อันเสวี่ยถังเข้ามาในหุบเขาลึก เจ้าของร่างเดิมทำงานราวกับสาวใช้มาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าความแข็งแรงของร่างกายจะเทียบมิได้กับอันเสวี่ยถังในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทว่าพลกำลังก็แทบไม่เป็นที่น่าพอใจเลย
ทันทีที่นางเข้ามาในหุบเขา นางก็เริ่มค้นหาสมุนไพร การตรากตรำของนางให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ไม่นานนางก็เก็บสมุนไพรหายากได้มากมาย แต่สมุนไพรเหล่านี้ก็ได้แต่ระงับพิษในร่างของโม่อวิ๋นจิ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าไม่สามารถรักษาได้
ถ้าคิดจะถอนพิษให้เขาจนหมดเกลี้ยง นางต้องใช้สมุนไพรที่ชื่อเรียกว่าดอกเป้ยหมู่ แต่ที่นี่คือแดนเหนือและดอกเป้ยหมู่ส่วนใหญ่จะเติบโตในแดนใต้ซึ่งนับว่ายุ่งยากทีเดียว
ตอนที่อันเสวี่ยถังเก็บสมุนไพรลงในตะกร้าสะพายหลังก็เห็นว่ายังเช้าอยู่ ดังนั้นนางจึงเดินวนอีกรอบ แต่คราวนี้มีเป้าหมายเพื่อหาของกิน
บางทีอาจเป็นเพราะมีน้อยคนนักที่จะเข้ามาในหุบเขาลึก อันเสวี่ยถังจึงพบเจอผักป่า เห็ดต่างๆ และเห็ดหูหนูได้อย่างรวดเร็ว
มิทราบว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่กลับมีเห็ดมากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้คนที่นี่จะไม่รู้ว่าเห็ดสามารถกินได้?
อันเสวี่ยถังเก็บเห็ดต่างๆ รวมทั้งเห็ดหูหนูและผักป่าอีกหลายกำ แล้วมุ่งหน้าเดินลงเขาไป
ตอนที่ลงเขามา อันเสวี่ยถังก็เห็นหวังซื่อท่านย่าแท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิมมาแต่ไกล
นางจึงมีสีหน้าขุ่นเคืองและแฝงเจตนาร้าย
เมื่อวานเป็นหญิงชราผู้นี้เองที่แบกนางไปที่บ้านของโม่อวิ๋นจิ่ง ยามที่อันเสวี่ยถังนึกถึงคำด่าที่อีกฝ่ายสบถไปตลอดทาง นางก็ถึงกับหรี่ตา
นางมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม และทราบว่าหวังซื่อผู้นี้กระทำอันใดกับเจ้าของร่างเดิมบ้าง
อันเสวี่ยถังรู้สึกรังเกียจนางอย่างสุดซึ้ง หวังซื่อที่น่าตายผู้นี้เอาแต่ข่มเหงรังแกเจ้าของร่างเดิมกับมารดาของนางจนถึงตาย
มารดาของเจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีในยุคศักดินาขนานแท้ที่รู้เพียงแค่วิธีปฏิบัติตตามหลักจรรยาและความกตัญญูของสตรี ต่อให้นางถูกทุบตีและด่าทอก็มิกล้าพูดอันใดสักคำ ช่างขี้ขลาดยิ่งนัก!
ทว่ายามนี้ อันเสวี่ยถังใช่ว่าจะมาเกะกะระรานกันได้ง่ายๆ เมื่อวานนี้หวังซื่อกล้าโยนนางลงกับพื้นราวกับเศษขยะ เช่นนั้นวันนี้อีกฝ่ายก็เตรียมตัวรับบทลงโทษได้เลย
อันเสวี่ยถังเหลือบมองงูเขียวที่อยู่ตรงเท้าแล้วยิ้ม ถึงแม้ว่างูเขียวจะไม่มีพิษ แต่ก็แลดูน่าขยะแขยง
หลังจากหวังซื่อพูดคุยกับผู้อื่นสักพัก นางก็ก้าวเท้าเตรียมลงเขา นางเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็มีงูพุ่งเข้าจู่โจมใส่จากข้างหลัง เสียงฟิ้วแหวกผ่านอากาศแล้วปะทะใส่หน้าของหวังซื่ออย่างเหมาะเจาะและแม่นยำ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในนชั่วเวลาสั้นๆ
หวังซื่อกรีดร้องและเมื่อก้มมหน้าลงก็เห็นงูตัวหนึ่ง นางจึงอดมิได้ที่จะส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป
เหล่าสตรีที่กำลังพูดคุยกับอีกฝ่ายก็ถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทำเอาหวาดกลัวจนวิ่งหนีไปเช่นกัน
อันเสวี่ยถังยิ้มด้วยท่าทีพึงพอใจ เมื่อเห็นหวังซื่อถึงกับเป้าเปียกชื้น นางก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา
คนผู้นี้หวาดกลัวง่ายเกินไปแล้ว
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้อันเสวี่ยถังอารมณ์ดี ขณะที่นางลงเขามาก็แทบจะฮัมเพลงไปตลอดทาง
เมื่อนางกลับมาถึงเรือนหลังเล็ก โม่อวิ๋นจิ่งยังคงอยู่ในเรือน ทว่ายามนี้เขากลับหน้าตาซีดขาวจนแลดูผิดปกติ
อันเสวี่ยถังก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วนางก็รีบวางตะกร้าสะพายหลังแล้ววิ่งเข้ามาหา "อาจิ่ง ท่านเป็นอันใดไป?"
