ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 362

อิงขมวดคิ้ว เขาเอื้อมมือออกไปจับชายคนนั้น แล้วถามด้วยเสียงหนักแน่นว่า "พวกเจ้าทำอะไรกัน?"

"ใครดึงเสื้อกู..."ทหารคนนั้นหันกลับมามองอย่างโกรธเคือง แต่เมื่อเห็นอิง เขาก็ตกใจ "ใต้เท้าองครักษ์อิง"

ตอนนี้อิงยังคงเป็นหนึ่งในสี่องครักษ์ แต่โหลชีรู้ว่าพวกเขาควรจะมีตำแหน่งอื่นในอนาคต ไม่เช่นนั้น มีองครักษ์ที่ไหนดำรงตำแหน่งแม่ทัพกัน แต่ว่าตอนนี้สี่องครักษ์เหลือเพียงสามคน นางก็ไม่เห็นอะไรที่เฉินซ่าไม่คุ้นเคย

"ข้างในเกิดอะไรขึ้น?พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่?"

ในตอนนั้นเอง โหลชีและคนอื่นๆพึ่งจะสังเกตเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องพักทหาร แต่เหมือนเป็นโรงอาหารในค่ายทหารมากกว่า ขนาดใหญ่มาก มีประตูทั้งสี่ด้าน ด้านในมีโต๊ะและม้านั่งอยู่มากมาย แต่เมื่อมองตรงเข้าไปประตูของตรงข้ามเปิดกว้าง มีลานประลองจัดอยู่นอกประตูฝั่งตรงข้ามอยู่แห่งหนึ่ง ฝูงชนแออัดอยู่ด้านล่างสังเวียนทหารทั้งหมดควรรวมตัวกันอยู่ที่นั่น

"เรียนใต้เท้าองครักษ์อิง เป็นซู่ฉงโจวเด็กคนนั้น คราวที่แล้วท่านให้เขานำทีมสำรวจภูเขาไม่ใช่หรือ? ผลคือเขาก็ไปย้ายกลองหนึ่งมา แต่กลองนี้พวกเราตีอย่างไรก็ไม่ดัง พวกเราจึงพนันกัน เพื่อดูว่าใครจะเอาชนะกลองนั้นได้ "

"โอ้?งั้นเดิมพันของพวกเจ้าคืออะไร?"

เมื่อทหารคนนั้นได้ยินเสียงสาวงามก็ตกใจ เมื่อหันไปก็เห็นโหลชีและอิ้นเหยาเฟิงโดดเบาๆลงมาจากรถม้า ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมา

ในค่ายทหารทำไมถึงมีหญิง หญิงสาว? แถมยังเป็นสาวที่งามเพียงนี้!

"ใต้เท้าองครักษ์อิงมีฮูหยินแล้วหรือขอรับ?" ทหารถามออกมาอย่างตะลึง อิงจึงเอามือข้างหนึ่งตบหัวเขา

"บ้านเจ้าสิ! นี่คือพระสนม!"

ทหารคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาคุกเข่าลง

"ขออภัยพระสนม!"

ทุกคนล้วนได้ยินว่าฝ่าบาทหลงไหลพระสนมมาก หากเขาทำให้พระสนมขุ่นเคืองแล้วได้ยินไปถึงพระกรรณของฝ่าบาท เขาคงถูกถลกหนังเป็นแน่ อีกอย่าง ไม่ต้องพูดถึงฝ่าบาท แค่พระสนมก็น่าเกรงขามมากแล้ว ทุกวันนี้ผลงานเหล่านั้นที่นางทำขึ้นในเมืองพั่วอวี้ไม่มีใครไม่รู้ อีกอย่าง องครักษ์เสวี่ยก็ถูกนางไล่ออกจากตำหนักจิ่วเซียว ใครจะกล้ายั่วยุนาง?

"ลุกขึ้นเถิด ตอบคำถามของข้ามา"

อยู่ในค่ายทหารแต่ทหารทั้งหมดกล้าทำการพนัน กล้ามากทีเดียว แต่ว่าเมื่อสักครู่นางเหมือนจะได้ยินชื่อที่คุ้นหูอยู่ชื่อหนึ่งไม่ใช่หรือ?

ทหารคนนั้นลุกขึ้น ก้มหัวลงแล้วตอบว่า "คนไหนที่สามารถตีกลองได้ก็ไม่ต้องซักผ้าเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วก็จะได้ซาลาเปาเพิ่มหนึ่งลูกทุกมื้อ"

อิ้นเหยาเฟิงหัวเราะออกมา

โหลชีเองก็อดหัวเราะไม่ได้ คิดว่าพวกเขาจะพนันอะไรซะอีก

"เมื่อครู่เจ้าพูดว่าใครเป็นคนเจอกลองนั่น?"

