เฉินซ่ายิ้มอย่างเย็นชา โบกมืออย่างไร้ความปรานีแล้วพูดว่า "ลาออกไปแล้วตัดหัว"
"ฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย" ซือเอ๋อร์กรีดร้อง กลอกตาไปมา และทันใดนั้นก็หมดสติไปเพราะความหวาดกลัว
โหลชีชะงักไป แต่ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง "ไว้ชีวิตนางเถิด" นางไม่ได้มีความเมตตาเป็นพิเศษ แต่นางแค่รู้สึกว่าเด็กหญิงตัวเล็กแค่นี้เอง และไม่ได้มีความเกลียดชังกันอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งชีวิตของนางก็ค่อนข้างน่าสังเวช ไม่จำเป็นต้องฆ่านางแบบนี้
อิงจับซือเอ๋อร์ แล้วมองไปที่เฉินซ่าเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ในอดีตไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้
แต่เขาได้ยินเฉินซ่าพูดว่า "ดี"
อิงถอนหายใจในใจ ไม่ใช่ว่าอีกหน่อยโหลชีจะพูดอะไร นายท่านก็จะรับปากอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือ? เมื่อคิดแล้ว โหลชีก็พูดกับเขาว่า "ส่งนางไปตำหนักหนึ่งเป็นสาวใช้ธรรมดา"
"ขอรับ" อิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะต่อต้านโหลชี แต่เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเชื่อคำพูดของนาง
หลังจากอิงนำคนออกไป โหลชีก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า "เจ้าจะพบซู่ฉงโจวหรือไม่?"
เฉินซ่าเหลือบมองที่นางแล้วพูดซ้ำ: "ซู่ฉงโจว?"
เขาคุ้นเคยกับชื่อนี้เล็กน้อย แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าโหลชีเคยพูดถึงตอนที่นางเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ช่วงที่ต้องแยกกับเขาไปที่เมืองลั่วหยาง นายอำเภอเมืองลั่วหยางซู่ฉงโจว เป็นคนที่ทำให้นางสนใจและอยากพบกับเขา
ไม่กี่วันก่อนที่เมืองชี เหมือนนางจะเคยพูดว่าถ้าที่นี่มีคนอย่างซู่ฉงโจวมาดูแลก็คงจะดีไม่น้อย
ฟังดูก็รู้ว่าโหลชีชื่นชมเขามาก
โหลชีเห็นว่าเขาเงียบแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงพูดต่อ "ยังมีกลองขวัญน่าอัศจรรย์นั่นอีก ในค่ายทหารทุกคนไม่สามารถทำให้มันส่งเสียงได้ รวมทั้งอิง เฉิงสิบและโหลวซิ่น ไม่มีใครทำให้เสียงดังได้เลย แต่ซู่ฉงโจวทำได้ อีกอย่างที่แปลกไปกว่านั้นก็คือตอนที่เขาตีกลองขวัญ ลมหายใจของทุกคนก็เปลี่ยนไป ทั้งแข็งแกร่ง ดุดัน เย็นชา แล้วเสียงกลองก็มีพลังอัญเชิญวิญญาณนักรบด้วย ข้าสงสัยว่าคงจะมีวิธีตีกลองขวัญให้ดังได้ แต่ในโลกนี้ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้วิธี..."
"แฮ่ม แฮ่ม!" อยู่ดีๆเยว่ก็ขัดจังหวะนางด้วยการไอสองทีแล้วขยิบตาให้นาง
ปกติโหลชีเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่คราวนี้ดูจะงงๆอยู่ ไม่เข้าใจเลยว่าเยว่หมายความว่าอะไร แล้วยังกะพริบตามองเขาอย่างสงสัย
เยว่เห็นนางทำตัวไม่รู้ร้อนแล้ว ก็ลูบจมูกด้วยความจนใจ
เฮ้อ คนฉลาดพอถึงคราวโง่ขึ้นมาก็โง่จริงๆนะเนี่ย ใจของเขาก้รู้สึกเกิดสมดุลขึ้นมาเล็กน้อย
"ความหมายของชีชีคือซู่ฉงโจวดูมีพลังมากเวลาตีกลองขวัญ?"
โหลชีนึกถึงตอนที่ซู่ฉงโจวตีกลองแล้วพยักหน้า "ใช่แล้ว ทรงพลังมาก ให้ความรู้สึกบางอย่างที่พิเศษมาก เหมือนเห็นภาพซ้อนทับว่าเขาเหมือนเป็นแม่ทัพในสนามรบ..."
