางทุกข์ใจมาก
"พระสนมแตกต่างจากที่หม่อมฉันคิดไว้" อิ้นเหยาเฟิงพูด
โหลชียิ้ม "งั้นหรือ?ถ้าอย่างนั้นในความคิดเจ้าข้าเป็นอย่างไร?"
อิ้นเหยาเฟิงพูด "หม่อมฉันคิดว่าพระสนมจะเย็นชาและน่ากลัว"
"เย็นชา?น่ากลัว?"
โหลชีคิดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะทั้งเย็นชาทั้งน่ากลัว
เอ้อร์หลิงกระซิบเบาๆ "ตอนที่ใต้เท้าองครักษ์อิงและใต้เท้าองครักษ์เยว่คุยกันเมื่อหลายวันก่อน สาวใช้ได้ยินแล้ว"
ดังนั้นพวกเขาจึงแพร่ข่าวลือ? หรือว่าวันนั้นจะทำให้พวกเขากลัวจริงๆ? โหลชีพูดไม่ออกเล็กน้อย
"แม่นางเหยาเฟิงมาหาข้ามีอะไรหรือไม่?"
อิ้นเหยาเฟิงมองไปที่นาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกัดฟันพูดออกมา "พระสนม เรื่องนี้ทำให้เหยาเฟิงทุกข์ใจมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่ถามออกมาเหยาเฟิงเกรงว่าตัวเองคงจะอึดอัดใจจนตาย ดังนั้น เกรงว่าหากพูดไปแล้วจะถูกรับโทษ หม่อมฉันก็คงต้องถาม!"
โหลชีประหลาดใจนิดหน่อย "พูดมาเถิด"
"ฝ่าบาทจะไม่รับพระสนมเพิ่มแล้วจริงๆหรือ?ทำผลงานสิบอย่างเต็มๆก็ไม่ได้หรือ?"
"อุ๊บ"
โหลชีมองไปที่นาง "เจ้าชอบฝ่าบาท?"
เอ้อร์หลิงได้ยินดังนั้นก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที มีความรู้สึกว่าคนนี้จะมาแย่งฝ่าบาทไปจากพระสนมงั้นหรือ? นางช่างใจกล้าซะจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าอิ้นเหยาเฟิงจะหน้าแดงและพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
"ใช่เพคะ ข้าชอบฝ่าบาท ถ้าหากพระสนมเห็นด้วย ข้าก็จะไปทำผลงานให้ฝ่าบาท เมื่อถึงเวลานั้นข้าขอเข้าไปรับใช้ฝ่าบาทกับพระสนมที่ตำหนักสามได้มั้ยเพคะ"
"เจ้า เจ้ายังกล้าพูดอีก!" เอ้อร์หลิงพูดอย่างโกรธเคือง
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มาแย่งฝ่าบาทไปจากพระสนมไม่ได้! เอ้อร์หลิงมองดูพวกเขาทั้งสองคน รู้สึกอยู่เสมอว่าไม่มีใครสามารถแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้เลย
"ข้ากำลังพูดกับพระสนม ไม่ได้พูดกับเจ้า" อิ้นเหยาเฟิงทำเบ้ปาก แล้วมองไปที่โหลชีอย่างคาดหวัง รอคำตอบจากนาง
เมื่อได้ยินดังนั้นโหลชีก็หัวเราะ "ไม่ได้"
อิ้นเหยาเฟิงรู้สึกผิดหวังขึ้นมากะทันหันอย่างกับอะไร "ทำไมล่ะ?" ข้าไม่แย่งชิงความโปรดปรานกับพระสนม..."
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