"ทูลพระสนม เป็นทหารนายหนึ่งที่ชื่อซู่ฉงโจว"

เมื่อโหลชีได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเป็นชื่อที่คุ้นมากจริงๆ แต่ว่าถ้าเป็นคนนั้นจริงๆเขาจะมาเป็นทหารของพั่วอวี้ได้อย่างไร? นั่นเป็นขุนนางของตงชิงนะ!

เมื่อนางมาถึงเมืองลั่วหยาง นางจำรูปลักษณ์ของเมืองลั่วหยางเป็นอย่างดี ได้ยินว่าล้วนเป็นผลงานของนายอำเภอของเมืองลั่วหยางที่ชื่อซู่ฉงโจว ตอนนั้นนางยังมีความคิดที่จะไปพบซู่ฉงโจวสักครั้ง แต่ภายหลังนางมีความขัดแย้งกับเจ้าบ้านหาน ดังนั้นจึงไม่เคยพบเขา

เพียงแต่ตอนนั้นนายน้อยของโรงพรรณยามอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้นางแผ่นหนึ่ง แต่นั่นเป็นป้ายอาญาสิทธิ์ของซู่ฉงโจว ทำให้นางออกจากประตูเมืองได้อย่างราบรื่น ถ้าหากเป็นเขาจริงๆ เขามีจุดประสงค์อะไรกัน?

โหลชีมองไปยังอิง "ใครคือซู่ฉงโจว?"

"ซู่ฉงโจวก็มาเข้าร่วมกองทัพด้วยตัวเอง หลังจากที่นายท่านประกาศหาคนมีความสามารถจากทั่วทั้งใต้หล้า"

"คนพวกนี้ พวกเจ้าไม่ตรวจสอบตัวตนของพวกเขาหน่อยหรือ"

อิงแสดงท่าทีลำบากใจ "ทหารส่วนใหญ่ล้วนมีอัตลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ส่วนมากเป็นคนที่นายท่านรวบรวมมาตลอดทาง และบางคนก็เป็นชาวเมืองพั่วอวี้ แต่ก็มีส่วนน้อยมาจากตงชิงและเป่ยชาง เนื่องจากเราขาดกำลังคนและอยู่ห่างไกล การจะตรวจสอบตัวตนของพวกเขาทีละคนคนนั้นค่อนข้างยาก แต่เราแน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาจากซีเจียงหรือหนานเจียงแน่นอน"

เมื่อโหลชีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว

นี่ก้เป็นอีกหนึ่งปัญหาของพั่วอวี้ พวกเขาต้องรวบรวมกำลังสรรพาวุธต่างๆ ไม่เหมือนกับแคว้นตงชิง หรือแคว้นอื่นๆ บรรลุเป็นอย่างๆ ซึ่งสามารถระบุที่มาของทหารแต่ละคนได้ แต่ว่าพั่วอวี้ทำไม่ได้ พั่วอวี้มีคนไม่มาก พวกเขาจึงทำได้เพียงเอาคนจากด้านนอกมาเพิ่ม นี่จึงเป็นเรื่องยุ่งยากในการจัดการ ยิ่งถ้าหากมีสายลับแอบเข้ามาก็เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบให้ละเอียด

เมื่อเห็นท่าทีของนาง อิงก็เดินเข้าไปใกล้นาง แล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า "นายท่านมีรับสั่ง ข้าน้อยจะให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากขึ้น แม่ทัพของทุกกองล้วนเชื่อถือได้ โดยปกติพวกเขาก็ใส่ใจทหารของตนเอง อีกอย่าง นายท่านได้วางแผนไว้ทุกอย่างแล้ว เมื่อถึงเวลาจะอธิบายแผนการอย่างละเอียด"

ที่แท้เฉินซ่าก็ให้ความสนใจของปัญหานี้แล้ว โหลชีเองก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

"ไป เข้าไปดู"

กลองที่ตีไม่ดังงั้นหรือ นางสนใจจริงๆ

คนในค่ายก็มีค่อนข้างเยอะ เพราะว่าในนี้มีเก้าอี้ให้นั่ง แล้วทหารที่ตามอยู่ข้างๆก็อธิบาย "คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างก็พยายามจะตีกลอง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า"

ในค่ายนี้อย่างน้อยๆก็มีหลายร้อยคน โหลชีและคนอื่นๆก็ตกตะลึง "คนมากมายขนาดนี้ไม่มีใครตีได้สักครั้งจริงๆหรือ?"