โม่อวิ๋นจิ่งเงยหน้ามองนางด้วยท่าทีอ่อนแรง สีหน้ากังวลใจมิได้แลดูเหมือนเสแสร้งแกล้งทำ เขาตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วส่ายหน้า "หาเป็นอันใดไม่"
ในเมื่อเขามีสภาพเป็นแบบนี้แล้วจะหาเป็นอันใดไม่ได้อย่างไรกันเล่า!
อันเสวี่ยถังกลอกตาอย่างมีโทสะ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องพิษเมื่อไม่นานมานี้
"หนาวหรือไม่? ข้าจะพาท่านเข้าไปนอนพักในเรือนก่อน" อันเสวี่ยถังกล่าวพลางเข็นเขาเข้าไปในเรือน
ถ้านางวินิจฉัยไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่เขาถูกพิษเล่นงานใส่ คงจะหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกไปทั่วทั้งร่าง
หลังจากนั้น เขาก็จะรู้สึกมีไข้ทั่วร่างกาย คล้ายกับอาการไข้ขึ้นสูง
เมื่อเข็นเขามาถึงขอบเตียง อันเสวี่ยถังก็พยายามยกตัวเขาขึ้นแล้วลากเขาไปที่เตียง
ดูเหมือนว่าเขา... ชักจะไม่อยากปล่อยนางไปเสียแล้ว
…
อันเสวี่ยถังค้นหาไปทั่วครัวอีกครั้ง นางอยากจะหาอันใดกินสักหน่อย แต่กลับพบว่าในเรือนเหลือเพียงข้าวขาวเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงได้แต่ใช้มันต้มโจ๊กแล้วเติมเห็ดและสมุนไพรลงไปในโจ๊ก
อวิ๋นลิ่วเข้าเมืองไปแลกอาหารและยังไม่กลับมา ดังนั้นอันเสวี่ยถังจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจัดการกับกระต่ายป่าในลานเรือนด้วยตนเอง
เนื่องจากไม่มีพริกไทย นางจึงทำเนื้อกระต่ายเผ็ดอย่างที่อยากจะทำมิได้ สุดท้ายนางจึงได้แต่ตุ๋นเนื้อกระต่ายพร้อมกับเห็ดหูหนู
หลังจากทำอาหารเสร็จ โม่อวิ๋นจิ่งก็ฟื้นตัวแล้ว เขามองอันเสวี่ยถังด้วยสายตาที่มิได้ปิดบัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภาพที่ป้อนยาให้เขาก็ผุดขึ้นมาในสมองของอันเสวี่ยถัง ทำให้หูของนางก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ
"กะ... กินเถอะ"
โม่อวิ๋นจิ่งค่อยๆ ถอนสายตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "ถังถัง ผลักรถเข็นเข้าไปทีสิ"
เสียงเรียกถังถังทำเอากระดูกของอันเสวี่ยถังแทบอ่อนปวกเปียก
โอ้สวรรค์!
เพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้น ไฉนจึงฟังดูอบอุ่นและสนิทสนมราวกับอยู่ในคิมหันตฤดูซึ่งหลอมละลายความหนาวเหน็บแห่งเหมันตฤดูให้อันเสวี่ยถัง
นับเป็นครั้งแรกที่อันเสวี่ยถังได้รู้ว่าชื่อเล่นของนางไพเราะถึงขนาดนั้น
เมื่อเห็นนางยืนนิ่ง โม่อวิ๋นจิ่งยิ้มโดยไม่รู้ตัว "ถังถัง?"
______________________________
1 1 เค่อ เทียบเท่า 15 นาทีตามเวลาปัจจุบัน เป็นการนับเวลาที่คนโบราณใช้มาตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก โดยกำหนดให้ 1 วันเท่ากับ 100 เค่อ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมาได้มีการปรับให้ 1 วัน เท่ากับ 96 เค่อ, 108 เค่อ และ 120 เค่อ จนในสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิงนาฬิกาจากฝั่งตะวันตกได้เริ่มแพร่หลายเข้าสู่จีน ทำให้มีการกำหนดอย่างเป็นทางการว่า 1 วันเท่ากับ 96 เค่อ และแต่ละชั่วยามเท่ากับ 8 เค่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ้านอาจิ่งมีหมอเทวดา
ลงต่อไหมคะ...