ในวังหลวงของซวนหยวน ในที่สุดโหลฮ่วนเทียนซึ่งแต่งกายในชุดไท่จื่อก็ดักตัวซวนหยวนคงที่สองสามมานี้คอยหลบเลี่ยงเขาตลอดเอาไว้ได้ ขวางเขาเอาไว้ที่หลังเขาตำหนักชิงฉวน
ตำหนักชิงฉวนเดิมทีเป็นตำหนักน้ำพุร้อนที่สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงน้อย ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จก็เกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นก็เลยปิดผนึกมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเขากลับมาครั้งนี้ถึงเพิ่งเปิดผนึกมันออก ซวนหยวนคงจะเข้ามาดูเป็นระยะๆ
"เสด็จอา ท่านจะหลบข้าทำไมกันแน่?"
โหลฮ่วนเทียนเห็นเขาถือขวดใหญ่เอาไว้ในมือข้างละขวด อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้: "ท่านคงไม่ได้หลบมาดื่มเหล้าใช่ไหม?"
"เจ้าเด็กบ้านี่ ข้าเหมือนคนที่จะแอบดื่มเหล้าหรือ?" ซวนหยวนคงกลอกตามองเขาครู่หนึ่ง: "อีกอย่าง หากไม่ใช่เจ้าเพราะเอาแต่ตามข้าถามเรื่องน่าขายหน้าของเสี่ยวชีตอนเด็กๆ ข้าจะหลบเจ้าทำไม?"
ไม่รู้จริงๆว่าคนที่เป็นพี่ชายคนนี้เอาความสนใจมากมายขนาดนี้มาจากไหน ราชวงศ์ซวนหยวนในตอนนี้ยังมีเรื่องอยู่อีกมาก เขากลับยังสามารถหาเวลามาถามเรื่องราวใหญ่น้อยตลอดการเติบโตของชีชีได้ ฟังคร่าวๆจบไปรอบหนึ่ง ยังเอาแต่ตามถามเรื่องน่าขายหน้าของชีชี
หากมันมีเรื่องน่าอายหน้ามากมายขนาดนั้นก็ยังดีหน่อย เขารับประกันว่าพูดแน่! ปัญหาคือนังหนูนั่นฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบราวกับปีศาจมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้มีเรื่องน่าอายขนาดนั้นเลยนี่นา! หากพูดถึงเรื่องน่าขายหน้า ตรงกันข้ามเขากลับถูกนางแกล้งมากว่าเสียอีก!
ดังนั้นเขาย่อมต้องหลบอยู่แล้ว
"ครั้งนี้ไม่ได้ถามเรื่องน่าขายหน้าของเสี่ยวชี" โหลฮ่วนเทียนกลับมีท่าทางที่จริงจังมาก "ครั้งก่อนคนที่เสี่ยวชีบอกว่า สามารถฆ่านางได้ครั้งหนึ่งก็สามารถฆ่านางครั้งที่สองได้คือใคร?"
ในเรื่องนี้ ซวนหยวนคงไม่ได้เล่าให้เขาฟังเลย สองวันนี้เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ หรือว่าวิญญาณต่างโลกตนนั้น เคยตายด้วยน้ำมือของเสี่ยวชีหรือ?
นางก็เคยไปโลกที่เสี่ยวชีกับเสด็จอาเคยไปหรือ?
ซวนหยวนคงได้ยินคำพูดก็ตะลึงงันไป จากนั้นโหลฮ่วนเทียนก็พบว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยน่าดูขึ้นมาเล็กน้อย
"ข้าเคยรับปากชีชี ไม่ว่ากับใครก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก"
"ไม่เอ่ย แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร? ถ้าหากเป็นคนที่นางเคยฆ่าคนนั้นจริงๆ แต่ข้าไม่รู้อะไรเลย แล้วจะช่วยนางอย่างไร?" โหลฮ่วนเทียนเห็นดังนั้น ในใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา หรือว่าเมื่อก่อนเสี่ยวชียังเคยเจอกับเรื่องที่มันสยดสยองน่ากลัวอะไรเข้า ถึงกับกลายเป็นปมที่ไม่สามารถเอ่ยขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ?
