ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 361

เปิดป้ายคักเลือก!

แค่นี้ก็ทำให้โหลชีเดือดมากพอแล้ว มีเพียงราชวงศ์ตงชิงและเป่ยชางที่มีกฎนี้ไม่ใช่หรือ? ที่นี่มีสนมแค่คนเดียว ยังจะเปิดป้ายคัดเลือกอะไรอีก!

คนโง่คนไหนเป็นคนคิดออกมากัน?

นางเองก็ไม่อยากแยกกันนอนกับเขาตลอดเวลา พอแต่งงานกันแล้ว เขาขอแยกห้องนอนนางเองก็ไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ไม่ใช่หรือ? จะให้อยู่ร่วมกันนางย่อมไม่ยินยอม

ในตอนที่โหลชียังโกรธจัดอยู่นั้น ก็มีคนที่นางคาดไม่ถึงมาขอพบนาง

เมื่อเอ้อร์หลิงพาคนเข้ามา โหลชีนั่งเท้าคางอยู่ในศาลากำลังคิดว่าจะไปที่ค่ายทหารในช่วงบ่าย ในเมื่อนางออกปากว่าจะนำพากองทัพที่เข้าซีเจียงได้มาให้เฉินซ่า นางไม่ผิดคำพูดแน่นอน

"พระสนม พาแม่นางเหยาเฟิงมาแล้ว"

อิ้นเหยาเฟิงจ้องโหลชีเขม็งมาตลอดทาง พระสนมคนนี้แตกต่างจากที่นางคิดไว้มาก ความประทับใจของนางที่มีต่อสตรีสูงศักดิ์ในวังหรือลูกสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นพวกนางค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องกิริยามารยาทของตนเองพอสมควร จะนั่งก็ยังมีกฎมากมาย

แต่กับสนมที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆตรงนั้น นางนั่งอยู่บนระเบียงของศาลา เอาหลังพิงเสา ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง ข้างหนึ่งงอ เอาคางวางไว้ที่หัวเข่า เส้นผมยาวดั่งน้ำตกทิ้งตัวลงมาเบาๆ จากไหล่ที่กลมอิ่มถึงหน้าอก ใบหน้าด้านข้างสดใส นางดูท่าทางเกียจคร้านและสบายใจสุดๆ ราวกับว่าแค่นั่งอยู่ตรงนั้นก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้

อิ้นเหยาเฟิงคิดอยากเจอโหลชีมาตลอด น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสนั้น มาวันนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอเอ้อร์หลิงก็ให้นางแจ้งทันที ที่แรกใจตุ้มๆต่อมๆ ไม่รู้ว่าโหลชีจะยอมพบนางหรือไม่ ไม่คิดเลยว่าเอ้อร์หลิงจะออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วพานางไปยังตำหนักสามด้วยตนเอง

นี่เป็นครั้งแรกที่อิ้นเหยาเฟิงได้เข้ามาในตำหนักสาม ว่ากันว่าฝ่าบาทเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบให้ใครเข้ามารบกวน

"หม่อมฉันอิ้นเหยาเฟิง คารวะพระสนม"

เมื่อมองโหลชีใกล้ๆ ก็รู้สึกว่านางสวยมาก ยิ่งตอนที่นางหันกลับมา ดวงตาของนางคู่นั้นราวกับว่าเต็มไปด้วยแสงจันทร์

โหลชีมองไปยังอิ้นเหยาเฟิง นางเป็นหญิงสาวที่อายุดูยังจะไม่ถึงยี่สิบปี หน้าตาค่อนข้างดี ริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อย มีความกล้าหาญ นางยังมีลักษณะพิเศษที่หาได้ยากคือทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้อีกด้วย

แค่มองปราดเดียว โหลชีก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้ใช้ได้ทีเดียว ดังนั้นนางจึงยิ้มออกมา แล้วพูดว่า "แม่นางเหยาเฟิงไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด"

อิ้นเหยาเฟิงไม่ได้มีท่าทีเกรงใจเท่าคนอื่นๆ เมื่อพูดคำขอบคุณแล้วนางก็นั่งลงบนม้าหินข้างๆ นางมองดูโหลชีอย่างแปลกใจเล็กน้อย นางที่นั่งอยู่บนระเบียงของศาลา หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างสงบแล้วเดินไปนั่งที่ม้าหินตรงข้ามของอิ้นเหยาเฟิง รอจนนั่งลงแล้วโหลชีถึงลุกขึ้นมานั่งตรงข้ามนาง

ตอนที่เอ้อร์หลิงเข้ามารายงานก่อนหน้านี้ เขาก็ได้บอกที่มาของอิ้นเหยาเฟิงคร่าวๆกับนางแล้ว

