ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 366

เฉินซ่ายิ้มอย่างเย็นชา โบกมืออย่างไร้ความปรานีแล้วพูดว่า "ลาออกไปแล้วตัดหัว"

"ฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย" ซือเอ๋อร์กรีดร้อง กลอกตาไปมา และทันใดนั้นก็หมดสติไปเพราะความหวาดกลัว

โหลชีชะงักไป แต่ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง "ไว้ชีวิตนางเถิด" นางไม่ได้มีความเมตตาเป็นพิเศษ แต่นางแค่รู้สึกว่าเด็กหญิงตัวเล็กแค่นี้เอง และไม่ได้มีความเกลียดชังกันอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งชีวิตของนางก็ค่อนข้างน่าสังเวช ไม่จำเป็นต้องฆ่านางแบบนี้

อิงจับซือเอ๋อร์ แล้วมองไปที่เฉินซ่าเมื่อได้ยินอย่างนั้น

ในอดีตไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้

แต่เขาได้ยินเฉินซ่าพูดว่า "ดี"

อิงถอนหายใจในใจ ไม่ใช่ว่าอีกหน่อยโหลชีจะพูดอะไร นายท่านก็จะรับปากอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือ? เมื่อคิดแล้ว โหลชีก็พูดกับเขาว่า "ส่งนางไปตำหนักหนึ่งเป็นสาวใช้ธรรมดา"

"ขอรับ" อิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะต่อต้านโหลชี แต่เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเชื่อคำพูดของนาง

หลังจากอิงนำคนออกไป โหลชีก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า "เจ้าจะพบซู่ฉงโจวหรือไม่?"

เฉินซ่าเหลือบมองที่นางแล้วพูดซ้ำ: "ซู่ฉงโจว?"

เขาคุ้นเคยกับชื่อนี้เล็กน้อย แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าโหลชีเคยพูดถึงตอนที่นางเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ช่วงที่ต้องแยกกับเขาไปที่เมืองลั่วหยาง นายอำเภอเมืองลั่วหยางซู่ฉงโจว เป็นคนที่ทำให้นางสนใจและอยากพบกับเขา

ไม่กี่วันก่อนที่เมืองชี เหมือนนางจะเคยพูดว่าถ้าที่นี่มีคนอย่างซู่ฉงโจวมาดูแลก็คงจะดีไม่น้อย

ฟังดูก็รู้ว่าโหลชีชื่นชมเขามาก

โหลชีเห็นว่าเขาเงียบแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงพูดต่อ "ยังมีกลองขวัญน่าอัศจรรย์นั่นอีก ในค่ายทหารทุกคนไม่สามารถทำให้มันส่งเสียงได้ รวมทั้งอิง เฉิงสิบและโหลวซิ่น ไม่มีใครทำให้เสียงดังได้เลย แต่ซู่ฉงโจวทำได้ อีกอย่างที่แปลกไปกว่านั้นก็คือตอนที่เขาตีกลองขวัญ ลมหายใจของทุกคนก็เปลี่ยนไป ทั้งแข็งแกร่ง ดุดัน เย็นชา แล้วเสียงกลองก็มีพลังอัญเชิญวิญญาณนักรบด้วย ข้าสงสัยว่าคงจะมีวิธีตีกลองขวัญให้ดังได้ แต่ในโลกนี้ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้วิธี..."

"แฮ่ม แฮ่ม!" อยู่ดีๆเยว่ก็ขัดจังหวะนางด้วยการไอสองทีแล้วขยิบตาให้นาง

ปกติโหลชีเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่คราวนี้ดูจะงงๆอยู่ ไม่เข้าใจเลยว่าเยว่หมายความว่าอะไร แล้วยังกะพริบตามองเขาอย่างสงสัย

เยว่เห็นนางทำตัวไม่รู้ร้อนแล้ว ก็ลูบจมูกด้วยความจนใจ

เฮ้อ คนฉลาดพอถึงคราวโง่ขึ้นมาก็โง่จริงๆนะเนี่ย ใจของเขาก้รู้สึกเกิดสมดุลขึ้นมาเล็กน้อย

"ความหมายของชีชีคือซู่ฉงโจวดูมีพลังมากเวลาตีกลองขวัญ?"

