อวิ๋นลิ่วร้อนใจยิ่งนัก เขาคิดจะออกเดินทางเสียวันนั้นเลย แต่กลับถูกโม่อวิ๋นจิ่งห้ามเอาไว้
"ขายเนื้อเสือกับหนังเสือแล้วแลกเปลี่ยนพวกมันมาเป็นอาหารก่อนเถอะ"
"ขอรับ"
"ก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง จงขึ้นเขาไปจับสัตว์ป่ามาขังเอาไว้ในลานเรือนสักจำนวนหนึ่ง อย่าปล่อยให้ถังถังต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์"
อวิ๋นลิ่วผงกศีรษะ "รับทราบขอรับ"
ตอนนี้อวิ๋นลิ่วเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดว่านายท่านของตนจะไม่ต้องตาย ก็ราวกับมีเพลิงอัคคีลุกโชนอยู่ในใจ
ในวันเดียวกันนั้นเอง อวิ๋นลิ่วก็ขายเนื้อเสือกับหนังเสือแล้วซื้อสมุนไพรที่อันเสวี่ยถังต้องการมาอีกมากมาย เขายังซื้ออาหารซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้าวขาวกับแป้ง เพื่อให้พวกเขาสองคนเพียงพอที่จะกินไปได้ถึงสามเดือน
ถึงจะขายเนื้อเสือกับหนังเสือได้เงินทั้งสิ้นแปดสิบตำลึง แต่ก็ซื้อสมุนไพรไปสามสิบตำลึงและซื้อเครื่องปรุงรสอาหารอีกสามตำลึง
อวิ๋นลิ่วมอบเงินที่เหลือสี่สิบเจ็ดตำลึงให้แก่อันเสวี่ยถัง แต่อันเสวี่ยถังต้องการเพียงเจ็ดตำลึงและที่เหลืออีกสี่สิบตำลึงก็ให้เขาเก็บเอาไว้ ยามที่เขาออกไปข้างนอกจะไม่มีเงินติดตัวเอาไว้เสียบ้างได้อย่างไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องซื้อดอกเป้ยหมู่อีกนะ
อวิ๋นลิ่วมิได้ปฏิเสธ แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไป ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่ออันเสวี่ยถังก็เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น อวิ๋นลิ่วก็ขึ้นเขาไปจับไก่ป่ากับกระต่ายป่าอีกอย่างละหลายสิบตัวมาขังไว้ในลานเรือน
เมื่ออันเสวี่ยถังเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขา ก็ครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเข้าครัวไปทำเล่าปิ่ง1มาให้เขา
ยามเช้าตรู่ของวันที่สาม หลังอาหารมื้อเช้า อวิ๋นลิ่วก็เก็บสัมภาระห่อเล็กๆ แล้วเตรียมตัวออกเดินทาง
"นายท่าน บ่าวย่อมต้องได้ดอกเป้ยหมู่กลับมาแน่ ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ"
"ได้ เจ้าก็ระวังตัวเองด้วยเล่า" โม่อวิ๋นจิ่งเงยหน้ามองเขา "อวิ๋นลิ่ว เจ้าติดตามข้ามากี่ปีแล้ว?"
"เรียนนายท่าน ข้าติดตามท่านมาตั้งแต่อายุห้าปี จนยามนี้อายุสิบห้าปีแล้วขอรับ"
"อืม เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าคิดจะเอ่ยสิ่งใด ถ้าหากนี่คือชะตากรรมของข้า เจ้าก็ควรจะกลับไปหาพวกเขาเสีย ข้าฉีกหนังสือสัญญาของเจ้าทิ้งไปตั้งนานแล้ว เจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ย่อมได้ หามีผู้ใดเหนี่ยวรั้งตัวเจ้าไว้ได้ทั้งนั้น"
"นายท่านขอรับ!" อวิ๋นลิ่วพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว "บ่าวย่อมต้องเอาดอกเป้ยหมู่กลับมาถอนพิษของท่านได้แน่"
โม่อวิ๋นจิ่งโบกมือ "ไปเถอะ"
เขารู้นิสัยของอวิ๋นลิ่วดีกว่าผู้ใด ไม่ว่าเขาจะเอ่ยไปมากมายสักเพียงใด ขอเพียงมีประกายแสงแห่งความหวัง เขาก็จะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด
อวิ๋นลิ่วจึงประสานมือพลางกล่าวว่า "นายท่าน ได้โปรดดูแลตนเองด้วยนะขอรับ"
หลังจากเขาพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
อันเสวี่ยถังกำลังรอคอยอยู่ในลานเรือน เมื่ออวิ๋นลิ่วเดินออกมา นางก็ยื่นห่อสัมภาระให้ "นี่เป็นอาหารแห้งที่ข้าเตรียมมาให้เจ้ากินระหว่างทาง ซาลาเปาเก็บได้ไม่นานนัก เจ้าควรจะกินให้หมดก่อนวันพรุ่งนี้ แต่ขนมอบยังเก็บเอาไว้ได้อีกหลายวันเชียวล่ะ”
"ขอบคุณ พี่สะใภ้" อวิ๋นลิ่วน้ำตาคลอเบ้า หลังจากขอบคุณนางแล้ว เขาก็รับห่อสัมภาระมาแล้วรีบออกเดินทางโดยมิกล้าเงยหน้ามองอันเสวี่ยถัง
เพราะเกรงว่านางจะเห็นสภาพน่าอับอายของเขา
อันเสวี่ยถังมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง นางบอกได้เลยว่าความรู้สึกที่อวิ๋นลิ่วมีต่ออาจิ่งนั้นมาจากใจจริง
ไม่เหมือนกับ... ผู้ที่นางมักจะเห็นเป็น 'เพื่อนสนิท' มาโดยตลอด แต่กลับผลักนางตกจากหน้าผาด้วยมือตัวเอง พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาก็พาลให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน!
…
เมื่ออันเสวี่ยถังกลับมาถึงเรือน นางก็มองโม่อวิ๋นจิ่งที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาสงบนิ่ง " จากที่นี่เดินทางไปสู่อวิ๋นหนานใช้เวลานานสักเพียงใดหรือ?"
"อย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งเดือน"
อันเสวี่ยถังนั่งลงข้างๆ เขาพลางจับมือของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วจับชีพจร "พิษของท่านอาจจะคงอยู่ถึงครึ่งปี ถึงตอนนั้นข้าหวังว่าเขาจะเอาดอกเป้ยหมู่กลับมาได้"
ดวงตาลึกล้ำดำมืดของโม่อวิ๋นจิ่งหรี่ลงเล็กน้อย "ถังถัง ถ้าหากข้ารักษาไม่หาย เจ้าจะเสียใจหรือไม่?"
อันเสวี่ยถังหลุบตาลงแล้วใคร่ครวญถึงคำพูดของเขา "ข้าก็คิดเช่นนั้น"
อย่างไรเสียเขาก็เป็นแค่คนในโลกอีกใบที่มีน้ำใจกับนาง
โม่อวิ๋นจิ่งยิ้มเล็กน้อย "เช่นนั้นข้าก็ตายไม่ได้ เพราะข้าไม่อาจทนเห็นถังถังต้องเศร้าใจได้"
"..."
เขาเกี้ยวพานนางอยู่ใช่หรือไม่?
อันเสวี่ยถังยิ้มให้ "ที่แท้อาจิ่งใช่เพียงแค่รูปงามเท่านั้น แต่ยังเป็นบุรุษอบอุ่นอีกต่างหาก"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ้านอาจิ่งมีหมอเทวดา
ลงต่อไหมคะ...