ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 364

โหลชีไม่มีความอดทนพอที่จะสอนคนที่ไม่มีพรสวรรค์ แม้ว่าคนคนนั้นจะพยายามหนักมากแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่สามารถเข้าสู่ขอบเขตการเลือกของนางได้ บนโลกนี้มีสิ่งที่ไม่ยุติธรรมมากมาย บางครั้งพรสวรรค์ก็สำคัญกว่าความพยายาม บางครั้งนางก็ไม่เห็นด้วยกับคำคมที่หลายคนพูดกันในยุคสมัยใหม่ อย่างเช่น ถ้าทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งหนึ่งครั้งสองครั้งสิบครั้งก็ทำไม่ได้ ให้ทำไปอีกร้อยครั้งพันครั้ง ก็จะเรียนรู้ได้เอง

แต่ว่าในมุมมองของนาง ถ้าทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิบครั้งไม่สำเร็จ ไม่สู้ลองพิจารณาดูก่อนว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้หรือไม่ หลังจากนั้นจึงใช้ศักยภาพของตนเองทำในสิ่งที่ทำได้ดีกว่า เพราะว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ แม้ว่าเจ้าจะเรียนรู้อีกกี่ร้อยพันครั้ง แต่นั้นก็ไม่มีทางที่จะมีความชำนาญหรือเก่งกาจได้ อย่างมากก็แค่มีทักษะหรือมีฝีมือเท่านั้น

แต่ถ้าเจ้าเรียนรู้ในสิ่งที่มีความสามารถหรือพรสวรรค์ เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จสูง

ก็เหมือนตอนนี้ที่นางกำลังมองหาผู้มีความสามารถแฝงที่มีพรสวรรค์เพื่อเรียนรู้การแก้คำสาป ถ้าหากไม่มีพรสวรรค์ ไม่ใช่ว่านางสอนไม่ได้ แต่ว่านางสอนแล้วคนที่มีเพียงความขยันจะเรียนรู้สิ่งที่นางสอนได้ด้วยการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คนที่มีพรสวรรค์และศักยภาพ ถึงจะตื่นรู้วิธีการอื่นจากในสิ่งที่นางสอนได้เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริงๆ ถึงเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ มิใช่ทำตามตำรา

ต้องรู้ไว้เลยว่า ซีเจียงไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะไปเที่ยวภูเขาเล่นน้ำ ผู้คนที่นั่นไม่ได้ซื่อสัตย์และจริงใจขนาดสายแค่คำสาปที่เจ้าแก้ได้ !

นอกจากนี้ ซีเจียงกับหนานเจียงค่อนข้างใกล้เคียงกัน โอกาสที่จะพบคนหนานเจียงหรือคนที่เรียนวิชากู่วิชาพิษก็มีมากด้วย ที่พวกเขาต้องเรียนไม่เพียงแค่การถอนคำสาป ถ้าเป็นไปได้ นางก็หวังให้พวกเขาเรียนรู้ทั้งพิษ กู่ และคำสาป

ถ้าอิงรู้ว่าตอนนี้โหลชีคิดอะไรอยู่ นั่นคงทำให้เขาตกใจแทบตายนึกว่าใครก็เป็นอัจฉริยะเหมือนนางอย่างนั้นแหละ! พิษ กู่ คำสาป ไม้มีบางจุดที่เชื่อมเข้าด้วยกัน แต่เมื่อแยกออกมา แต่ละวิชาล้วนให้คนเรียนจนตายได้ ยังจะมาพิษ กู่ คำสาปอีก!

แน่นอนว่าคนหนึ่งไม่สามารถฝึกได้สามอย่าง โหลชีเองก็มีวิธี หลังจากนางเลือกคนได้แล้ว นางก็จะให้พวกเขาเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม อย่างนั้นก็จะมีคนหนึ่งใช้วิชามือแก้คำสาปคนหนึ่งแก้พิษ คนหนึ่งป้องกันกู่ แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนที่เหลืออีกหลายพันคนกำลังสับสนเล็กน้อย

ท่าบริหารนิ้วมือ นั่นมันคืออะไรกัน?