โหลชีพูด "นั่นมันกลองประหลาดอะไร?"

"ไม่อย่างงั้นพวกเราก็ไปลองกันเถิด!" อิ้นเหยาเฟิงดูกระตือรือร้นที่จะลอง

เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาก็ตกตะลึง อิงกำชับพวกเขาไม่ให้ส่งเสียง และนำโหลชีไปที่ประตูบานอื่น

เมื่อออกมาจากประตู พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศค่ายทหารที่บรรดาชายฉกรรจ์มารวมตัวกัน บางทีก่อนที่พวกเขาจะมา คนเหล่านี้ก็คงเสร็จสิ้นการฝึกทหารไปแล้ว หลายคนมีเหงื่อออกมาก และที่นี่ก็มีคนอยู่อย่างน้อยหลายพันคน กลิ่นเหงื่อจึงสามารถได้กลิ่นไกลออกไปหลายสิบก้าว

ที่นี่คือทหารองครักษ์กว่าสองหมื่นนายในมือของอิง เขาอธิบายว่ามีบางส่วนถูกส่งไปฝึกฝนที่ภูเขา ที่นี่จึงเหลือทหารประมาณแปดพันนาย ตอนนี้เป็นสนามฝึกทหารที่กว้างขวางไร้ใดเทียมอัดแน่นไปด้วยผู้คน ประมาณแปดเก้าพันนายเบียดเสียดเข้ามา ถึงจะต่อแถวอยู่ไกลก็ไม่เป็นไร บนลานประลองนั้นไม่ได้อาศัยการมอง แต่อาศัยการฟัง ไม่ได้ยินเสียงกลองดังมาตลอด นั่นก็คือไม่มีผู้ใดกระทำสำเร็จ

ทหารเหล่านั้นก็ล้วนตื่นเต้น ลูบไม้ลูบมือ ตั้งท่าที่จะลองทำดู

"บนเวทีสังเวียนยังมีคนหรือไม่?ข้าแซงคิวได้หรือไม่?"

"หากแซงคิวได้ ข้าก็อยากขึ้นไปลองดูก่อนแล้วค่อยไปซ้อมยิงธนูทีหลัง! "

"ข้ายังต้องไปทำอาหารอีกนะ"

โอ๊ย ทหารโรงครัวก็มากันด้วย

โหลชีมองขึ้นไปยังเวทีสังเวียน ในแวบแรกนางเห็นชายคนหนึ่งยิ้มแย้ม เขาสวมชุดคล่องตัวสีฟ้าและมัดผ้าคาดผมสีฟ้า

ในบรรดาทหารที่สวมชุดเครื่องแบบ สีฟ้าสะอาดที่เขาใส่ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ และผิวของเขาก็ขาวกว่าคนอื่นๆ คิ้วยาวสมส่วน สันจมูกราวกับภูเขา ริมฝีปากบางและอมชมพูราวกับดอกท้อในเดือนสาม เขาควรจะเป็นสตรี แต่ว่าเมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันกลับไม่ดูเหมือนสตรีเลยแม้แต่น้อย

ถ้าหากพูดถึงผู้ชายที่สวยราวดอกไม้ เขามีท่าทางสบายๆและใจเย็นอย่างเห็นได้ชัด บุคลิกสุภาพบุรุษดั่งหยก สรุปคือ บุรุษเช่นนี้อยู่ท่ามกลางกองทหารช่างสะดุดตาเหลือเกิน

ไม่เพียงแต่นาง แม้แต่อิ้นเหยาเฟิง เฉิงสิบ โหลวซิ่นเองก็มองเห็นเขาในทันที หลังจากนั้นก็ละสายตาไม่ได้

"นั่นคือซู่ฉงโจว" อิงเห็นโหลชีมองไปยังชายคนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าซู่ฉงโจวขวางหูขวางตาอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังอธิบายต่อ "อาจจะเพราะว่าเขาพึ่งกลับมาจากการทำภารกิจ จึงยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดทหาร"

ดังนั้นคนจึงสะดุดตา เสื้อผ้าก็สะดุดตา

ชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน โหลชีมีลางสังหรณ์ว่าซู่ฉงโจวคนนี้ บางทีเขาอาจจะเป็นซู่ฉงโจวนายอำเภอของลั่วหยางจริงๆ

"หน้าตาดีมาก" อิ้นเหยาเฟิงรำพึงรำพัน

โหลชีอดไม่ได้ที่จะมุ่ยปาก หลังจากนั้นนางก็มองตรงไปยังกลองที่อยู่กลางเวทีสังเวียน

แค่มองแวบเดียว หัวใจของนางก็เต้นรัว

กลองนั้นมีขนาดกลางๆไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำ หากมีแค่ตัวกลองที่เป็นสีดำก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่แม้แต่หนังกลองก็เป็นสีดำ! โดยทั่วไปแล้วหนังกลองจะใช้หนังวัว หรือว่ากลองนี้จะทำจากหนังวัวสีดำ?

