"กลองขวัญ?"โหลชีไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ถามเสร็จนางก็เดินเข้าไปใกล้ๆกลอง เมื่อครู่อยู่ไกลๆมองไม่เห็น ตอนนี้เมื่อมองใกล้ๆก็ตกตะลึง เพราะกลองไม่ใช่สีดำหมดจด
ถ้าจะบอกว่าเป็นสีดำ ไม่สู้บอกว่าเป็นสีเลือดที่แห้งกรังจนเป็นสีแดงเกือบดำดีกว่า
นางกำลังจะเข้าไปใกล้มากขึ้น แต่จู่ๆก็มีมือที่มีกระดูกแหลมคมคว้าแขนของนางไว้ เมื่อนางมองก็ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางหันไปมองก็พบกับดวงตาที่มองมาอย่างชัดเจนของซู่ฉงโจว
"ขออภัยพระสนม" ซู่ฉงโจวมองไปที่นาง เขาพูดเบาๆว่า "กลองขวัญนี้ทำมาจากเลือดของวิญญาณของนักรบนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นบุรุษที่ป่าเถื่อน สตรีไม่สามารถเข้าใกล้มากๆได้ไม่เช่นนั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บได้"
โหลชีเลิกคิ้วและไม่ได้พูดอะไร
อิงถามเสียงเข้ม "เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?"
"ที่ตระกูลฉงโจวมีบทตำนานวิปลาสอยู่เล่มหนึ่ง ด้านบนมีบันทึก เพราะเคยเห็นมาเป็นเวลานานมากแล้ว จำเป็นต้องจำได้แม่น"
บทตำนานวิปลาส?
โหลชีตกตะลึงครู่หนึ่ง นักพรตเลวก็เขียนบทตำนานประหลาด บ้านของพวกเขามีบทตำนานวิปลาส? เช่นนั้นมันมาจากสำนักพิมพ์เดียวกันและเป็นชุดเดียวกันหรือ
ตอนนี้นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าซู่ฉงโจวก็คือนายอำเภอเมืองลั่วหยาง เพราะว่าซู่ฉงโจวมีกลิ่นอายขุนนางจางๆ ความรู้สึกแบบนี้ บรรยายออกมาไม่ได้ เข้มมากกว่ากลิ่นอายของบัณฑิตนิดหนึ่ง
โหลชีหันไปหาเฉิงสิบและโหลวซิ่น "พวกเจ้าไปลอง"
"ขอรับ"
เฉิงสิบและโหลวซิ่นต่างก็กระตือรือร้นที่จะลอง เมื่อได้ยินดังนี้พวกเขาก็รีบก้าวไปข้างหน้า และทหารคนนั้นก็รีบส่งไม้ตีกลองให้โหลวซิ่นทันที
ทหารทุกคนกลั้นหายใจ ทำให้เงียบที่สุด เพราะก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นไม่สามารถทำให้กลองส่งเสียงออกมาได้ ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าแม้แต่เสียงอู้อี้เล็กน้อยก็ยังเป็นเสียง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา กลัวพลาดไป
โหลวซิ่นเข้ามา แล้วตีลงไปที่ใจกลางของกลอง
ไม่มี ไม่มี! เสียงสักนิดก็ไม่มี
เฉิงสิบยืนอยู่ใกล้กลองมากที่สุดแต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหนังของกลองจะกลืนเสียงเข้าไปได้ เมื่อตีกลองอย่าแรงเสียงที่ออกมาก็จะถูกกลองกลืนเข้าไป จึงไม่มีเสียงอะไรออกมาอีก
โหลวซิ่นตะลึง เมื่อสักครู่มองดูก็รู้ว่าพวกเขาใช้แรงไปมาก แต่ว่าเมื่อถึงคราวตัวเองลงมือถึงได้รู้ว่าใช้แรงไปมากแค่ไหน เมื่อสักครู่เขาไม่ได้ใช้กำลังภายในเลย!
