ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 460

เดิมทีแค่โหลชีคนเดียวก็มีความสามารถชวนให้โมโหจะตายชักอยู่แล้ว ยามนี้ยังเพิ่มโหลฮ่วนเทียนมาอีกคน นั่นเป็นคนที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเสี่ยวชีน้องสาวของเขาอยากทำอะไรก็เข้าร่วมผสมโรงอย่างเต็มที่ สองพี่น้องทำเกาอินอินเดือดดาลจนเหลือครึ่งชีวิต ถึงตอนท้ายก็เพียงนอนหอบปางตายอยู่ตรงนั้น กอปรกับเส้นผมก็ถูกเฉินซ่าฟันไปครึ่งค่อนแต่แรกแล้ว เหลือเพียงรอบๆ เป็นวงเท่านั้น กลางขม่อมโป้งเหน่ง กระอักเลือดค่อนวันใบหน้าซีดเหมือนกระดาษ ดูแล้วช่างอัปลักษณ์บวกสะบักสะบอม

รอจนพวกเขากลับมาถึงค่ายแล้ว โหลฮ่วนเทียนไม่ทะนุถนอมบุปผาแม้แต่น้อย ถีบนางลงไปโดยตรง ตุบเสียงหนึ่ง ฝุ่นควันคละคลุ้งขึ้นมาฟุ้งเต็มใบหน้านาง

อิงเดินเข้ามา มองท่าทางของเกาอินอิน ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างอดไม่ได้ "อย่างไรก็เป็นอิสตรี เช่นนี้กับนางจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?"

โหลฮ่วนเทียนที่ยิ้มหน้าบานในตอนแรกหน้าขรึมทันที กลิ่นอายตึงเครียดทั้งตัว ประหนึ่งอสูร เขากวาดมองอิงแวบหนึ่งอย่างเย็นเยียบ กล่าวประโยคหนึ่งอย่างเยือกเย็น "อย่ามาพูดถ้อยคำไร้สาระอย่างไม่ลงมือกับผู้หญิงอะไรกับข้าหน่อยเลย ผู้ใดกล้ารังแกเสี่ยวชีของข้า อย่าว่าแต่เป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นเด็ก ข้าก็ลงมือเหมือนเดิม ไม่มีละเว้น!"

ทุกคนด้านข้างได้ยินดังนั้นแล้วก็สะอึก

อิงกลับพึมพำอย่างอดไม่อยู่ "พระสนมไม่รังแกผู้อื่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว..."

ความหมายเดิมของเขาคือ โหลชีไม่ถูกคนอื่นรังแกง่ายขนาดนั้น แต่โหลฮ่วนเทียนฟังวาจานี้แล้วกลับตอบเขาประโยคหนึ่งอย่างไม่คิดสักนิด "หากเสี่ยวชีของข้ารังแกผู้อื่น นั้นต้องเป็นเพราะคนผู้นี้สมควรสั่งสอนอยู่แล้ว!"

เอาเถอะ ถึงอย่างไรไม่ว่าอย่างไร เขาก็อยู่ฝั่งเสี่ยวชีของเขาเท่านั้น

โหลฮ่วนเทียนผู้นี้ช่างเป็นคนบ้าน้องสาวโดยแท้

อือ การพูดว่าพวกบ้าอะไรๆ นั่น ก็ได้ยินมาจากโหลชีทางนั้นด้วยความบังเอิญ

เพราะมีผลจากดอกสามชาติ และเพราะเวลากระชั้นชิด ดังนั้นระเบิดเหล่านี้โหลชีจึงทำออกมาไม่เท่าไร ทั้งหมดสิบห้าลูกก็จัดการกองพยัคฆ์นับพันทั้งหมดได้แล้ว

ยามนี้ความวุ่นวายบนภูเขาค่อยๆ สงบลงแล้ว ครั้นมอบหมายเรื่องกับอิง เขาก็นำทหารไปเก็บกวาดสนามรบ ที่ไม่ตายก็ลวดแทงซ้ำอีกที

โหลชีเห็นเฉิงสิบกับโหลวซิ่นที่ติดตามอยู่ข้างอิง ถอดถอนใจเล็กน้อย

พวกเขาทั้งสองก็พลอยติดร่างแหไปด้วย

พวกเขากลับถึงตำหนักจิ่วเซียว องครักษ์อวิ๋นที่นำพวกอามู่ก็ถึงแล้วเช่นกัน ส่วนหลินเสิ้งเวยนำหน่วยศูนย์กลับถึงสถานที่ฝึกของพวกเขาจัดการบาดแผลแล้ว เฉินซ่ากับพวกเยว่ย่อมมีคำพูดมากมายจะพูดกับองครักษ์อวิ๋น โหลชีจึงพาโหลฮ่วนเทียนไปดูหน่วยศูนย์ จากนั้นก็พาเขาไปตำหนักยาของหมอเทวดา ใช้ของดีที่หมอเทวดาเพิ่งให้นางทำยารักษาบาดแผล ไม่นานรอยฟกช้ำบนใบหน้าก็เลือนไปมากแล้ว

นางให้เสี่ยวโฉวจัดการให้โหลฮ่วนเทียนไปอาบน้ำอาบท่าก่อน เอ้อร์หลิงก็ได้รับการมอบหมายห้องเครื่อง ทำอาหารมากมายสองชุด ชุดหนึ่งไปจัดที่ห้องอาหารของตำหนักสอง อีกชุดหนึ่งจัดที่ตำหนักสาม

โหลชีก็ชำระร่างกายเสร็จแล้ว ผลัดชุดกระโปรงเบาสบาย สองพี่น้องถึงนั่งข้างโต๊ะอาหาร รับประทานพลางสนทนา

เห็นโหลชีให้เอ้อร์หลิงขึ้นสุรา โหลฮ่วนเทียนจึงเลิกคิ้ว

"หรือว่าเสี่ยวชีปราศจากสุราไร้อรรถรส?"

