นักเดินทางเหล่านั้นสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกได้ สภาวะจิตเหมือนเหล็กแข็งก้อนหนึ่ง ถูกตีขึ้นรูปเข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง ในตอนแรกทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ไม่นานก็มีความรู้สึก ‘จิตใจเบิกบาน เข้าถึงสติปัญญา’
แต่น่าเสียดาย เสียงระฆังดังขึ้นเพียงครู่เดียว ไม่นานนักก็เงียบไป
นี่ทำให้นักเดินทางเหล่านั้นหมดอาลัยตายอยาก แต่จากนั้นต่างกระตือรือร้นและสงสัย เพราะเสียงระฆังมรรคขับขานจิตอัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ
เซียวชิงเหอเองก็ออกจะตระหนกเช่นกัน เร็วขนาดนี้ก็ฝ่าหกด่านแรกของแดนลับเกลาจิตแล้วหรือ
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเดินอยู่ในฟ้าดินเวิ้งว้างแห่งหนึ่งโดยลำพัง แม้ฟ้าดินกว้างใหญ่แต่กลับมีเขาเพียงผู้เดียว เบื้องหลังทั้งหนักแน่นและเดียวดาย
การทดสอบเกลาจิตหกด่านแรก เป็นเพียงสายฟ้าวายุและไฟใต้ดินที่เกิดขึ้นจากภาพมายาบางอย่าง มีผลกับสภาวะจิต แม้จะเคี่ยวกรำแข็งกร้าว แต่หลินสวินจิตหนักแน่นดุจศิลา ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงระฆังมรรคเสียงธรรมนั้นดังขึ้น กลับทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกปลุกด้วยเสียงดังกังวาน เจริญปัญญารู้แจ้ง
จิตใจของเขาเหมือนมีลมเย็นฝนปรอยมาชะล้าง ปัดเป่าความคิดยุ่งเหยิงซับซ้อนออกไป สภาวะจิตก็แปรเปลี่ยนเป็นปราดเปรียวและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น
โครม!
สายฟ้าสะท้านเวิ้งฟ้า พลันแปรเปลี่ยนเป็นเมฆดำ ไม่นานฝนห่าใหญ่เทลงมา ราวน้ำพุจากเก้าชั้นฟ้าไหลลงมาปกคลุมฟ้าดิน
หยาดฝนทุกสายไม่ได้ทำให้อาภรณ์เปียกปอน กลับแปรสภาพเป็นพลังดุดันราวดาบกระบี่ จู่โจมเข้าไปภายในสภาวะจิตของหลินสวิน
หยาดฝนหนาแน่นก็เหมือนกระบี่แหลมคมแน่นขนัดนับหมื่นพันเล่ม สำแดงพลังสังหารน่าครั่นคร้ามแห่งหมื่นกระบี่
สิ่งที่ฆ่า คือจิตใจ!
หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย เดินหน้าต่อไป มองฝนห่าใหญ่เต็มฟ้าเหมือนไม่ดำรงอยู่ การเคลื่อนไหวไม่ส่ายโอนแม้สักนิด สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ลมฝนจากทั่วสารทิศเข้าจู่โจม ตัวข้ามั่นคงไม่หวั่นไหว!
ไม่นานนักเมื่อฝนผ่านไปฟ้าก็โปร่ง ดวงตะวันลอยสูงเหนือเวิ้งฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องสรรพสิ่ง
เพียงแต่แสงอาทิตย์แต่ละแสงนั้นกลับเจือไปด้วยพลังแผดเผาเสียดกระดูก น่ากลัวยิ่งกว่าน้ำฝนนั่นเสียอีก เหมือนจะเผาให้จิตใจคนระเหยหาย
เงาร่างของหลินสวินสูงโปร่ง แผ่นหลังตรงแน่ว เดินหน้าดังเดิม
……
“สหายยุทธ์ที่เข้าไปในหอเกลาจิตเมื่อกี้น่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจผู้หนึ่ง หาไม่แล้วย่อมไม่อาจฝ่าผ่านหกด่านแรกของการทดสอบเกลาจิตได้ในเวลาอันสั้นแน่”
นักเดินทางผู้นั้นยังพูดน้ำไหลไฟดับ “แต่ว่าเท่าที่ข้าดู อย่างมากเขาก็ยืนหยัดได้ถึงแค่การทดสอบด่านที่สิบสอง”
เขาสวมอาภรณ์สีเขียวทั้งชุด รูปร่างผอมบางตัวตรงแน่ว สองมือไพล่หลัง ท่างทางอย่างคนชั้นสูง
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” มีคนสงสัย
“เพราะในด่านที่สิบสองมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘พิบัติผีร้ายแปลงจิต’ ทันทีที่เข้าไป จิตใจจะเหมือนกับตกลงไปในแดนผี เพียงหย่อนยานแค่นิดเดียวก็จะถูกหมื่นภูตผีเข้าจู่โจม ไม่ว่าเจ้าจะมีฝีมือเทียมฟ้าอย่างไรก็ไม่อาจขับไล่ไปได้!”