เขายื่นไม้ตีกลองให้เฉิงสิบ "ลองใช้กำลังภายในดู"
เฉิงสิบพยักหน้า รวบรวมกำลังภายใน แล้วตีลงไปที่กลอง เขาใช้กำลังภายในไปถึงห้าส่วน รู้สึกว่านี่คือขีดจำกัดที่กลองจะสามารถต้านทานได้ หากใช้แรงมากเกินไปเขาก็เกรงว่ากลองอาจจะแตกได้
แต่ทันทีที่เขาตีกลอง เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นก็คือความรู้สึกที่กลองนั่นกลืนเสียงเข้าไป เขารู้สึกว่า กลองนั่นราวกับว่ามีปากประหลาดที่คอยกลืนเสียงต่างๆลงไป
แล้วก็ยังไม่มีเสียงอะไรออกมาอีก
"แปลก แปลกจริงๆ"
อิงไม่อยากจะเชื่อ จึงหยิบไม้กลองแล้วพูดว่า "ข้าเอง"
แต่ว่าผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนังกลองถูกกระแทกและสั่นสะเทือน แต่ก็ยังไม่มีเสียงอะไรออกมา
"แม้แต่ใต้เท้าองครักษ์อิงก็ยังทำให้กลองส่งเสียงไม่ได้ ข้าว่าพวกเราก็ไม่ต้องลองแล้ว"
ทหารทั้งหมดก้มหน้าด้วยความสิ้นหวังทันที
โหลชีมองไปยังซู่ฉงโจว "บทตำนานวิปลาสของบ้านเจ้าได้บอกไว้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไรให้กลองขวัญส่งเสียง?"
ซู่ฉงโจวส่ายหน้า "ไม่มี บอกแค่ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถตีกลองขวัญให้ส่งเสียงได้ คนคนนั้นเปรียบเสมือนกับเทพที่มายังโลกมนุษย์ เขาเป็นวีรบุรุษ เมื่อกลองขวัญส่งเสียงก็จะสามารถทำให้ทหารหลายพันคนแข็งแกร่งขึ้นได้ และทำให้กองทัพเข้มแข็งขึ้น มีพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง โจมตีได้นานขึ้น"
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็ตะลึง และในใจก็มีความปรารถนาขึ้นมา
อิงยิ่งแววตาเป็นประกาย "กลองขวัญยังทรงพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?ถ้าหากสามารถทำให้กลองนี้ส่งเสียงได้ กองทัพก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้นใช่หรือไม่?"
ซู่ฉงโจวพูด "ที่บันทึกในหนังสือ หมายความเช่นนั้นจริงๆ"
โหลชีเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่ซู่ฉงโจว "เจ้าลองแล้วหรือยัง?"
"ทูลพระสนม ยังไม่ได้ลองพ่ะย่ะค่ะ" ความเร็วการพูดของซู่ฉงโจวทำให้คนที่ฟังสบายใจ และเมื่อเขาพูดกับโหลชี นางมักจะรู้สึกว่าในดวงตาของเขามักจะมีรอยยิ้มจางๆ อยู่เสมอ และรอยยิ้มแบบนี้ทำให้เขาดูดีมาก
ชายหล่อเหลาที่นางเคยพบ อันดับหนึ่งย่อมเป็นเฉินซ่า โหลฮ่วนเทียนพี่ใหญ่นาง ยังมียู่ไท่จื่อ หยุนเฟิง รวมถึงเฉิงสิบลูกน้องนาง นั่นล้วนเป็นชายงามชั้นหนึ่ง แต่ซู่ฉงโจวนี้ย่อมเป็นบุคลิกที่ทำให้รู้สึกน่าดึงดูด และยากบรรยายในชั่วเวลาสั้นๆ ผู้ที่มีบุคลิกเช่นนี้ โหลชียังเห็นเป็นคนแรก
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเฉินซ่าอยู่ก่อนแล้ว นางรู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูกซู่ฉงโจวดึงดูดเอาได้
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองดูเถิด" นางก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่รู้สึกว่าซู่ฉงโจวคนนี้ค่อนข้างลึกลับ และเขาก็ดูเข้าใจอยู่ไม่น้อย
ดูเหมือนว่าซู่ฉงโจวจะคิดไม่ถึงว่านางจะปล่อยให้เขาลอง เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมา เสียงของเขาราวกับสายลม "พ่ะย่ะค่ะ"
อิงและเฉิงสิบขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเขาไม่ชอบรอยยิ้มของซู่ฉงโจวที่มีต่อโหลชีเลย ยิ้มอะไร? มีอะไรน่ายิ้ม?