"ตอนนี้ข้าจะแสดงให้ดูสามครั้ง พวกเจ้าก็ดูแล้วทำตามเอง หากพบว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็ให้ถอนตัวออกเอง"

เสียงของโหลชีชัดเจน เพราะกำลังภายใน จึงกระจายไปทั่วทุกมุมของค่ายทหาร

คนเกือบพันคนเข้าใกล้สังเวียน

โหลชีสะบัดมือทั้งสอง จากนั้นก็พนมมือ สิบนิ้วประสานกัน ขยับข้อมือขึ้นบน สิบนิ้วไม่ขยับ แต่สองฝ่ามือกลับราบเรียบ เหมือนเส้นตรง หรือก็คือนิ้วมือกับหลังมือตั้งฉาก

แน่นอนว่าสำหรับนางแล้วนี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ด้วยท่าทางง่ายๆแบบนี้ มีคนกว่าสี่ร้อยคนด้านล่างที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้

โหลชีมองเลยไปเพราะรู้ว่าอิง เฉิงสิบ โหลวซิ่น ถูเปินและคนอื่นๆกำลังทำตามไปด้วย

ซู่ฉงโจวยืนอยู่ข้างนาง มองนางด้วยรอยยิ้ม

คนที่ทำตามไม่ได้กว่าสี่ร้อยคนถอนตัวออกไป จึงเหลือเพียงห้าร้อยหกร้อยคนเท่านั้น โหลชีไม่ได้พูดแล้วทำขั้นตอนต่อไปโดยเอาหลังมือไปแตะหลังมือ คราวนี้สิบนิ้วคล้องกันเป็นคู่ๆ ท่านี้หากหลังมือไม่ชิดสนิท ก็ทำไม่ยาก แต่ยากคือ หลังมือยึดแน่นและไม่สามารถแยกออกจากกันได้เล็กน้อย ซึ่งต้องใช้ความยืดหยุ่นของข้อต่อนิ้ว

ถ้าให้คนธรรมดามาทำก็คงจะยากมากจริงๆ แต่คนเหล่านี้เป็นคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้มาและแน่นอนว่าบางคนก็สามารถทำได้

แต่ครั้งนี้กลับลดลงไปครึ่งหนึ่ง

ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณสามร้อยคนเท่านั้น

กระบวนท่าที่สาม เหลือไม่ถึงสองร้อยคน

กระบวนท่าที่สี่ เหลือไม่ถึงร้อยคน

ในเวลานี้ คนที่เคยคิดว่าขยับนิ้วได้ไม่ยาก และเหลืออีกอย่างน้อยแปดร้อยคนในพันคน ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะทำตามบางคนถึงกับกัดฟัน บิดนิ้วและเหงื่อออก ในตอนนั้นยังได้ยินเสียงข้อนิ้วหัวแม่มือถูกบิดดังก๊อกแก๊ก และบางคนก็กรีดร้องออกมา

แต่ว่าเมื่อมองดูโหลชี สีหน้าของนางก็ดูปกติ นิ้วของนางบิดไปมาค่อนข้างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เห็นได้ชัดว่านางยังคงพยายามไม่ทำให้หนักจนเกินไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำตามได้อย่างสบายๆ

ในทีแรกอิงคิดว่าตัวเองจะสามารถทำตามได้ แต่ว่าเขาก็พึ่งค้นพบว่าตัวเองสามารถทำได้ถึงกระบวนท่าที่สามก็ต้องเป็นกลุ่มขอถอนตัว โหลวซิ่นเองก็เช่นกัน เฉิงสิบก็ขอถอนตัวในกระบวนท่าที่สี่ ส่วนถูเปินเองก็ล้มเลิกไปตั้งแต่กระบวนท่าแรก

เฉิงสิบครุ่นคิด อาจเป็นเพราะเหตุนี้ แม่นางจึงไม่คิดจะสอนพวกเขา

และที่น่าประหลาดใจคือ อิ้นเหยาเฟิงยืนกรานมาได้จนถึงจุดนี้

"ต่อไปจะเป็นกระบวนท่าสุดท้าย ข้าหวังว่าครึ่งหนึ่งจะสามารถอดทนทำตามได้"

โหลชีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนอีกมากมายที่สามารถอดทนได้ แต่หลังจากที่นางเสร็จสิ้นกระบวนท่าสุดท้าย มีเพียงสามสิบห้าคนเท่านั้นที่อดทนได้ รวมทั้งอิ้นเหยาเฟิงด้วย

อันที่จริงอิ้นเหยาเฟิงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะสามารถอดทนมาได้จนถึงขนาดนี้ นางตื่นเต้นจนกระโดดสูงถึงสามฟุต โหลชีเหลือบมองที่นางด้วยความแปลกใจ

