ระหว่างหอมกุฎและเจดีย์มกุฎคั่นกลางด้วยถนนสายหนึ่ง
บริเวณกึ่งกลางของถนนคือตำหนักโบราณมีความสูงร้อยจั้ง
เมื่อมองจากกลางตำหนัก ฝั่งตะวันออกก็คือหอมกุฎ ฝั่งตะวันตกคือเจดีย์มกุฎ ปรากฏให้เห็นเด่นชัด
เดิมทีที่แห่งนี้เป็นถิ่นที่พักของลัทธิบูชาจันทร์ เพียงแต่บัดนี้หลินสวินได้ทำการยึดครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยามที่ภายในเมืองยังปั่นป่วนอยู่ หลินสวินและเสี่ยวอิ๋นก็มาเจอกันในตำหนักแห่งนี้
“เสี่ยวอิ๋น เจ้าลองดูว่ามีสมบัติที่เจ้าหมายปองหรือไม่” หลินสวินเอ่ย
เบื้องหน้าของเขาสมบัติกองเป็นภูเขา วัตถุดิบวิญญาณเอย ลูกกลอนโอสถเอย สมบัติธรรม ม้วนหยก… สมบัติละลานตาจนนับไม่ถ้วน
แสงสมบัติไหลเวียนวน ส่องประกายทั่วโถง
นี่คือทรัพย์หลังศึกที่ได้รับหลังจากการนองเลือดของขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งในครานี้
แค่เพียงโอสถราชันก็มีมากกว่าสามสิบต้น!
นอกจากนี้ยังมีของมีค่าและวัตถุดิบเทพที่หายากจำนวนหนึ่ง ต่างมีความอัศจรรย์พันลึกแตกต่างกันออกไป โลกภายนอกแทบจะไม่เคยปรากฏให้เห็น
สมบัติกองพะเนินละลานตา ความล้ำค่าของมันไม่อาจประเมินออกมาได้
ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกปราณภายในเมือง แม้แต่อริยะมาพบเห็น ก็เกรงว่าจะเป็นลมล้มพับไปด้วยความอิจฉาตาร้อน!
เห็นได้ว่าในช่วงนี้หลังจากบรรดาขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายครองเมืองโบราณเผาเซียนแล้ว ได้สืบค้นและรีดไถสมบัติไปมากเท่าไร
และไม่แปลกที่ยามแดนมกุฎปรากฏขึ้นมา ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายในใต้หล้าต่างเคลื่อนกำลังอย่างไม่เสียดายเข้ามาในแดนมกุฎนี้
ศุภโชคและวาสนาในนี้มีมากเกินไปจริงๆ มากเสียจนโลกภายนอกไม่อาจทัดเทียมได้!
ทว่า ยามนี้สมบัติพวกนี้ล้วนตกเป็นของหลินสวิน
หากให้พวกขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เขาวิญญาณหมื่นอสูรล่วงรู้ คงจะโกรธเกรี้ยวเสียจนแทบคลั่ง
ไม่พูดถึงถิ่นที่พักถูกขุดรากถอนโคนออกไป แม้แต่สมบัติที่เก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบากก็ถูกชิงไปด้วย การโจมตีครั้งนี้หนักหนาเกินไปแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินสวิน เสี่ยวอิ๋นก็ไม่เกรงใจ เก็บรวบรวมสมบัติสิบกว่าอย่างด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดล้วนแต่สามารถช่วยยกระดับเส้นทางการวิวัฒน์ของเขา
“หมดแล้วหรือ”
หลินสวินอึ้งไป สมบัติตั้งมากมายขนาดนี้ เสี่ยวอิ๋นกลับเลือกไปเพียงนิดเดียว สร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่บ้าง
“หากมีดอกสยบวิญญาณก็คงจะดี”
เสี่ยวอิ๋นอัดอั้นเล็กๆ เช่นกัน เส้นทางที่เขาเดินอยู่คือมรรคาวิวัฒน์จิตวิญญาณ ทว่าสมบัติในใต้หล้านี้ที่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณมีน้อยเกินไปและพบเจอได้ยาก
หลินสวินพยักหน้า “ให้ข้าจัดการเถอะ”
เขาเตรียมนำสมบัติที่ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง ออกไปแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติที่เกี่ยวกับการฝึกจิตวิญญาณกับผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ
“นายท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การสละชีวิตยอมตายเพื่อท่านเป็นหน้าที่ของข้า ไม่ใช่ทำเพราะคิดให้ท่านมาตอบแทนบุญคุณ!” เสี่ยวอิ๋นเงยหน้า สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“ข้ารู้” หลินสวินยิ้ม
แต่ก็เพราะเหตุนี้ถึงได้มุ่งมั่นช่วยเหลือเสี่ยวอิ๋นยิ่งขึ้น!