นางเป็นหัวหน้าค่ายสามของค่ายเหยาเฟิงซึ่งเป็นกองกำลังในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ที่ศิโรราบให้เฉินซ่า หัวหน้ากองโจรทั้งสามเดิมเป็นพี่น้องกัน อิ้นเหยาเฟิงเป็นน้องสาม ไม่รู้ว่าเอ้อร์หลิงไปได้ยินมาจากไหน นางได้ยินสิ่งที่อิ้นเหยาเฟิงพูดในตอนแรก ตอนนั้นนางได้ยินว่าหากอยากเป็นพระสนมแห่งพั่วอวี้จะต้องมีผลงานนางจึงพูดต่อหน้าเฉินซ่าว่านางต้องการทำความงามความชอบสองเรื่องแรกก่อน เรื่องที่หนึ่งคือนำคนกว่าหนึ่งพันหกร้อยคนมาจากค่ายเหยาเฟิงมายังเมืองพั่วอวี้ สองคือบอกที่อยู่ของเหมืองทองคำกับเขา

แต่ว่าเรื่องแรกก็ถูกทำลายด้วยคำพูดของเฉินซ่าเพียงคำเดียวว่า เจ้าไม่ยินดีพาคนเข้าร่วมกับเมืองพั่วอวี้ได้ ส่วนเขาก็กำจัดจอมโจรได้ และเรื่องที่สอง ต่อมาก็เป็นนางและเหอชิ่งเหนียนที่ถูกจำได้โดยตรง แล้วก็ไม่มีใครนึกถึงนางขึ้นมาเลย

หลังจากเข้ามายังพั่วอวี้ พี่ใหญ่และพี่รองของนางก็ล้วนได้รับความสำคัญ เข้าไปในค่ายทหารรับตำแหน่งแม่ทัพ เหลือแต่นางที่ถูกทิ้งไว้ที่ตำหนักหนึ่ง ไม่ได้ให้นางทำงานอะไร ปล่อยให้นางว่างๆไปทั้งวัน ทำให้นางทุกข์ใจมาก

"พระสนมแตกต่างจากที่หม่อมฉันคิดไว้" อิ้นเหยาเฟิงพูด

โหลชียิ้ม "งั้นหรือ?ถ้าอย่างนั้นในความคิดเจ้าข้าเป็นอย่างไร?"

อิ้นเหยาเฟิงพูด "หม่อมฉันคิดว่าพระสนมจะเย็นชาและน่ากลัว"

"เย็นชา?น่ากลัว?"

โหลชีคิดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะทั้งเย็นชาทั้งน่ากลัว

เอ้อร์หลิงกระซิบเบาๆ "ตอนที่ใต้เท้าองครักษ์อิงและใต้เท้าองครักษ์เยว่คุยกันเมื่อหลายวันก่อน สาวใช้ได้ยินแล้ว"

ดังนั้นพวกเขาจึงแพร่ข่าวลือ? หรือว่าวันนั้นจะทำให้พวกเขากลัวจริงๆ? โหลชีพูดไม่ออกเล็กน้อย

"แม่นางเหยาเฟิงมาหาข้ามีอะไรหรือไม่?"

อิ้นเหยาเฟิงมองไปที่นาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกัดฟันพูดออกมา "พระสนม เรื่องนี้ทำให้เหยาเฟิงทุกข์ใจมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่ถามออกมาเหยาเฟิงเกรงว่าตัวเองคงจะอึดอัดใจจนตาย ดังนั้น เกรงว่าหากพูดไปแล้วจะถูกรับโทษ หม่อมฉันก็คงต้องถาม!"

โหลชีประหลาดใจนิดหน่อย "พูดมาเถิด"

"ฝ่าบาทจะไม่รับพระสนมเพิ่มแล้วจริงๆหรือ?ทำผลงานสิบอย่างเต็มๆก็ไม่ได้หรือ?"

"อุ๊บ"

โหลชีมองไปที่นาง "เจ้าชอบฝ่าบาท?"