โหลชีนึกถึงตอนที่ซู่ฉงโจวตีกลองแล้วพยักหน้า "ใช่แล้ว ทรงพลังมาก ให้ความรู้สึกบางอย่างที่พิเศษมาก เหมือนเห็นภาพซ้อนทับว่าเขาเหมือนเป็นแม่ทัพในสนามรบ..."

ก่อนที่จะพูดจบ นางเห็นเฉินซ่าลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

โหลชีตกตะลึง แล้วถามทันที "ท่านไม่เจอซู่ฉงโจวแล้วหรือ?"

"เชอะ ถึงข้าจะโง่แค่ไหนข้าก็ฉลาดกว่าเจ้าแล้วกัน" ฝีปากของโหลชีไม่เคยแพ้เคย เมื่อเห็นว่าเฉินซ่าออกจากประตูไปแล้ว นางจึงวางชามผลไม้และวิ่งตามไปทันที

แต่เห็นเขาเดินไปยังกลองขวัญที่วางอยู่ในที่โล่งใต้บันด

ซู่ฉงโจวยืนห่างจากที่นี่พอสมควร ด้านข้างมีข้าราชบริพารสองคน นั่นเป็นที่รอสำหรับเข้าพบฝ่าบาท รับรองได้ว่าไม่ว่าเสียงข้างในห้องทรงพระอักษรจะดังมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้ยินแน่นอน แต่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้จากฝั่งนี้

โหลชียืนอยู่บนขั้นบันใดแล้วถามเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆว่า "นายท่านของพวกเจ้าอยากลองด้วยหรือ?"

"แน่นอนชัดเจนขนาดนี้แล้ว" แล้วก็เป็นเพราะเจ้า

ในตอนนั้นเองโหลชีก็พูดขึ้นมาอีกว่า "ถ้าหากว่าเขาตีแล้วไม่ดัง นั่นมันจะไม่น่าอายมากหรือ?"

รนหาที่ตายจริงๆ เมื่อเฉินซ่าได้ยินประโยคนี้ใบหน้าที่หล่อเหลาก็กลายเป็นสีดำทะมึนทันที แค่ชมผู้ชายคนอื่นก็มากพอแล้ว นี่ยังจะสงสัยว่าเขาสู้คนอื่นไม่ได้อีกหรือ?

ผู้หญิงคนนี้นี่...

"ฝ่าบาทไม้ตีกลอง" เฉิงสิบที่ดูแลกลองขวัญยื่นไม้กลองให้

เขาเห็นชัดว่าฝ่าบาทอยากจะลอง เฉิงสิบและโหลวซิ่นเองก็ตั้งตารอเช่นกัน อยากจะดูว่าฝ่าบาทจะตีกลองขวัญให้ดังได้หรือไม่

เฉินซ่าหยิบไม้กลองแล้วยืนอยู่หน้ากลองขวัญ ด้านนอกไม่ไกล ซู่ฉงโจวยืนตัวตรงและมองตรงมาทางด้านนี้ ถ้าตอนนี้โหลชีอยู่ข้างๆเขา ก็จะเห็นว่าริมฝีปากของเขาที่ยิ้มตลอดเวลาตอนนี้ถูกปิดแน่น และรอยยิ้มก็หายไป

ดวงตาของเฉินซ่าหรี่ลง เข้าจ้องไปที่กลองขวัญ เขาค่อยๆยกไม้กลองขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะตีลงไปที่กลอง

หัวใจของโหลชีก็เต้นรัว

ไม่สิ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ต่างใจเต้นรัว

และในตอนนั้น ที่เฉินซ่าลงมือ เสียงแรกนั้นราวกับเป็นพลังทำลายล้างโลก รุนแรงจนผิวกลองด้านหลังเด้งขึ้นมา

"ปั้ง!" เสียงกลองที่ทุ้มลึกและมีความหมายลึกซึ้ง แผ่กระจายออกไปราวกับคลื่นน้ำ ราวกับตีเข้าไปกลางหัวใจทุกคน

ทันทีหลังจากนั้น เขาตีลงไปอย่างรวดเร็วและเข้มข้น ตึงตึงตึงตึง เสียงที่หนักแน่นดังก้องไปคลื่นแล้วคลื่นเล่า

"ปั้งปั้งปั้ง!" นิ้วมือของเฉินซ่าเปลี่ยนเป็นสีซีด นึกดูว่าเขาตีไม้กลองลงไปด้วยแรงมากขนาดไหน แต่เห็นได้ว่ามือของเขามั่นคงอย่างยิ่ง

ตอนแรกท้องฟ้ายังแจ่มใส แต่ตอนนี้จู่ๆท้องฟ้าก็รวมกลุ่มเป็นสีดำหนาทึบ ท้องฟ้ามืดครึ้ม และในเวลานั้นเองก็มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น

ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตกใจ

โหลชีพึมพำ "เกิดอะไรขึ้น?"

