ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาพลันเห็นประตูเมืองเปิดออก มีรถม้าคันหนึ่งควบออกมา สี่มุมของตัวรถม้าล้วนแขวนตะเกียงอันเล็กไว้ ผ่านการขยับของรถม้า ตะเกียงไฟไหวเอนแผ่วเบา รถม้าคันนั้นค่อยๆคืบคลานมาทางพวกเขาอย่างไม่เร็วไม่ช้า
"ต้องเป็นพี่รั่วหวามาด้วยตัวเองแน่" หยุนฉิงเอ๋อร์กระโดดลงจากรถม้าอย่างยินดี หยุนผิงกับหยุนชุ่ยรีบกระโดดตามลงไป
โหลชีบิดขี้เกียจเล็กน้อย "หยุนฉิงเอ๋อร์นี่ไร้เดียงสาจริงๆ" นางไม่เคยคิดเลยรึว่า เดิมต้องเป็นหยุนรั่วหวานั่นเข้าหุบเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นหญิงบรรณาการ แต่อีกฝ่ายกลับหาคู่หมั้นก่อนเวลานั้น เลยทำให้นางต้องเป็นหญิงบรรณาการแทน ไม่ถือว่าหยุนรั่วหวาทำร้ายนางหรือไง?
อีกฝ่ายต่อให้ไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่มีทางรักใคร่ไยดีนางแบบพี่น้องมากนักหรอก
ดังนั้นถึงโหลชีจะยังไม่ได้พบหน้าหยุนรั่วหวานั่น ก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรด้วย พวกเขาเองก็ไม่คิดจะลงจากรถม้าต้อนรับหยุนรั่วหวา ต่อให้จะอาศัยอีกฝ่ายเข้าเมืองมาได้ก็ตาม
รถม้าคันนั้นมาหยุดลงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว คนขับรถเห็นว่าเป็นขบวนรถม้าหลายสิบคน ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ
เขามองผู้ชายที่นั่งบนม้างามด้านหน้าสุด เอียงคอหันบอกคนในรถม้าเสียงเบา
หยุนฉิงเอ๋อร์กับหยุนผิงหยุนชุ่ยวิ่งเข้ามาแล้ว
"พี่รั่วหวา!"
ม่านรถถูกมือขาวบางข้างหนึ่งเปิดออกแผ่วเบา ข้อมือเล็กเรียวนั้นสวมกำไลหยกงามอันราบรื่นเป็นประกาย ดูแล้วหรูหรายิ่งนัก
เห็นแค่มือนี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าของมือนั้นต้องงดงามมีราศีแน่
สายตาองครักษ์อวิ๋นวาบไหวเล็กน้อย และเห็นสตรีนางหนึ่งในชุดสีม่วงปักลายดอกชบาสีขาว พร้อมผูกเสื้อคลุมสีขาวออกจากรถม้า
นางทำผมทรงหลิวหยุนจี้ บนผมปักดอกไม้หยกสีชมพูดอกหนึ่ง ด้านบนประดับหยกงาม ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียง สะท้อนดวงตาสดใสของนาง เป็นความสวยงามประหนึ่งก้อนเมฆยามเช้ามืด
เป็นสาวงามคนหนึ่งจริงๆ
หยุนรั่วหวาเห็นองครักษ์คนแรก นางยิ้มน้อยๆ ยกสองมือคารวะ ผงกหัวเล็กน้อยพลางว่า "คุณชายท่านนี้ส่งพวกน้องสาวข้ากลับมาใช่หรือไม่? รั่วหวาซาบซึ้งยิ่งนัก"
บาดแผลขององครักษ์อวิ๋นรักษาหายแล้ว ก็เป็นบุรุษใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง ราศีไม่ธรรมดา หยุนรั่วหวาจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนายท่านของคนพวกนี้ก็ไม่แปลก
"แม่นางเกรงใจแล้ว นายท่านและฮูหยินของพวกข้าเหน็ดเหนื่อยรอนแรมมา คงมิลงจากรถแล้ว ขอแม่นางโปรดเห็นใจด้วย" อวิ๋นพูดเสียงเรียบ
คำพูดนี้เป็นการบอกหยุนรั่วหวากลายๆว่า เขาไม่ใช่เจ้านาย
หยุนรั่วหวาได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป ไม่คิดว่าบุรุษสง่างามเยี่ยงนี้กลับเป็นเพียงแค่องครักษ์เท่านั้น?