ต่อมาหลินสวินนำสมบัติภายในตำหนักออกมาเรียงและจัดแจง เก็บเฉพาะสิ่งที่ตนต้องการ ส่วนที่เหลือวางแผนเอาไปแลกเปลี่ยนทั้งหมด
ด้านเสี่ยวอิ๋นก็กลับเข้าไปในห้วงนิมิตของหลินสวินเพื่อเริ่มฝึกฝนแล้ว
การเข้าสู่แดนมกุฎครั้งนี้ เสี่ยวอิ๋นก็วางแผนทะลวงระดับราชันด้วยเช่นกัน!
“พวกเขา… บางทีคงเข้าใจว่าการนองเลือดคงเจ็บสิ้นแล้วกระมัง”
หลินสวินเอ่ยกับตัวเอง ภายในดวงตาประกายแสงเยียบเย็นไหวเคลื่อน หันหลังออกจากตำหนัก
…
ภายในเรือนพักหลังหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองหลายคนรวมตัวกัน
พวกเขาต่างโชคดีหนีรอดจากความวุ่นวายมาได้ จึงมารวมตัวกันในเวลานี้
“ข้าถูกเรียกตัวจากศิษย์พี่อูหยวนเจิ้น เขาสั่งให้พวกเราออกจากแดนเผาเซียน มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะสามารถพลิกสถานการณ์”
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เขามีนามว่าอูฮว่าเตี่ยน เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง
“จากไปหรือ หรือไม่คิดแก้แค้นแล้ว”
ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความโมโห
ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเย็น “เหล่าราชันไม่สามารถเข้าเมืองได้ เจ้าคิดว่าพวกเราคนไหนสามารถเป็นคู่ประมือกับเทพมารหลินนั่นกัน พวกเรามีชีวิดรอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ทำตามนั้น ครั้งนี้ในเผ่าของเรานอกจากองค์ชายเจ็ดแล้ว ยังมีองค์ชายเก้า องค์ชายสิบสามที่เข้ามาในแดนมกุฎด้วย”
“แค่ว่าต่างจากพวกเรา องค์ชายเก้าและองค์ชายสิบสามเข้าแดนมกุฎจากสถานที่นำทางอื่น สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือรีบไปรวมตัวกับพวกเขา นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองโบราณเผาเซียนไปบอกแก่พวกเขา”
“หลังจากนั้นจึงจะเป็นเวลาคิดล้างแค้น!”
อีกคนหนึ่งสูดหายใจลึก เอ่ยพูดเสียงกระจ่างชัด
ดังนั้นพวกเขาจึงลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง และจากเรือนพักหลังนี้ไป
ภายในเมืองโบราณเผาเซียนล้วนฮือฮาไปทุกแห่ง กำลังกระจายข่าวการเคลื่อนไหวอันนองเลือดของหลินสวินครั้งนี้ ตามถนนตรอกซอยล้วนแต่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
“หึๆ เผ่าอีกาทองนั่นช่างไม่รู้จักหลาบจำ ช่วงก่อนหน้านี้ถูกเทพมารหลินจัดการไปหยกๆ มาครานี้ยังกล้าเข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่หมายหัวหลินสวิน นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ”
“ดูสิ พวกอีกาทองเหล่านั้นที่หนีได้ก็หนี ที่ตายก็ตาย ในอดีตพวกเขาโอหังขนาดไหน มาตอนนี้แม้แต่เมืองยังไม่กล้าเข้า”
บนท้องถนนการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับเผ่าอีกาทองก็เกิดขึ้นเป็นระยะ
พวกอูฮว่าเตี่ยนต่างเก็บงำกลิ่นอาย เกรงว่าจะถูกคนอื่นมองฐานะของตนออก เพียงแต่ยามได้ยินคำวิจารณ์เหล่านี้ ก็พาให้พวกเขาโกรธจนกัดฟันกรอด
เมื่อก่อนในเมืองโบราณเผาเซียนมีใครกล้าวิจารณ์พวกเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
ทว่าบัดนี้…
แม้แต่คนทั่วไปไม่สลักสำคัญยังกล้าวิจารณ์พวกเขาตามอำเภอใจ ซ้ำในน้ำเสียงยังแฝงความเย้ยหยัน น่าโมโหเสียจริง
“อดทนไว้ก่อน ต่อไปไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะต้องกลับมาทวงคืนอีกครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์