ชายชราชุดเขียวผู้นั้นวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต “หลายปีมานี้ไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้ามาฝ่าด่านตั้งเท่าไร แต่ที่สามารถฝ่าผ่านด่านนี้ได้กลับมีเพียงสองสามคนเท่านั้น”
“มีคนที่เก่งกาจปานนั้นจริงหรือ” หลายคนตกตะลึง
“แค่เก่งกาจเสียที่ไหน วิปริตเลยต่างหาก! ตัดสินจากประสบการ์ที่สืบทอดกันมาแต่อดีต อย่าว่าแต่ผู้กล้าทั่วไปเลย ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุคที่เป็นยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน คิดจะฝ่าผ่านด่านนี้ก็มีโอกาสไม่เกินห้าส่วน!”
ชายชราชุดเขียวเอ่ยอย่างโอหัง “ข้ากล้ามั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มเมื่อครู่นั่น ย่อมไม่อาจทำให้เสียงระฆังครั้งที่สองดังขึ้นได้”
แกร๊ง!
แต่เขาเพิ่งพูดจบ เสียงระฆังระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น สั่นสะท้านถึงกลางจิตใจ แปลกประหลาดอัศจรรย์
สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายชราผู้ยืนยันมั่นเหมาะผู้นั้น ฝ่ายหลังกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าอึดอัดใจ
นี่มันตบหน้าเขาเกินไปแล้ว เพิ่งสรุปออกมาก็ถูกทำหน้าหงาย จังหวะการตบหน้านี้ออกจะรวดเร็วและรุนแรงเกินไปหน่อยแล้ว
“อะแฮ่มๆ ทุกอย่างไม่แน่นอน ย่อมมีข้อยกเว้น เท่าที่ข้าดู สหายยุทธ์เมื่อกี้ก็เป็นข้อยกเว้นคนหนึ่ง”
เจ้าหมอนี่หน้าด้านหน้าทนนัก ไม่นานก็กลับเป็นเหมือนเดิม เริ่มคุยโวอีกแล้ว
ในขณะเดียวกันภายในแดนลับเกลาจิต รังสีแหลมคมวาบผ่านดวงตาดำของหลินสวิน พูดกับตัวเองว่า ‘ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเทพผีฟ้าดิน พวกผีร้ายจะไปมีค่าอะไรให้พูดถึงกัน”
เขาเดินหน้าต่อ
เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ทำให้จิตใจของเขาราวถูกเคี่ยวกรำเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ขัดเกลาให้เฉียบคมแข็งแกร่งส่องสว่าง
ประหนึ่งคมกระบี่สมบัติที่ผ่านการลับให้แหลมคม!
……
‘ฝ่าผ่านหกด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าแล้ว’
‘ฝ่าผ่านสิบสองด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าหนักแน่นดังภูผา’
‘ส่วนฝ่าผ่านสิบแปดด่านแรก…’
เซียวชิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม พึมพำในใจ ‘ตามที่เล่าขานกันมาแต่โบราณ ผู้ฝ่าผ่านด่านนี้ทุกคนสภาวะจิตเรียกได้ว่า ‘จิตราวคันฉ่องกระจ่างเปล่งรัศมีเรื่อเรือง’ ทั้งถูกเรียกว่าเป็นระดับสว่างไสว’
‘อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น ด้วยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็ครอบครอง ‘จิตกระบี่สว่างไสว’ แล้ว พอฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิต ระฆังมรรคขับขานจิตก็ดังสามครั้ง!’
‘ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้หรือไม่…’ เซียวชิงเหอตั้งตารออยู่ในใจ
“เช่นนั้นเจ้าบอกหน่อยว่าเด็กนี่จะฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้หรือไม่” ใกล้กันนั้น ทุกคนทอดสายตาไปมองชายชราชุดเขียวผู้นั้น
ชายชราชุดเขียวแสยะยิ้มออกมา “ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน วีรชนผู้กล้าหาญเกินใครที่เข้าไปในหอเกลาจิตมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้เดียวที่ฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดในแดนลับได้ อยู่เหนืออดีตและปัจจุบัน เย้ยหยันใต้หล้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ลังเลครู่หนึ่ง นึกถึงประสบการณ์น่าอึดอัดที่เพิ่งถูก ‘ตบหน้า’ ไปเมื่อกี้ จึงพูดอย่างละเอียดรอบคอบว่า “เด็กหนุ่มคนเมื่อกี้นั่นคิดจะทำให้ความผ่าเผยของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้พูดว่าไม่มีหวังนะ เพียงแต่ว่า… ความหวังริบหรี่นักจนแทบไม่มี นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์บังเกิด”
“ถ้ามีปาฏิหาริย์บังเกิดกับคนผู้นั้นจริงๆ จะทำอย่างไร” มีคนหัวเราะถาม
ชายชราชุดเขียวกลับไม่ติดกับ แต่พูดด้วยน้ำเสียงประดิดประดอยไม่เห็นด้วยว่า “เช่นนั้นก็เป็นบุคคลเหนือโลกาที่สามารถฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้เป็นคนที่สองตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันแล้วล่ะ”
แกร๊ง!
เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นอีกแล้ว…
ให้ตายสิ!
ชายชราชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีทันตาเห็น ปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า นี่มันจงใจสร้างความลำบากให้ข้านี่หว่า ต้องรีบร้อนตบหน้าขนาดนี้ไหม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์