อิ้นเหยาเฟิงยกผลไม้เอาไว้จะไปก็ไม่ใช่ อยู่ก็ไม่ใช่ จู่ๆในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
นางมองไปที่โหลวซิ่น อยากจะดูว่าเขาจะรับจี้หยกชิ้นนั้นเอาไว้หรือไม่
คุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงานมอบจี้หยกติดตัวให้ นั่นหมายความว่าอย่างไรทุกคนต่างก็รู้กันดี ความจริงแล้ว หลังจากผ่านความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ความโอหังและเกเรบนใบหน้าของคุณหนูหกจินจางหายไป มองแล้วก็ดูสวยดี
โดยเฉพาะริมฝีบางของนาง งดงานอ่อนนุ่มจนทำให้คนอยากจะเด็ดมาเก็บเอาไว้
แม้ว่าตระกูลใหญ่จะล้มลง แต่รากฐานยังอยู่ มีท่านจินอยู่ คิดว่าตระกูลจินก็ยังมีโอกาสสร้างความน่าเกรงขามของตระกลูใหญ่ขึ้นมาใหม่ได้ โหลวซิ่นกับคุณหนูหกจิน ความจริงก็เหมาะสมกันดี
โหลวซิ่นมองดูจี้หยกที่อยู่ในมือของคุณหนูหกจิน แล้วก็เงยหน้ามองดูคุณหนูหกจิน ในสายตาของนางเผยการอ้อนวอนเล็กน้อย ในฐานะผู้ชาย ความจริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใจอ่อน
เขามองไปทางอิ้นเหยาเฟิง จู่ๆก็กล่าวถามขึ้นมา: "แม่นางเหยาเฟิง เจ้าว่าข้าควรจะรับจี้หยกเอาไว้ดีไหม?"
อิ้นเหยาเฟิงกับคุณหนูหกจินต่างก็ตะลึงงัน เรื่องนี้จะสามารถถามนางได้อย่างไร? จะให้นางตัดสินใจได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าโหลวซิ่นดูแน่วแน่มาก เขามองดูอิ้นเหยาเฟิงตรงๆอยู่แบบนั้น รอคำตอบของนาง อิ้นเหยาเฟิงไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนดื้อรั้นและกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน สายตาที่แฝงความเจ็บปวดเล็กน้อย ในใจของนางตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด ฉีกรอยยิ้มออกมา กล่าวขึ้นมาอย่างแข็งทื่อเล็กน้อย: "ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? นี่คือเรื่องของตัวเจ้าเอง หรือข้ายังจะสามารถตัดสินใจแทนเจ้าได้?"
พูดไป นางก็เดินเร็วออกไปสองสามก้าว อยากจะรีบเดินผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่ในวินาทีที่เดินผ่านโหลวซิ่น โหลวซิ่นก็ยื่นมือออกมาคว้าแขนของนางเอาไว้ หัวใจของนางเต้นตึกตักขึ้นมา ตกใจไม่น้อย จานผลไม้ที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงไปกับพื้น
ดึงดูดให้เฉิงสิบเดินเข้ามา
อิ้นเหยาเฟิงเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก ก็มองเห็นสีหน้าที่ตะลึงงันเล็กน้อยของเฉิงสิบ "เฉิงสิบ!" นางเรียกออกมาตามสัญชาตญาณ
แต่ว่าสายตาของเฉิงสิบไปหยุดอยู่ที่จานผลไม้ที่ตกแตกอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา: "นี่คือผลไม้ที่จักรรพดินีต้องการงั้นหรือ? ข้าจะไปหั่นมาอีกจานหนึ่ง"
พูดไปก็เดินผ่านพวกเขาไป
เวลานี้อิ้นเหยาเฟิงไม่สามารถบอกได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกอะไรที่ดีอย่างแน่นอน
เฉิงสิบเดินหายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามคนยังยืนอยู่ที่นี่และรู้สึกอึดอัดอย่างมาก อิ้นเหยาเฟิงต้องการจะสะบัดมือของโหลวซิ่นออก "เจ้าปล่อยมือนะ!"
