ยามสายตาและจิตใจของหลินสวินถูกจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูด สายตาผู้กล้าแต่ละสำนักใหญ่ในที่นี้แทบทั้งหมดล้วนถูกชายข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูดไปสิ้น
ชายผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ คิ้วกระบี่เนตรดารา เงาร่างตระหง่านดุจสนขจีบนริมผา ยามก้าวเดินชายเสื้อพลิ้วไหวดั่งมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว แฝงความสง่างามครองพิภพ
แววตาเขานิ่งสงบ มุมปากระบายยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มี ดูเหมือนทำให้คนเคลิบเคลิ้มดั่งลมฤดูใบไม้ผลิ ความจริงแล้วกลับมอบระยะห่างอันสูงส่งไม่อาจเอื้อมแก่ผู้คน
เห็นได้ว่าเขาไม่ธรรมดายิ่ง แม้แต่บุคคลอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินล้วนถูกทำให้ตระหนก เมื่อมองเห็นรูปพรรณคนผู้นี้ชัดเจน ในดวงตาต่างฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง
ในสายตาบุคคลแห่งยุคอย่างพวกเขา ชายชุดขาวนี่มีความสง่างามอีกอย่าง
เงาร่างที่ดูเหมือนผอมบางของเขา แท้จริงแฝงความอหังการผงาดง้ำ!
นี่คืออานุภาพพลังอันโดดเด่นอย่างหนึ่ง คือความเชื่อมั่นแน่วแน่ที่ดูหมิ่นสรรพสิ่ง ประหนึ่งราชันกำลังตระเวนดินแดนตน มีอานุภาพอัศจรรย์ไม่อาจล่วงล้ำ
เยี่ยนจั่นชิว!
ในหัวทุกคนปรากฏชื่อหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ชายชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าสง่างามโดดเด่นผู้นี้ เดิมก็เหมือนตำนานคนหนึ่ง
เขาคือบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ มีชาติกำเนิดจากตระกูลเยี่ยนซึ่งเป็นตระกูลอริยะ เล่าลือว่าเผ่าฝั่งมารดามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงบรรพกาล
แผ่นหลังเขาประทับ ‘ลายมรรคเกล็ดมังกร’ แต่กำเนิด ครอบครอง ‘มรรคมังกรฟ้าแปดภาคี’ ได้รับฉายา ‘มังกรไร้พ่าย’
ปัจจุบันเขาคือบุคคลแห่งยุคอันดับสามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพา!
ผู้มีชาติกำเนิด ความเป็นมา รากฐาน แก่นกระดูก พลังต่อสู้เยี่ยงนี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดมกุฎชั้นเลิศ ใครจะกล้ามองข้าม
ดวงตาอาหลู่พลันเปล่งประกาย จิตต่อสู้ร้อยแรงวาบผ่านอย่างยากสังเกตเห็น เหมือนได้เจอคู่แข่งที่ทรงพลังเพียงพอให้เขาตื่นเต้น
เซียวชิงเหอกลับขนพองสยองเกล้า ในใจลอบอุทานว่าไม่เข้าที คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเยี่ยนจั่นชิวจะมาจริงๆ
มีเพียงหลินสวินที่มองข้ามเยี่ยนจั่นชิว ทว่าไม่ใช่เพราะเจตนา แต่เป็นเพราะสายตาและความคิดของเขาตอนนี้ล้วนอยู่ที่จ้าวจิ่งเซวียน
ขณะเดียวกันจ้าวจิ่งเซวียนก็มองเห็นหลินสวิน นางชะงักเล็กน้อย นัยน์ตากระจ่างเบิกกว้าง แววตาหวานเชื่อม จิตใจลั่นไหว มุมปากอวบอิ่มนั่นปรากฏรอยยิ้มตามจิตใต้สำนึก
จากนั้นคิ้วดุจหมึกเขียนของนางขมวดมุ่น กลีบปากเผยอเล็กน้อย สื่อจิตกล่าว ‘คนอย่างเจ้านี่ใจกล้าเหลือเกิน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น ยังกล้าวิ่งมาถึงนี่อีกได้อย่างไร’
เสียงใสดั่งลำธาร ไพเราะเสนาะหู
หลินสวินยิ้มไร้เสียง ในคำพูดที่คุ้นเคยแฝงความห่วงใยดังเก่าก่อน ทำให้จิตใจของเขาซึ่งเดิมทีตึงเครียดผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก
‘เจ้ารู้เรื่องที่ข้าทำในแคว้นหมึกขาวหมดแล้วหรือ’ หลินสวินสื่อจิตถาม
‘ดังนั้นจึงบอกว่าเจ้าใจกล้าเหลือเกิน กล้าเสียยิ่งกว่าปีนั้น’ นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนซุกซน หยอกล้อเขาประโยคหนึ่ง
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ นึกถึงตอนอยู่จักรวรรดิจื่อเย่า คนมากมายยังเรียกเขาว่า ‘เจ้ากล้าหลิน’