ก่อนที่จะพูดจบ นางเห็นเฉินซ่าลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
โหลชีตกตะลึง แล้วถามทันที "ท่านไม่เจอซู่ฉงโจวแล้วหรือ?"
"เชอะ ถึงข้าจะโง่แค่ไหนข้าก็ฉลาดกว่าเจ้าแล้วกัน" ฝีปากของโหลชีไม่เคยแพ้เคย เมื่อเห็นว่าเฉินซ่าออกจากประตูไปแล้ว นางจึงวางชามผลไม้และวิ่งตามไปทันที
แต่เห็นเขาเดินไปยังกลองขวัญที่วางอยู่ในที่โล่งใต้บันด
ซู่ฉงโจวยืนห่างจากที่นี่พอสมควร ด้านข้างมีข้าราชบริพารสองคน นั่นเป็นที่รอสำหรับเข้าพบฝ่าบาท รับรองได้ว่าไม่ว่าเสียงข้างในห้องทรงพระอักษรจะดังมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้ยินแน่นอน แต่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้จากฝั่งนี้
โหลชียืนอยู่บนขั้นบันใดแล้วถามเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆว่า "นายท่านของพวกเจ้าอยากลองด้วยหรือ?"
"แน่นอนชัดเจนขนาดนี้แล้ว" แล้วก็เป็นเพราะเจ้า
ในตอนนั้นเองโหลชีก็พูดขึ้นมาอีกว่า "ถ้าหากว่าเขาตีแล้วไม่ดัง นั่นมันจะไม่น่าอายมากหรือ?"
รนหาที่ตายจริงๆ เมื่อเฉินซ่าได้ยินประโยคนี้ใบหน้าที่หล่อเหลาก็กลายเป็นสีดำทะมึนทันที แค่ชมผู้ชายคนอื่นก็มากพอแล้ว นี่ยังจะสงสัยว่าเขาสู้คนอื่นไม่ได้อีกหรือ?
ผู้หญิงคนนี้นี่...
"ฝ่าบาทไม้ตีกลอง" เฉิงสิบที่ดูแลกลองขวัญยื่นไม้กลองให้
เขาเห็นชัดว่าฝ่าบาทอยากจะลอง เฉิงสิบและโหลวซิ่นเองก็ตั้งตารอเช่นกัน อยากจะดูว่าฝ่าบาทจะตีกลองขวัญให้ดังได้หรือไม่
เฉินซ่าหยิบไม้กลองแล้วยืนอยู่หน้ากลองขวัญ ด้านนอกไม่ไกล ซู่ฉงโจวยืนตัวตรงและมองตรงมาทางด้านนี้ ถ้าตอนนี้โหลชีอยู่ข้างๆเขา ก็จะเห็นว่าริมฝีปากของเขาที่ยิ้มตลอดเวลาตอนนี้ถูกปิดแน่น และรอยยิ้มก็หายไป
ดวงตาของเฉินซ่าหรี่ลง เข้าจ้องไปที่กลองขวัญ เขาค่อยๆยกไม้กลองขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะตีลงไปที่กลอง
หัวใจของโหลชีก็เต้นรัว
ไม่สิ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ต่างใจเต้นรัว
และในตอนนั้น ที่เฉินซ่าลงมือ เสียงแรกนั้นราวกับเป็นพลังทำลายล้างโลก รุนแรงจนผิวกลองด้านหลังเด้งขึ้นมา
"ปั้ง!" เสียงกลองที่ทุ้มลึกและมีความหมายลึกซึ้ง แผ่กระจายออกไปราวกับคลื่นน้ำ ราวกับตีเข้าไปกลางหัวใจทุกคน
ทันทีหลังจากนั้น เขาตีลงไปอย่างรวดเร็วและเข้มข้น ตึงตึงตึงตึง เสียงที่หนักแน่นดังก้องไปคลื่นแล้วคลื่นเล่า
"ปั้งปั้งปั้ง!" นิ้วมือของเฉินซ่าเปลี่ยนเป็นสีซีด นึกดูว่าเขาตีไม้กลองลงไปด้วยแรงมากขนาดไหน แต่เห็นได้ว่ามือของเขามั่นคงอย่างยิ่ง
ตอนแรกท้องฟ้ายังแจ่มใส แต่ตอนนี้จู่ๆท้องฟ้าก็รวมกลุ่มเป็นสีดำหนาทึบ ท้องฟ้ามืดครึ้ม และในเวลานั้นเองก็มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น
ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