โหลชีถอยออกไปก้าวหนึ่ง มองไปยังซู่ฉงโจวรับไม้ตีกลองแล้วเดินไปด้านหน้าของกลองขวัญ เขาไม่รีบร้อนลงมือ มือทั้งสองตั้งขึ้น ก้มหัวเล็กน้อย และวินาทีถัดมาหัวใจของโหลชีก็สั่นสะท้าน
เพราะบรรยากาศรองตัวหนึ่งเหมือนทะลักออกมาจากตัวซู่ฉงโจว เขายืดหลังตรง เชยคาง ริมฝีปากปิดสนิท ปากเสือปิดสนิท ทันใดนั้นเขาเหมือนไม่ใช่ตัวเขาอีก ดุจแม่ทัพสมรภูมิใหญ่ ดุจแม่ทัพผู้หยิ่งทะนง ดุจแม่ทัพที่มองทหารห้าวห้ำหั่น อาชารบร้องครวญ สนามรบอันอาดูร
ความอเนจอนาถแวดล้อมทั้งตัว แต่เขากลับเข้มขรึม
เขาหลับตาลง ยกมือขึ้นช้าๆแล้วตีลงบนหนังกลอง
"ตึง"
"ตึงตึงตึง"
ทุกคนตกตะลึง
เสียงกลองได้ยินชัดๆว่าเป็นเสียงทุ้ม แต่ว่าเสียงกลับลอยไปไกล ไกลแสนไกล ด้วยเสียงกลอง ดูเหมือนทุกคนจะได้เห็นญาติพี่น้องที่รอคอยพวกเขากลับบ้านอย่างใจจดจ่อ เห็นภรรยาที่พึ่งแต่งงานใหม่ เห็นลูกชายวัยเตาะแตะ และเห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆร่วมชั้นเรียน เหมือนแม่ทัพตะโกนถามว่า "ทหารทุกคนต้องการกลับมาอย่างมีชัย แล้วกลับบ้านไปหาคนที่รักหรือไม่?"
"อยากฆ่าศัตรู ปกป้องแคว้นหรือไม่?"
"อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่?"
"เช่นนั้นก็ฆ่า! ฆ่าๆๆ! ฆ่ามันไม่เหลือแม้แต่เกราะ! ฆ่ามันให้ตกตายเป็นสายน้ำ!"
เลือดร้อนไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด หัวใจเต้นรัวเร็ว ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดความเหนื่อยล้า! มีแต่ฆ่า! ฆ่าฆ่าฆ่า! โหลชีมองไปรอบๆด้วยความกลัว นางเห็นได้ว่าด้วยเสียงกลองนี้ คนเหล่านี้ถูกปลุกเร้าด้วยจิตวิญญาณแห่งการสู้รบที่บ้าคลั่ง! ถ้าหากทหารเหล่านี้ถูกให้ออกไปสู้รบตอนนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่กลัวความเจ็บปวดหรือความตายทั้งนั้น! ต้องฆ่าจนตาแดงทุกคนแน่
อิทธิพลของเสียงกลองนี้ยิ่งใหญ่นัก! ไม่ นี่แทบจะเป็นเวทมนต์!
โหลชีเห็นว่าดวงตาของเฉิงสิบและโหลวซิ่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ประสานอินขึ้นพลัน โบกมือออกไปแล้ววางลงบนหน้าผากของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เฉิงสิบและโหลวซิ่นได้สติขึ้นมาทันที ราวกับว่าความรู้สึกเยือกเย็นแล่นปราดเข้ามาในจิตใจของพวกเขา
"สวรรค์ เสียงกลองนี้มัน..." โหลวซิ่นถอยออกไปด้วยความตกใจทันทีที่ได้สติ
สีหน้าของเฉิงสิบดูไม่ค่อยดี อย่างไรก็ตามถ้ามีความรู้สึกว่าถูกควบคุมเช่นนี้ ใครเล่าจะรู้สึกดี? ในขณะนั้นเอง ซู่ฉงโจวก็กดมือลงบนหนังกลอง แล้วเสียงกลองก็หยุดลงกะทันหัน เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆหันกลับมา
เมื่อโหลชีเห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของเขาก็อดที่จะถามไม่ได้ "ซู่ฉงโจว ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร?"
นางคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ ซู่ฉงโจวสามารถตีกลองนี่ได้จริงๆ แต่นางแค่ไม่เข้าใจว่าการที่เขาเข้ามาเป็นทหารที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
"ทูลพระสนม ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ แค่รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง กลองขวัญนี่ยังกลืนกินจิตวิญญาณของคนตีด้วย" ซู่ฉงโจวตอบ
ทันทีที่เสียงกลองหยุด ทุกคนก็กลับมารู้สึกตัวแล้วมองไปที่กลองและซู่ฉงโจวด้วยความตกตะลึง
"เจ้าตีกลองให้มีเสียงได้อย่างไร?"
"เสียงของกลองนี่ร้ายกาจมาก"
"ใช่แล้ว เมื่อสักครู่ข้าแทบอยากจะไปที่สนามรบแล้วฆ่าศัตรูทันที"
ใช่แล้ว จิตวิญญาณการต่อสู้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมาก
อิงมองไปที่ซู่ฉงโจว "เจ้าตีกลองอย่างไร?"
ซู่ฉงโจวตอบ "ข้าเองก็ไม่รู้ รู้สึกแค่ว่าต้องทำใจให้สงบ"
"กลองนี่ สตรีเข้าใกล้ไม่ได้จริงหรือ?" โหลชีมองดูกลองอย่างครุ่นคิด
"ตามบันทึกบอกว่าไม่ได้จริงๆ อาจจะทำร้ายร่างกายพระองค์ พระสนมเชื่อว่ามีจริงเถิด"
โหลชีพยักหน้า นางหันกลับมาแล้วพูดว่า "พอดีเลย ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ เข้าแถว" นางตัดสินใจไปเลือกคนก่อน แล้วค่อยมาคุยกับซู่ฉงโจวดีๆ
ทหารหลายพันนายเข้าแถวในทันที เห็นได้ว่าอิงให้ความสนใจทหารเหล่านี้เป็นอย่างมาก การจัดแถวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากจัดแถวเสร็จ
โหลชีก้าวไปข้างหน้า แล้วใช้กำลังภายในของนางเพื่อเปล่งเสียง "ข้าจะคัดเลือกพวกเจ้าสามสิบคน สามสิบคนนี้ต้องเข้าร่วมการฝึกฝนอีกชุดหนึ่ง บอกให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นการฝึกพิเศษที่หนักกว่าการฝึกปัจจุบันของพวกเจ้าสิบเท่า ตอนนี้ ใครไม่เต็มใจจะเข้าร่วมสามารถถอนตัวได้ นี่เป็นความสมัครใจของพวกเจ้า ไม่มีการบังคับ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถกำหนดตัวเลือกเองได้ ข้าจะไม่ตำหนิพวกเจ้า"
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณครึ่งหนึ่งก็ถอนตัวออกไป
โหลชีพยักหน้าแล้วพูดอีกว่า "ถ้าพวกเจ้ากลัวแมลง งู หรือว่ามดมากๆ ไม่เต็มใจที่จะจับ ก็ถอนตัวได้"
ทันทีที่พูดออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเดาว่าการฝึกพิเศษคงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ถอนตัวออกไปอีกจำนวนมาก
ตอนนี้เหลือคนเพียงพันคนเท่านั้น
โหลชีให้พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อกำละงจะพูดอิ้นเหยาเฟิงก็ยกมือขึ้น "พระสนม อิ้นเหยาเฟิงเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?"
นี่มันเกินความคาดหมายของทุกคน
"เจ้าอยากเข้าร่วมการฝึกพิเศษ?" โหลชีมองนาง
อิ้นเหยาเฟิงพูดทันที "ใช่เพคะ!พระสนมให้โอกาสหม่อมฉันด้วยเถิด!"
"ได้ เจ้าเข้ามา เดี๋ยวข้าจะทำการคัดเลือกอีกครั้ง ถ้าหากเจ้าไม่ผ่านการคัดเลือก ข้าก็ไม่เลือกเจ้า"
อิ้นเหยาเฟิงยืนอยู่อย่างมีความสุขท่ามกลางผู้คนนับพัน
"ต่อไป ทำท่าบริหารนิ้วมือกับข้า ทำไม่ได้ คัดออก"
โหลชีไขว้นิ้วเอาไว้ แล้วบีบนิ้ว นางจะสอนการทำท่าบริหารนิ้วมือขั้นพื้นฐานให้กับพวกเขา ถ้าหากสามารถทำได้ นางถึงจะเลือกคนคนนั้นไปฝึก มิฉะนั้นหากนางรับไปแล้วก้อาจจะยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ในเวลาอันสั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