สามสิบห้าคน ตอนนี้นางกำลังวางแผนที่จะเลือกให้เหลือยี่สิบคน สามสิบห้าคนนี้ยังต้องยอมรับการทดสอบด่านที่สองของนาง แต่ไม่ใช่ในตอนนี้

"รอให้ข้าเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว จะให้เฉิงสิบพาคนเหล่านี้มารับการทดสอบด่านที่สองในอีกสองวัน ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนเถิด" โหลชีหันกลับไปมองซู่ฉงโจวแล้วพูดว่า "เอากลองขวัญกับซู่ฉงโจวไปด้วย"

อิงตกตะลึง "เอากลับตำหนักจิ่วเซียว?"

"ใช่"

นางไม่เพียงอยากพาคนกลับไป แต่นางยังให้ซู่ฉงโจวขึ้นรถด้วย

รถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวไปช้าๆ อิงหันกลับมามอง เลิกคิ้วขมวดคิ้วไม่ได้เลย

ซู่ฉงโจวยังคงมองดูโหลชีด้วยรอยยิ้ม มองดูโหลชีอย่างไม่หลบหลีก อิ้นเหยาเฟิงทนไม่ไหวอีกต่อไป "เจ้าเป็นอะไรของเจ้า?ใครให้เจ้ากล้ามองหน้าพระสนมอย่างนี้?"

อิ้นเหยาเฟิงเป็นแม่นางที่มีนิสัยตรงไปตรงมา สิ่งที่พูดนี่ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา

"ฉงโจวคิดว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่ามารยาท" ซู่ฉงโจวพูดอย่างใจเย็น

ถ้าหากคนนี้เป็นเพื่อนนาง ไม่แน่ว่าโหลชีคงจะชื่นชมเขา แต่ตอนนี้เขาเป็นคนแปลกหน้าที่ฐานะไม่แน่ชัดและมีความลับมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการชื่นชมเขา

"เจ้าเป็นนายอำเภอเมืองลั่วหยาง?" นางพูดตรงๆไม่คิดที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับนาง ถึงแม้ว่าตอนนั้นนางจะชื่นชมความสามารถในการบริหารจัดการเมืองลั่วหยางของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องอดทนต่อคนคนนี้เป็นพิเศษ

"พระสนมลองทายดูสิว่าฉงโจวใช่หรือไม่ใช่" ซู่ฉงโจวยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น

โหลชีกลอกตา "ทาย?ข้าทายว่าเจ้าคือตัวตลกละครสัตว์เชิญมา!" พูดจบ นางก็เอื้อมมือออกไปแล้วเตะเขาออกไปอย่างไร้ความปรานี

"ข้าไม่อยากพูดพล่ามกับคนเจ้าเล่ห์ที่หน้าหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ลงไปคิดว่าจะพูดความจริงหรือไม่ เมื่อถึงตำหนักจิ่วเซียวจะค่อยตัดสินใจว่าจะพูดกับเจ้าหรือจะลงโทษเจ้า"

หลังจากลงรถแล้วซู่ฉงโจวก็พลิกตัวและกลับมายืนอย่างมั่นคง เมื่อได้ยินรอยยิ้มของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น

เขาคิดว่าการทำตัวให้ลึกลับมากขึ้นจะทำให้นางสนใจเขามากขึ้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าการที่นางพูดว่าลงมือก็ลงมือ ไม่ ลงเท้าต่างหาก

เขาหน้ายิ้มใจไม่ยิ้มตรงไหนกัน?เห็นชัดๆว่าเขายิ้มอย่างสง่างาม เต็มไปด้วยไหวพริบ? เขาแค่มีเรื่องบางอย่าง...

ท่ามกลางสายลมยามเย็น ซู่ฉงโจวรู้สึกท้อแท้และหมดหนทางเป็นครั้งแรก

อิงและเฉิงสิบเมื่อเห็นเขาถูกไล่ออกไปและตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก พวกเขาก็อารมณ์ดีขึ้น

รถม้าไปที่เมืองพั่วอวี้ เพราะเป็นรถม้าของโหลชีด้านในจึงหรูหรา แต่ภายนอกดูเรียบง่าย ไม่ใช่รถม้าที่หรูหราอย่างที่เฉินซ่าเคยขับ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพระสนมองค์ใหม่นั่งอยู่ด้านใน แต่ประชาชนรู้จักอิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้า ถูเปินขับรถ เฉิงสิบนั่งอยู่ข้างๆเขา ตามด้วยโหลวซิ่นและซู่ฉงโจวที่ขี่ม้าตามหลัง ยกเว้นถูเปิน คนเหล่านี้ล้วนหล่อเหลา และดึงดูดความสนใจของคนทั้งสองข้างถนน

ในฝูงชน ผูยู่เหอจ้องมองรถม้าที่ผ่านไปอย่างช้าๆด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเจ็บปวด

คนอื่นไม่รู้ นางเองก็ไม่รู้งั้นหรือ? เฉิงสิบและโหลวซิ่นตามมา ต้องเป็นโหลชีแน่นอน!