"พี่รั่วหวา พวกเราเข้าเมืองกันก่อนเถิด" หยุนฉิงเอ๋อร์ดึงชายเสื้อนางเบาๆ
หยุนรั่วหวามาแล้ว พวกนางสามคนก็ไม่กล้าขอขึ้นรถม้าพวกโหลชีอีก ทั้งสามคนขึ้นรถม้าหยุนรั่วหวา ทยอยกันเข้าเมือง
พวกโหลชีก็ตามเข้าเมืองด้วย
ตอนเข้าเมืองเพราะจำนวนคนพวกเขาไม่น้อย หยุนรั่วหวาอธิบายกับทหารเฝ้าเมืองหลายประโยค และไม่รู้ว่ายื่นอะไรให้ไป ถึงยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามาได้
ในรถม้า หยุนรั่วหวามองพวกหยุนฉิงเอ๋อร์สามคน ถามเสียงเรียบว่า "อีกฝ่ายเป็นใครกัน?"
"พวกข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจที่มาของพวกเขา แต่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ข้าเดาว่าอาจจะเป็นตระกูลใหญ่ซ่อนเร้น" หยุนฉิงเอ๋อร์บอก พลางคิดถึงท่าทีเฉินซ่า ตอนนี้นางยังสั่นระทึกในใจอยู่เลย
"ตระกูลใหญ่?" หยุนรั่วหวามุมปากกระตุก สายตามีแววเย้ยหยันและไม่พอใจที่คนอื่นมองไม่เห็น "หากเป็นตระกูลใหญ่จริ งมีหรือจะไม่รู้จักมารยาทเยี่ยงนี้?"
ถึงพวกเขาจะพาพวกหยุนฉิงเอ๋อร์มาส่ง แต่ในตอนที่ได้รับความช่วยเหลือให้เข้าเมือง กลับไม่คิดจะเผยหน้ามาขอบคุณสักคำ ตระกูลใหญ่ที่ไหนไม่รู้มารยาทเยี่ยงนี้บ้าง?
อีกอย่าง นางเองก็มิใช่คนธรรมดา นางเป็นบุตรสาวหัวหน้าเผ่าเผ่ามนต์ขาว
อันที่จริงฐานะของเผ่ามนต์ขาวในแผ่นดินใหญ่หลงหยินไม่ถือว่าสูงมาก แต่เพราะมีหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ เพราะของล้ำค่าเหล่านั้น แปดราชตระกูลเลยค่อนข้างไว้หน้าพวกเขาพอสมควร
แต่ เรื่องพวกนี้ของเหล่านี้มีแต่ราชวงศ์และตระกูลใหญ่ถึงจะรู้ เพราะมันมีจำนวนน้อย คนส่วนมากเลยไม่ค่อยเข้าใจ ดังนั้น เผ่ามนต์ขาวส่งคนในเผ่าออกไปทำงานให้กับขุนนางและพวกคนมีเงินในทุกที่เป็นเวลานาน เพื่อเสริมสร้างชื่อเสียง ใช้มนต์ รับของกำนัลบ้าง และเพื่อเป็นน้ำใจบ้าง
อย่างเช่นเรื่องที่พวกหยุนฉิงเอ๋อร์สามคนทำก่อนหน้านี้ ช่วยจัดการเหล่าสนมชายที่สูญเสียการควบคุมเพราะโดนมนต์ดำมากเกินไป
เพราะเยี่ยงนี้ นางถึงสามารถอาศัยหน้าฮูหยินเจ้าเมือง เปิดประตูเมืองในเวลากลางคืน รับพวกโหลชีเข้าไป แต่หยุนรั่วหวาไม่คิดว่าพวกโหลชีจะมากันมากมายขนาดนี้ ยี่สิบสามสิบคนแถมแต่ละคนท่าทางองอาจแข็งแกร่ง หัวใจทหารเฝ้าเมืองเต้นเป็นกลองเพล ดังนั้นนางเลยต้องให้คำมั่นแก่ทหาร รับปากว่าพรุ่งนี้จะช่วยเขาทำมนต์ดวงชะตาในงานราชการสักครั้ง ถึงทำให้อีกฝ่ายยอมปล่อยพวกเขาเข้ามา
ที่ทำให้นางโมโหคือ นางทำสิ่งเหล่านี้เพื่ออีกฝ่าย แต่นายท่านของอีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามา วางท่ามากเกินไปแล้ว
พวกหยุนฉิงเอ๋อร์กับหยุนผิงสามคนกลับไม่กล้าพูดอะไร พวกนางไม่รู้ที่มาของโหลชีกับเฉินซ่าจริงๆ แม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่ายก็ไม่รู้ แต่กลับรู้ว่าไม่ใช่คนที่สามารถหาเรื่องได้เลย
เพียงแต่เห็นสีหน้าหยุนรั่วหวาในตอนนี้ พวกนางก็รู้ว่านางคงโมโหแล้ว หยุนฉิงเอ๋อร์รีบเปลี่ยนเรื่องทันที "พี่รั่วหวา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนรึ? ท่านพักที่โรงเตี๊ยมหรือ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