เอ้อร์หลิงได้ยินดังนั้นก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที มีความรู้สึกว่าคนนี้จะมาแย่งฝ่าบาทไปจากพระสนมงั้นหรือ? นางช่างใจกล้าซะจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าอิ้นเหยาเฟิงจะหน้าแดงและพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา

"ใช่เพคะ ข้าชอบฝ่าบาท ถ้าหากพระสนมเห็นด้วย ข้าก็จะไปทำผลงานให้ฝ่าบาท เมื่อถึงเวลานั้นข้าขอเข้าไปรับใช้ฝ่าบาทกับพระสนมที่ตำหนักสามได้มั้ยเพคะ"

"เจ้า เจ้ายังกล้าพูดอีก!" เอ้อร์หลิงพูดอย่างโกรธเคือง

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มาแย่งฝ่าบาทไปจากพระสนมไม่ได้! เอ้อร์หลิงมองดูพวกเขาทั้งสองคน รู้สึกอยู่เสมอว่าไม่มีใครสามารถแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้เลย

"ข้ากำลังพูดกับพระสนม ไม่ได้พูดกับเจ้า" อิ้นเหยาเฟิงทำเบ้ปาก แล้วมองไปที่โหลชีอย่างคาดหวัง รอคำตอบจากนาง

เมื่อได้ยินดังนั้นโหลชีก็หัวเราะ "ไม่ได้"

อิ้นเหยาเฟิงรู้สึกผิดหวังขึ้นมากะทันหันอย่างกับอะไร "ทำไมล่ะ?" ข้าไม่แย่งชิงความโปรดปรานกับพระสนม..."

โหลชีขัดจังหวะนาง "ถึงเจ้าอยากจะแย่งก็แย่งไม่ได้หรอก แต่ว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ แต่ข้าเป็นคนรักความสะอาด ไม่มีทางยอมใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นแน่นอน"

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ อิ้นเหยาเฟิงก็ตกตะลึง "นี่ นี่จะเรียกว่าใช้ร่วมกันได้อย่างไร..."

"จะไม่เรียกว่าใช้ร่วมกันได้อย่างไร เขาใช้แขนของเขาที่โอบกอดผู้หญิงคนอื่นมากอดข้า ใช้ปากที่จูบคนอื่นมาจูบข้า เขาใช้ร่างกายที่ใกล้ชิดผู้หญิงคนอื่นมาใกล้ชิดข้า ข้าไม่มีทางยอม" โหลชีไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีกับอิ้นเหยาเฟิง อีกทั้งยังรู้สึกว่าอิ้นเหยาเฟิงคนนี้ค่อนข้างดี ตรงไปตรงมามาก ตรงไปตรงมาจนทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

แต่สตรีแบบนี้ อย่างน้อยจิตใจก็ไม่มืดมน

ไม่เพียงแต่อิ้นเหยาเฟิง คำพูดของโหลชีก็ทำให้เอ้อร์หลิงที่ได้ยินก็หน้าแดงเช่นกัน

อิ้นเหยาเฟิงรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอีกทั้งยังเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียมากๆอีกต่างหาก แต่ว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่โหลชีพูดนางก็รู้สึกว่าตัวเองยังเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่มาก คำพูดเหล่านี้ สตรีคนหนึ่งกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!

โหลชีไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิด สมัยใหม่บางคำพูดยังโจ่งแจ้งกว่านี้อีก

"ดังนั้น เจ้าก็ไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลา อย่างที่ข้าพูด ฝ่าบาทเป็นของข้าคนเดียว ใครเข้ามาตาย!" โหลชีเหลือบมองนางแล้วพูดว่า "เว้นแต่ว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว"

อิ้นเหยาเฟิงตกใจ แล้วตะโกนออกมาทันที "ข้าไม่อยากตาย!" นางมองไปยังโหลชี ก็เห็นว่านางไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ก็หดหู่เอ่ย "งั้นก็เอาเถิด ข้าทำได้แค่ยอมแพ้เรื่องฝ่าบาท "

โหลชีได้ยินก็ยิ้มออกมา

ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของเอ้อร์หลิง "พี่ชายของเจ้าทั้งสองคนอยู่ในค่ายทหารใช่หรือไม่?"

"ทูลพระสนม ใช่เพคะ"

เมื่อรู้ว่าระหว่างฝ่าบาทไม่มีทางเป็นไปได้ อิ้นเหยาเฟิงก็รู้สึกผิดหวังมาก ผู้ชายคนนั้นทำให้นางหลงใหล แต่ว่านางก็รู้ว่าพระสนมนั้นไม่สมควรจะไปยุ่งด้วย อีกอย่างพระสนมก็พูดไว้อย่างชัดเจนแล้ว นางรู้สึกว่าหากนางยังจะสู้ต่อไปนั้นไม่ค่อยถูกต้อง

อิ้นเหยาเฟิงก็เป็นสตรีที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง

"สักพักข้าจะไปที่กองทหาร เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่?"

โหลชีรู้ว่าอิ้นเหยาเฟิงมีวิทยายุทธ์ แต่ว่าถูกทิ้งให้อยู่ที่ตำหนักหนึ่งคนเดียว ก็คงจะเบื่อ

เอ้อร์หลิงไม่เข้าใจอยู่บ้าง อิ้นเหยาเฟิงคนนี้มีความคิดที่จะแย่งชิงฝ่าบาท เหตุใดพระสนมยังเป็นมิตรกับนางได้อีก?