แต่แค่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะอยู่ด้านในหรือไม่?

พวกเขารู้ว่ายากที่จะมีโอกาสกลับมาที่ตำหนักจิ่วเซียวอีกครั้ง และก็ยากที่จะมีดอกาสได้พบฝ่าบาทอีกครั้ง ตอนนี้ก็เป็นโอกาสแล้ว!

"ซือเอ๋อร์ เร็วเข้า!หยุดรถม้า!" ผูยู่เหอผลักซือเอ๋อร์ นางไม่ได้สังเกตเห็นความเกลียดชังในแววตาของซือเอ๋อร์ จริงอยู่ที่นางขายตัวเองเป็นสาวใช้ แต่ว่าถึงนางจะขายตัวแต่นางจำเป็นต้องให้ผูยู่เหอมารังควานนางโดยที่นางจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหรือ? ทุกวันนี้เพื่อตัวนางเองและเสวี่ย นางจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะจัดการกับจูซื่อที่น่ารังเกียจด้วยตัวของนางเอง นางอาเจียนออกมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วตอนนี้ผูยู่เหออยากจะหยุดรถทำไมไม่ไปหยุดด้วยตัวเอง?

เมื่อเห็นนางไม่ขยับ ผูยู่เหอจึงใช้แรงผลักนางอีกครั้ง "คนใช้โง่!เจ้ายังไม่รีบไปอีก! คิดว่าตัวเองเป็นหวานใจของเจ้าฝีดาษคนนั่นจริงๆงั้นหรือ?"

เมื่อได้ยินแบบนี้ ความเกลียดชังของซือเอ๋อร์ก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก ก่อนที่นางจะทันนึกถึงเรื่องนี้ ผูยู่เหอได้ใช้กำลังที่มากที่สุดผลักนางไปยังกลางถนน

ซือเอ๋อร์รั้งตัวไว้ไม่ได้ จึงล้มลงไปที่หน้ารถม้า

ถูเปินสะดุ้ง ไม่คาดคิดว่าจะมีใครบางคนวิ่งออกมา ถึงแม้ว่าความเร็วในการขับของเขาจะไม่เร็ว แต่ซือเอ๋อร์จู่ๆก็เข้ามา แล้วล้มลงกับพื้นอีก แล้วม้าก็กำลังจะเหยียบนาง!

หากรถม้าของเขาเหยียบคนตาย มันจะทำลายชื่อเสียงของพระสนม!

ทันใดนั้นเองถูเปินก็ใช้ความสามารถเหนือยามปกติ แส้ในมือของเขาพันรอบข้อมือของซือเอ๋อร์ทันที แล้วดึงนางอย่างแรง เขาดึงซือเอ๋อร์ให้ลอยเข้ามา แต่วรยุทธ์ของถูเปินยังไม่ฝึกไม่ถึงขั้น และเขาไม่สามารถรั้งนางไว้ได้เมื่อเขาดึงนางเข้ามา ซือเอ๋อร์ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาถูกทุบและล้มไปด้านหลังซือเอ๋อร์ล้มทับเขา แล้วริมฝีปากของนางก็ประกบกับริมฝีปากเขาพอดี!

เฉิงสิบที่นั่งอยู่ข้างๆเขาไม่ตอบสนอง ได้แต่ตกตะลึง

ถูเปินเองก็ตกตะลึง

ซือเอ๋อร์เองก็ตกตะลึงมาก

โหลชีเพิ่งเปิดม่าน ก้มหัวลงและเห็นฉากนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะลูบหน้าผากตัวเอง "โอ้...นี่เป็นฉากน้ำเน่าจริงๆ!"

ดูเหมือนว่าพระเอกและนางเอกของนิยายหลายเรื่องจะมอบจูบแรกให้กันอย่างคาดไม่ถึงแบบนี้ตลอด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