‘จริงสิ เจ้าต้องระวังตัว ศิษย์พี่เยี่ยนก็ได้ยินเรื่องที่เจ้าทำแล้ว ยังเคยถามเรื่องเจ้าส่วนหนึ่งกับข้าด้วย’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันกล่าวเตือน ‘ถึงแม้ตอนนั้นเขาไม่เผยความรู้สึกอะไร แต่ข้ารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจไปนานแล้วแน่’
กล่าวถึงตอนท้ายหว่างคิ้วนางเจือความกังวลวูบหนึ่งอย่างไม่อาจระงับ เอ่ยกำชับจริงจัง ‘ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก’
เวลานี้หลินสวินจึงสังเกตเห็นเยี่ยนจั่นชิว แม้แต่เขายังไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือบุคคลที่ทรงพลังยิ่งคนหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสถึงแรงกดดันยากจะเอ่ย
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงแรงกดดันที่แท้จริงหลังมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะนี้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเยี่ยนจั่นชิวต้องไม่ใช่ผู้ที่บุคคลแห่งยุคทั่วไปสามารถเทียบเทียม
กระทั่งกล่าวได้ว่าเขาคือคนที่ทรงพลังที่สุด ในหมู่ผู้แข็งแกร่งซึ่งก้าวสู่มกุฎมรรคาที่หลินสวินเคยเจอมาในปัจจุบัน!
ทว่าหลินสวินเก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว สื่อจิตกล่าว ‘ไม่ต้องห่วง มีคลื่นถาโถมอะไรที่ข้าไม่เคยพบเจอ ปีนั้นหลังออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันกลุ่มหนึ่งไล่ล่าทั่วฟ้า สุดท้ายข้าก็ยังรอดมาได้ สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่สะเทือนข้าหรอก’
จ้าวจิ่งเซวียนส่งเสียงถุยออกมาคำหนึ่ง นัยน์ตากระจ่างงามทั้งฉิวทั้งขัน ‘ข้ากลับคาดไม่ถึง ไม่เจอกันหลายปี เจ้าเปลี่ยนเป็นอวดเก่งใช่ย่อย ถูกเจ้าคางคกจอมหลงตัวเองพาเสียคนใช่ไหม’
เจ้าคางคก…
ศีรษะหลินสวินปรากฏเส้นเลือดดำ หากกล่าวถึงความหลงตัวเอง ปากแข็ง อวดเก่งและไร้ยางอาย เขายังห่างชั้นกับเจ้าคางคกอยู่อักโข ยามเจ้านี่อวดเก่งขึ้นมาล้วนสามารถทำให้ผู้คนชิงชังรังเกียจ!
แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าคางคกยังปิดด่านอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ไม่เช่นนั้นหากได้ยินเสียงในใจหลินสวิน คงได้โหวกเหวกชวนหลินสวินทะเลาะแน่
ขณะสนทนาเยี่ยนจั่นชิวพาพวกจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะ ผู้สืบทอดสำนักโบราณไม่น้อยต่างพุ่งเข้าไปทักทายเยี่ยนจั่นชิว ทำเอาบริเวณนั้นคึกคักพอควร
เยี่ยนจั่นชิวสุภาพและถ่อมตัวยิ่ง ทักทายพวกเขาทีละคน
เขายิ้มเปิดเผยกล่าว “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ช่างเป็นชุมนุมหมู่ดารา ผู้กล้าดั่งพนาไพร เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ อย่างน้อยปีที่ข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็ไม่เจอบุคคลเก่งกาจมากเช่นนี้”
ทุกคนในลานส่วนใหญ่ยิ้มตาม นี่คือการยอมรับสถานะและศักยภาพของเยี่ยนจั่นชิว
“น่าเสียดาย ข้าผู้แซ่เยี่ยนอายุเกินสามสิบ ทั้งเคยร่วมการแข่งขันเช่นนี้แล้ว ไร้วาสนาได้เข้าร่วมอีก ไม่เช่นนั้นก็อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายยุทธ์ทุกท่านที่มาจากสี่แดนวิภูยิ่ง”
ทันทีที่ประโยคนี้ของเยี่ยนจั่นชิวกล่าวออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็ผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม
คนมากมายต่างเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยี่ยนจั่นชิวได้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จัดอยู่ในสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพาแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้อีก
คิดได้เช่นนี้จึงล้วนเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์