"ไปได้หรือ?" อิ้นเหยาเฟิงวางเรื่องเฉินซ่าไว้ข้างหลัง ดีใจจนเกือบจะกระโดดโลดเต้น

โหลชีพยักหน้า

"ข้าอยากไป!ขอบพระทัยพระสนม!"

โหลชีแอบส่ายหัวเบาๆ นางมองไม่ผิดจริงๆ อิ้นเหยาเฟิงบอกว่านางชอบฝ่าบาท แต่เมื่อได้ยินคำปฏิเสธนางกลับไม่ได้โกรธเคือง ตอนนี้ยังมาขอบคุณนางอีก ช่างเป็นสตรีที่จิตใจดีจริงๆ

โหลชีอยากไปที่กองทหารเพื่อเลือกคนสักสองสามคนมาฝึกฝนด้วยตัวเอง เฉินซ่าได้มอบหมายงานให้อิงแล้ว งานในกองทัพก็เป็นเขาที่จัดการทั้งหมด

"แม่นาง เจ้าอยากเลือกไปสักกี่คน?" โหลวซิ่นถาม

"ไปแล้วค่อยว่ากัน"

โหลชีพาเฉิงสิบ โหลวซิ่น ถูเปิน แล้วยังมีอิ้นเหยาเฟิง เมื่อออกจากตำหนักสองก็เห็นอิงรออยู่ด้านนอก เมื่ออิงเห็นโหลชีก็รู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย

"ข้าน้อยคารวะพระสนม"

เมื่อได้ยินเขาทำความเคารพอย่างจริงจังเคร่งขรึม โหลชีก็พยักหน้า

ในใจของอิงรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย เมื่อก่อนนางยังเรียกเขาว่าใต้เท้าองครักษ์อิงด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่เลย แล้วยังทะเลาะกับเขาอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้นางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยตำแหน่งของพระสนมแล้ว

"องครักษ์อิง ไปเถิด"

โหลชีและอิ้นเหยาเฟิงขึ้นรถม้า ส่วนคนอื่นๆก็ขี่ม้า ค่ายทหารย่อมอยู่ที่เชิงเขาจิ่วเซียว ซึ่งระยะทางไปเขาจิ่วเซียวค่อนข้างไกล ขี่ม้าไปก็ใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมง

ตอนแรกคิดว่าเมื่อมาถึงค่ายทหารก็จะเห็นเหล่าทหารที่กล้าหาญกำลังฝึกฝนอยู่ คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปถึงค่ายทหาร กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

ในค่ายทหารเงียบสงัดแบบนี้ ยิ่งไม่ใช่เวลาพักอีกด้วย ทุกคนก็ล้วนเป็นชายหนุ่มเลือดร้อน นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก

อิงขมวดคิ้ว เขาเร่งม้าทันที รีบพุ่งไปด้านหน้า "เปิดค่าย!"

ประตูค่ายสูงๆ แต่หอด้านในกลับว่างเปล่า และแน่นอนว่าไม่มีใครออกมาเปิดประตูค่ายให้พวกเขา

อิงมีท่าทีตกใจมาก โหลชีเปิดม่านรถม้าแล้วพูดกับเขาว่า "เข้าไปดู"

"ขอรับ" อิงรีบขึ้นหลังม้าทันที แล้วควบเข้าไปในค่าย เขารีบเปิดประตูค่ายรอให้รถม้าเข้ามา

"คนไปไหนหมด?" โหลชีแสดงท่าทีสงสัย ไม่มีทางที่ทหารพวกนี้จะไม่ได้ยินว่านางกำลังมา ข่มขวัญนางหรือ?แต่ก็ไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ พวกเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน? อีกอย่างนางแค่มาเพื่อสุ่มเลือกคนซักสิบคน ไม่ใช่มาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นแม่ทัพหญิงเสียหน่อย

ทันใดนั้นเอง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาจากค่ายทหารที่อยู่ไม่ไกล การได้ยินของโหลชีนั้นดีมาก เขาจึงได้ยินทั้งหมด

"ไป ไปดูว่าที่แท้จริงเกิดอะไรขึ้นกันแน่" โหลชีออกคำสั่ง รถม้าก็เคลื่อนตัวไปที่นั่นทันที และทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้ จู่ๆก็มีคนปลิวออกมาจากประตูค่าย

ชายคนนั้นตะโกน "กูไม่ยอม กูไม่ยอม! มีปัญญาก็ให้ข้าประลองอีกครั้งสิ!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