แต่นางก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น

ตัวกลองก็สลักรูปภาพไว้มากมาย นางยืนอยู่ตรงนี้ก็มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร

ทหารคนหนึ่งถือไม้ตีกลองไว้ในมือ ยกแขนขึ้น แล้วใช้ไม้ตีกลองกระแทกลงหนังกลองอย่างแรง

แต่ว่าพวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย!

อิ้นเหยาเฟิงงงงวย "ไม่ใช่ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวหรอกมั้ง?"

เฉิงสิบส่ายหัว "ไม่มีทาง ดูมือของเขาสิ เขาใช้แรงไปมากขนาดนั้น" กล้ามเนื้อปูดโปน เส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน เห็นได้ชัดว่ามีการใช้กำลังเป็นอย่างมาก

เขาไม่เชื่อ และต้องการลองอีกครั้ง แต่ก็มีคนดึงมือของเขาไว้ "พอแล้วพอแล้ว ยังมีคนอยากลองอีกมาก"

ในเวลานั้นเอง สายตาของซู่ฉงโจวก็มองผ่านทหารหลายแถวแล้วมองไปทางโหลชีที่อยู่นอกฝูงชน ไม่ผิดเขามองเห็นโหลชีในทันที และไม่ใช่คนอื่นที่ยืนอยู่ข้างๆนาง

จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้น

ยิ้มนี้ราวกับฟ้าหลังฝน เมฆเผยจันทรา

และทันใดนั้น โหลชีก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างคุ้นเคยนิดๆ ราวกับว่าเป็นรอยยิ้มที่จู่ๆก็เหมือนเฉินซ่า นางตกใจไปครู่หนึ่ง

"ซู่ฉงโจวคนนี้!ยิ้มเยาะเย้ยกันชัดๆ!"

ในใจของอิงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาก้าวขึ้นไปบนเวทีสังเวียนด้วยปลายเท้า

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาทำให้ทุกคนตกใจ เมื่อสักครู่ทุกคนให้ความสนใจไปยังกลอง จึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา

"ใต้เท้าองครักษ์อิง!"

"พวกเจ้ามันใช้งานไม่ได้" องครักษ์อิงสูดหายใจ

ซู่ฉงโจวพูดอย่างใจเย็น "ใต้เท้าองครักษ์อิงมาได้จังหวะพอดี พวกเราเจอกลองนี้ในเขาโดยบังเอิญ พอเอากลับมาก็ไม่มีใครตีให้มันส่งเสียงได้สักคน ตอนนี้ฉงโจวก็นึกขึ้นมาได้ เกี่ยวกับประวัติกลองนี้"

ทันทีที่พูดออกมา ทหารทั้งหมดก็ตกตะลึง แล้วก็มีคนอดไม่ได้ที่จะถามว่า "กลองนี้มีที่มาด้วยหรือ?"

มีคนพูดว่า "สิ่งที่เจ้าพูดนี่มันตลกจริงๆ ไม่มีที่มา แล้วกลองมันเกิดขึ้นมาเองในภูเขารึไง?"

อิงซ่อนความเกลียดชังไว้ในใจไม่มิด เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ลืมไปเลยว่าตนเองขึ้นมาบนเวทีสังเวียนเพื่ออะไร พูดอย่างแปลกใจว่า "ไม่มีใครสามารถตีกลองนี้ให้ดังได้จริงๆหรือ?"

ซู่ฉงโจวไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับคุกเข่าลงข้างโหลชีแล้วพูดเสียงดังว่า "คารวะพระสนม"

ทหารทุกคนตกตะลึง พวกเขาหันไปทันที หายใจเข้าลึกๆแล้วคุกเข่าลงพูดพร้อมกันว่า "คารวะพระสนม"

โหลชีเมื่อได้รับการต้อนรับจากคนหลายพันคนแบบนี้ นางตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งจริงๆ

"ตามสบาย"

"ขอบพระทัยพระสนม"

โหลชีเองก็ไม่ลังเล เหาะขึ้นไปบนสังเวียนแล้วถามซู่ฉงโจวก่อนว่า "กลองนี้มีชื่อหรือไม่?"

ซู่ฉงโจวตอบ "มีพ่ะย่ะค่ะ กลองนี้มีชื่อว่ากลองขวัญ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