"เหยาเฟิง ข้าชอบเจ้ามาโดยตลอด! ใช่ ข้าไม่ได้หล่อเหลาเท่าเฉิงสิบ วรยุทธก็ด้อยกว่าเขาขั้นหนึ่ง แต่ว่า มีอย่างหนึ่งที่ข้าแข็งแกร่งกว่าเขา" โหลวซิ่นพูดออกมาอย่างไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น: "ข้าจะดีต่อเจ้ามากกว่าเขาอย่างแน่นอน!"
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาต่างก็รู้ดี การไปแผ่นดินใหญ่หลงหยินครั้งนี้ อาจจะต้องพบกับอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุด ไม่แน่ว่าจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านครั้งหนึ่ง หรือแม้กระทั่งหลายๆครั้ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นั่น คำพูดพวกนี้หากยังไม่พูดออกมาอีกบางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีกแล้ว
นัยน์ตาของคุณหนูหกจินแดงก่ำ จับจี้หยกเอาไว้แน่น จู่ๆก็ทุบไปที่โหลวซิ่นอย่างแรงหนึ่งที ร้องไห้แล้วก็หันหลังวิ่งจากไป
อิ้นเหยาเฟิงมองดูแผ่นหลังของนาง อดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้: "เจ้าไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายนางหรือ?"
"ข้าสนใจแค่เจ้าเท่านั้น คนอื่นข้าไม่สนใจ" โหลวซิ่นกล่าวออกมาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
อิ้นเหยาเฟิงกัดริมฝีปากล่าง "ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเจ้าก็ชอบนางอยู่ไม่ใช่หรือ?"
โหลวซิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวออกมาเสียงเบา: "เจ้าต้องการจะฟังความจริง?"
คำพูดนี้......
นางน่าจะบอกว่านางไม่อยากจะฟังอะไรทั้งนั้น แต่ว่าอิ้นเหยาเฟิงก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ท้ายที่สุดก็พยักหน้า
โหลวซิ่นกล่าวว่า: "บอกตามตรง ก่อนหน้านี้ความจริงข้าอยากจะยอมแพ้เรื่องของเจ้าแล้ว เพราะเห็นว่าในสายตาของเจ้ามีแต่เฉิงสิบเท่านั้น ถ้าหากเป็นคนอื่นข้าจะแย่งมาโดยไม่สนวิธีการ แต่ว่าเฉิงสิบเป็นพี่น้องของข้า ถ้าหากเขาเองก็ชอบเจ้า ข้าก็ทำได้แค่อวยพรพวกเจ้าเท่านั้น"
ความจริงแล้วอิ้นเหยาเฟิงก็รู้ถึงความรู้สึกที่โหลวซิ่นมีต่อตนเอง นางไม่ใช่ตุ๊กตาดินเผาเสียหน่อย ไหนเลยที่จะไม่รู้เลยสักนิด? แต่ว่าก็เหมือนอย่างที่โหลวซิ่นพูดมา เมื่อก่อนในสายตาในใจของนางมีเพียงเฉิงสิบเท่านั้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางกลับรู้สึกสับสนในใจขึ้นมา
"เช่นนั้นแล้วตอนนี้ทำไมเจ้าถึง......"
"เฉิงสิบเจ้าตอไม้คนนั้น ข้าสงสัยว่าเขาไม่คิดที่จะแต่งงานมีลูกด้วยซ้ำ ครั้งก่อนเขาเคยคุยกับข้า เขาไม่มีแผนเช่นนี้ เขาแค่อยากเป็นองครักษ์ของจักรรพดินีไปชั่วชีวิต ข้าไม่อยากให้สุดท้ายเจ้าต้องเสียใจ เหยาเฟิง เจ้าเชื่อข้าเถอะ ข้าจะดีกับเจ้าแน่นอน ถึงแม้ในใจของเจ้าในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ข้าก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถรอได้ ขอเพียงแค่เจ้าให้โอกาสนี้กับข้าก็พอ"
......
เมื่อพวกเขาออกจากตระกูลโหลอีกครั้ง ออกเดินทางไปยังสุสานของตระกูลโหล นั่งอยู่ในรถม้า อิ้นเหยาเฟิงยังรู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อย นางลูบไปที่แขนโดยสัญชาตญาณ ตรงนั้น ดูเหมือนยังมีความอบอุ่นจากฝ่ามือของโหลวซิ่นหลงเหลืออยู่เลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