"ข้ากลัวว่าท่านไม่ดื่มสักหน่อยจะเริ่มกล่าวไม่ได้" สีหน้าโหลชีราบเรียบ ยกจอกสุราทางเขา

โหลฮ่วนเทียนชะงักงันแล้วฉีกยิ้มหนึ่งที่ซับซ้อน ในดวงตาของขาเจือความเศร้าดุจคลื่นน้ำ

ดูท่ายากจะเอื้อนเอ่ยจริงๆ

โหลฮ่วนเทียนยกจอกกระทบกับนางทีหนึ่ง เงยหน้าดื่มหมดจอก วางจอกสุรากับโต๊ะดังตึกเสียงหนึ่ง ชายตามองทางโหลชี ถอนหายใจกล่าว "ท่านแม่ไม่ได้มากับข้า ในใจเจ้าขุ่นเคืองหรือไม่?"

โหลชีกลับคิดไม่ถึงว่าเอ่ยปากมาเขาก็กล่าวถึงเรื่องนี้ ตะลึงงัน ในใจอบอุ่นเล็กน้อย ไม่ว่าท่านแม่ของนางจะเป็นอย่างไร มีท่าทีเช่นไรกับนาง อย่างน้อยพี่ชายคนนี้ก็มีนางอยู่ในหัวใจจริงๆ

"กลับไม่ถึงขั้นขุ่นเคือง" นางดื่มสุรา ส่งสัญญาณให้เอ้อร์หลิงเติมอีก แล้วถึงกล่าวสืบต่อ "พูดตามจริง ข้าไม่ได้คาดหวังกับนางมากเท่าไร"

ไม่คาดหวังจึงไม่ผิดหวัง หลายปีมานี้ ถึงนางกับนักพรตเลวนับว่าอาศัยซึ่งกันและกันดำรงชีพ แต่มากกว่านั้นนางทำภารกิจอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว ขณะเผชิญกับอันตรายนางคิดพึ่งพาตนเอง และไม่เคยคิดรอให้นักพรตเลวช่วยนาง นางเคยชินกับการอยู่ตามลำพังแล้ว แม้เป็นหลังจากพบโหลฮ่วนเทียนแล้วก็รู้สึกว่าหากหาญาติได้จะดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีญาติให้ได้ ถึงจะพบหน้ากันแล้ว นางก็ยังอยากดูว่าญาติเหล่านี้คู่ควรแก่ความรักเคารพของนางหรือไม่ คู่ควร นางถึงทุ่มเทความรู้สึกให้

ระยะนี้ยังไม่แน่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ว่าไปแล้วนางเย็นชากับความรู้สึก ในเนื้อแท้เป็นคนเห็นแก่ตัวถึงที่สุด

แม้แต่ความรู้สึกกับเฉินซ่า ผ่านไปกว่าครึ่งค่อนปีนางถึงเปิดใจกับเฉินซ่าจริงๆ ระยะนี้นางเพิ่งเริ่มไม่อยากห่างจากเขา ครั้นนึกว่าข้างกายไม่มีคนผู้นี้แล้วก็รู้สึกโศกเศร้าอาดูร แต่ก่อนหน้านี้นางยังทำตัวตามปกติได้ หากมีอะไรที่ขัดใจนาง นางก็เอาใจปล่อยผ่านๆ ไป เดินจากไปอย่างอิสระไม่นำพาเรื่องราว

ยามนี้กลับไม่ได้แล้ว

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเกาอินอินบีบให้แต่งงาน นางจึงวาวโรจน์ ดัดแปลงระเบิดแล้วก็มุ่งไปซัดใส่นางทันที

ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าท่านนั้น ที่จริง...

นางเตรียมใจไว้อยู่แล้ว

ระหว่างตระกูลโหลกับตระกูลซวนหยวน พวกเขาพี่น้อง แล้วยังสาเหตุที่นายน้อยตระกูลโหลกลายเป็นซวนหยวนจ้านอีก เรื่องเหล่านี้ยังเกี่ยวพันยุ่งเหยิง หากยังไม่ทำให้กระจ่างชัด นางจะเทความรู้สึกเคารพนอบน้อมต่อหยุนโยวท่านนั้นได้อย่างไร

ต้องรู้ นางเคยคิดว่าหยุนโยวเป็นบุตรสาวตระกูลโหล

อย่าว่าแต่ชาติกำเนิดของพวกเขาพี่น้อง แม้เป็นชาติกำเนิดของบุพการีพวกเขาก็คงวุ่นวายมากเหมือนกัน

ได้ยินโหลชีกล่าวเช่นนี้ โหลฮ่วนเทียนก็เหม่อลอยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขมขึ้นมา

"แต่ข้ารักเจ้า ข้อนี้เจ้าต้องจดจำให้ดี"

โหลชีผงกศีรษะ

จิตใจโหลฮ่วนเทียนปลอบประโลมบางส่วน ดื่มสุราอีกจอก นี่ถึงเริ่มเอ่ยเรื่องหลังจากกลับบ้าน "ข้าเอาเส้นผมของเจ้ากลับไป และไม่ทันได้อธิบายกับท่านแม่ เพียงแต่ให้นางเอากระดิ่งลมพักวิญญาณออกมา..."

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