แต่ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนางได้

เมฆดำบนท้องฟ้าหนัก จนเหมือนจะทับลงมาเป็นก้อนๆซู่ฉงโจวรู้สึกจู่ๆ หน้าอกถูกกดทับเหมือนชั้นเมฆพวกนั้น มีไอสังหารกดทับเขาหนักๆ มีแวบหนึ่งที่เขาอยากถอยออก

ดูเหมือนโหลชีจะรู้สึกบางอย่าง แล้วมองดูในเวลานี้

นางเห็นสีหน้าของซู่ฉงโจวดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังต่อต้านอะไรบางอย่าง

และเขาก็เห็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยสักนิด

แสงสว่างวาบเกิดขึ้นในใจพวกเขาพร้อมๆกัน ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง

เสียงกลองดังขึ้น ได้ยินไปทั่วทุกมุมของตำหนักจิ่วเซียว ทุกคนหยุดสิ่งที่กำลังทำในมือ พวกเขารู้สึกแค่ว่าในหัวใจมีเลือดร้อนที่พลุ่งพล่าน อยากทำอะไรบางอย่างเพื่อระบายความรู้สึกอยากสู้รบที่กำลังปะทุอยู่! ในสนามฝึกมีทหารองครักษ์มากกว่ายี่สิบนายกำลังฝึกหยุดไปครู่หนึ่ง ในดวงตาก็ปรากฏเมฆสีแดงแผดเผา

"เฮ้ย!สู้อีก!"

กลุ่มที่ถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มแต่แรก เข้าต่อสู้ปะทะกันทันที

ข้างกลอง มือของเยว่ เฉิงสิบ และโหลวซ่ิ่นกำด้ามดาบเอาไว้แน่น พวกเขาอยากจะชักดาบออกมาตอนนี้เพื่อค้นหาเป้าหมายที่จะสู้ เป้าหมายนั้นก็คือ...

ซู่ฉงโจวก้าวถอยหลัง

มีหยาดเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของเขาในบางครั้ง เขารู้ว่ามันเป็นเหงื่อเย็น

แต่ว่าในเวลาเดียวกัน หัวใจของเขาก็กระวนกระวายซับซ้อน จู่ๆเขาก็ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง! คนที่ตามหามาสิบปีอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาควรทำอย่างไร?

ปั้ง!!!

เสียงกลองครั้งสุดท้ายดังขึ้น เฉินซ่าวางไม้กลองไว้บนผิวกลอง แล้วเสียงกลองก็หายไปทันที

โหลชีเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเมฆสีดำหนาทึบค่อยๆหายไป ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินก็ส่องแสงสีส้มอีกครั้ง ราวกับว่าปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่ผิดปกติในตอนนี้เป็นเพียงจินตนาการของพวกเขา

สวรรค์

ที่แท้เฉินซ่าก็ตีกลองขวัญให้ดังได้เช่นกัน

แต่ว่าซู่ฉงโจวทำให้เกิดความอยากรบไร้ขอบเขต ส่วนกลองขวัญของเฉินซ่ากลับก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด เขารู้สึกได้ ความต้องการสู้ศึกและอายสังหารจากเสียงกลองขวัญนี้ กลับสามารถถูกเฉินซ่าควบคุมสั่งการได้!

หรือก็คือ ศัตรูในใจเขาคือผู้ใด เสียงกลองนี้ก็สามารถกระตุ้นทุกคนที่อยู่รอบๆ เกิดเจตนาฆ่าต่อเขาได้! อีกอย่าง เสียงกลองนี้ยังกดดันเขาหนักที่สุด!

ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งทางจิตใจและความตั้งใจที่แข็งแกร่งของเขา เกรงว่าเสียงกลองจะทำให้เขากลัวจนตัวสั่นอยากจะหนี

ซู่ฉงโจวนึกถึงสิ่งที่ตระกูลได้กล่าวกับเขาไว้ ก็เกิดรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูก ทายาทคนนั้นไม่ใช่เขาจริงๆหรือ?