สายตาของซวนหยวนคงหนักอึ้ง ดูเหมือนจะไม่มีที่ให้หยุดลงมา นึกถึงประสบการณ์ในตอนนั้น ทำให้อารมณ์ของเขาจมดิ่งลงมาเช่นกัน
โหลฮ่วนเทียนก็ไม่เร่งรัดเขา ถึงอย่างไรเขาไม่พูด เขาไม่ไป ดูว่าใครจะดื้อด้านมากกว่ากัน เรื่องของเสี่ยวชีเรื่องนี้สำคัญมาก เขาจะต้องรู้ให้ได้
หลังจากผ่านไปนานพักใหญ่ ซวนหยวนคงถึงได้เอ่ยปาก
"ตอนที่ชีชีอายุได้สิบขวบ เคยตกเป็นเป้าหมายขององค์กรลึกลับองค์กรหนึ่ง"
ประโยคแรกที่พูดออกมาก็ทำให้โหลฮ่วนเทียนใจเต้นตึกตักขึ้นมา
แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่า ภายใต้เทคโนโลยีชั้นสูงในยุคปัจจุบัน องค์กรลึกลับเช่นนั้นน่ากลัวขนาดไหน ทรงพลังอำนาจมากจนเกินไป ในครั้งนั้น โหลชีเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
"โลกใบนั้นเจ้าไม่สามารถจินตนาการออกมาได้อย่างแน่นอน ตอนที่ข้าเพิ่งจะพานางข้ามไป ก็ตกใจจนต้องหลบเข้าไปอยู่ในภูเขา หนึ่งปีกว่าก็ยังไม่กล้าออกมา" ซวนหยวนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งจะถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดใหม่ๆ ในตอนนั้นเขารู้สึกกลัวจริงๆ
ตึกที่สูงขนาดนั้น หนาทึบเต็มไปหมด เวลานั้นเขาไม่รู้จักกระจก เห็นอาคารมากมายล้วนมีกระจกเป็นผนังด้านนอก ถูกแสงแดดส่องประกายเจิดจ้า เขาลืมตาไม่ขึ้นเลย ยังมีรถยนต์ที่สัญจรไปมาบนถนน รถประจำทาง มีรถจักรยานยนต์วิ่งฉิวผ่านข้างกายของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขานึกว่าวิชาตัวเบาของคนที่นั่นร้ายกาจขนาดนั้น เป็นเหตุให้เขารู้สึกว่าอยู่ที่นั่นวรยุทธและการฝึกตนของตนเองถือว่าแย่มากอยู่นานพักใหญ่ และก็ไม่กล้าที่จะลงมือพร่ำเพรื่อเลย
คนยุคโบราณคนหนึ่งไปถึงยุคปัจจุบัน ผลกระทบสารพัดต่างๆที่ได้ประสบพบเจอนั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคจริงๆ
ดังนั้นช่วงปีแรกๆเขาก็สอนชีชีอย่างรีบเร่งมาก นอกจากรู้สึกว่านางมีภารกิจของนาง ต้องกลับไปสู่หลงหยินแล้ว ก็มีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกตกตะลึงที่มีต่อโลกใบนั้นอย่างมาก
ชีชีอายุไม่เท่าไหร่ก็เริ่มทำภารกิจแล้ว นั่นก็มีความเกี่ยวข้องกับการสั่งสอนที่ผิดพลาดของเขาเช่นกัน เพราะว่าเขานึกว่าคนในยุคปัจจุบันล้วนมีการฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก พวกเขายังอ่อนหัดนัก ดังนั้นในตอนแรกที่เขาสอนชีชี คือต้องพยายามอย่างเต็มกำลัง
พยายามอย่างเต็มกำลัง
นี่คือความผิดพลาดมากมายขนาดไหน
ต่อมาองค์กรลึกลับนั่นตามหามาถึง พวกเขาถึงได้พบว่า เด็กที่อายุไม่กี่ขวบออกปฏิบัติภารกิจ สามารถไปมาได้อย่างอิสระในอาคารที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ได้รับความคุ้มครองอย่างแน่นหนา นั่นเป็นเรื่องที่ขัดต่อวิถีแห่งสวรรค์ขนาดไหน!
และเป็นเพราะนางเก่งกาจยอดเยี่ยมเช่นนั้น ถึงได้ตกเป็นเป้าของผู้หญิงคนนั้น
โหลฮ่วนเทียนฟังไปฟังมา คิ้วก็ขมวดขึ้นมาเช่นกัน
"ผู้หญิงคนนั้นเป็นบุคคลที่มีความทะเยอทะยานที่บ้าคลั่งคนหนึ่ง เป็นอัจฉริยะทางยารักษาล้ำสมัยที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ นางรู้จักสุดยอดอัจฉริยะที่บ้าคลั่งเหมือนกันมากมาย ก่อตั้งเป็นองค์กรลึกลับดังกล่าวขึ้นมา ทำการวิจัยต่างๆ พวกเขาค้นหาคนที่มีพรสวรรค์ที่ขัดต่อวิธีแห่งสวรรค์ต่างๆไปทั่วทุกหนทุกแห่ง คนที่ยินดีเข้าร่วมกับพวกเขา ก็จะกลายเป็นหุ้นส่วน คนที่ไม่ยินยอม ก็จะกลายเป็นหนูทดลองให้กับพวกเขา พวกเขาถูกใจชีชี ข้าย่อมไม่เต็มใจที่จะส่งชีชีไปให้คนประเภทนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาก็เลยคิดอยากจะจับชีชีไปเป็นหนูทดลอง"
"หลังจากนั้นล่ะ?"
"พวเราซ่อนตัว แต่ว่าในเวลานั้นชีชียังเด็ก เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ หลังจากนั้นสองปี นางก็รับภารกิจมา มีลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งถูกผู้หญิงคนนั้นจับตัวไป เศรษฐีไม่เพียงไม่แจ้งความ ยังว่าแจ้งทหารรับจ้างให้เข้าไปช่วยในราคาที่สูง ฆ่าเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นไปสองคน เพราะเหตุนี้ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นโกรธขึ้นมา นางจึงตัดแขนตัดขาเด็กที่อายุแค่หกขวบคนนั้นด้วยตัวเอง แถมยังถ่ายเป็นคลิปวีดีโอส่งไปให้แม่ของเด็ก แม่ของเด็กคนนั้นทนรับความกระทบกระเทือนทางจิตใจนี้ไม่ไหว เสียสติไป เศรษฐีโศกเศร้าและเสียใจมาก ว่าจ้างชีชี จะเอาชีวิตของผู้หญิงคนนั้น"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