เขาไม่อยากยอมรับจริงๆ

อีกประเด็นหนึ่ง พวกเขาไม่เคยพบกันมาก่อนเขาจะกลายเป็นศัตรูของเฉินซ่าได้อย่างไร? เมื่อสักครู่ เมฆรบกดข่ม เจตนาฆ่าทั้งหมดมุ่งตรงมาที่เขา! เขาทำผิดต่อเฉินซ่าตอนไหน?

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เฉินซ่าขว้างไม้กลองและหันไปมองโหลชีด้วยสายตาที่มั่นคงและดวงตาของเขาก็มีแสงบางอย่างพาดผ่าน

โหลชีไม่เข้าใจความหมายของสายตาที่เขาส่งมา"แฮ่ม แฮ่ม!"เยว่จามอีกสองทีหมดหนทางจริงๆ เขาไม่สามารถสอนพระสนมพูดคำเหล่านั้นได้จริงๆใช่ไหม?ใครก็ได้บอกเขาทีความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ไปไหนหมด?

แต่ว่าหลังจากคิดไปคิดมาจะไปตำหนิโหลชีก็ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าจักรพรรดิที่ดูเหมือนทรงพลังและโหดเหี้ยมจะสนใจเรื่องนี้มากที่สุด!

"เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?"โหลชีรู้สึกว่าเฉินซ่ามีพลังมาก แต่นางอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่

"นั่นคือเมฆรบ"สีหน้าของเฉินซ่ามืดครึ้ม แต่เขาก็ยังต้องอธิบาย

โหลชีเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เยว่กับฟังเข้าใจ "เมฆรบได้ยินว่าเมื่อเจตนาฆ่าและรังสีสังหารรวมกันถึงระดับหนึ่งก็จะกระตุ้นเมฆรบ เมฆรบมีผลต่อการปราบปรามในสนามรบ แต่ว่านี่ก็เป็นแค่ตำนาน..."ตำนานไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ตอนนี้นางเห็นเมฆรบด้วยตาของตัวเองแล้ว!

เฉินซ่าชี้ไปยังกลองขวัญ "เกี่ยวกับกลองขวัญนี้ถ้าข้าทายไม่ผิดหนังของกลองขวัญ ทำมาจากหนังมนุษย์"

"อะไร?!"

โหลชีเองก็เป็นคนกล้าหาญมาตลอด แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็อดสั่นไม่ได้

"กลองหนังมนุษย์"เฉินซ่าพูดซ้ำ

"แต่ว่า แต่ว่ามันเป็นสีดำนะ"โหลชีคิดไม่ตก "ย้อมผิวมนุษย์เป็นสีดำ?"

เสียงข้าง ๆ ค่อย ๆ ดังขึ้น "กลองขวัญ ไม่ใช่หนังของมนุษย์ทั่วไป แต่ต้องเป็นผิวของมนุษย์ของนักรบที่กล้าหาญและเก่งกาจ ผ่านเลือดคนมานับหมื่นแล้วต้มด้วยวิธีลับ หลังจากต้มแล้วผิวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงถึงดำ แต่ไม่ใช่สีดำแต่เป็นสีแดงที่เข้มมาก"

ดวงตาของเฉินซ่าราวกับแสงที่เย็นยะเยือกยิงไปที่ชายคนนั้นโดยไม่ต้องลงมือ

"ซู่ฉงโจว"โหลชีเหลือบมองเขาด้วยความตกใจ ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่สนกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่เพราะความเข้าใจของเขาที่มีต่อกลองขวัญ

เขาบอกว่าเจอกลองนี้ในภูเขาโดยบังเอิญไม่ใช่หรือ? ฟังจากเขาพูดตอนนี้เห็นชัดว่าเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของกลองนี้เป็นอย่างดี บางทีกลองขวัญนี้เขาไม่ได้เอามาโดยบังเอิญ แต่เป็นเขาที่ตั้งใจจะส่งมา!

สายตาของนางก็เย็นลงเหมือนกัน นางมองตรงไปยังซู่ฉงโจว

จริงๆแล้วซู่ฉงโจวรู้สึกว่าดวงตาของทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกันมาก ล้วนมีความหนาวเย็นที่สามารถกดดันผู้คนได้

จู่ๆเขาก็หัวเราะ "พวกท่านไม่ต้องมองข้าแบบนั้น"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