ขั้นที่สามสิบหก
ขั้นที่สามสิบห้า
……
ยิ่งขึ้นบันไดสูงขึ้น ความเร็วของหลินสวินก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะคู่ต่อสู้ที่ได้พบแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่างเว้น แต่ละคนหากอยู่ในโลกภายนอกต่างเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุค บนมกุฎมรรคาขนานนามได้ว่าเป็นยอดคน!
การเอาชนะพวกเขา สำหรับหลินสวินแล้วก็ง่ายดายนัก แต่คิดจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทีละคนโดยไม่หยุดพักในแต่ละก้าวเดิน กลับเป็นเรื่องยาก!
ตั้งแต่ขึ้นบันไดสวรรค์มหามรรคจนถึงตอนนี้ หลินสวินไม่ได้หยุดพัก ไม่เคยฟื้นพลังกายเลย
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอาศัยลูกฮึด ทะยานสูงขึ้นไป!
‘ยังเหลือพลังราวหนึ่งในสาม สู้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้ว…’
หลินสวินสูดหายใจลึก ในดวงตาดำมีแต่ความหนักแน่น
จากนั้นเขาก็ก้าวย่างต่อไป
……
ขั้นที่ยี่สิบเจ็ด
ขั้นที่ยี่สิบหก
…เท้าเปลือยเปล่าขาวโพลนของชื่อเหยายืนอยู่บนบันไดหิน ดวงตากระจ่างราวสาวน้ำเพ่งพิศไกลๆ ไปยังเงาร่างที่เดินอยู่บนบันไดหินโดยลำพังนั้น
ผมสีเพลิงของนางปลิวสยาย ผิวพรรณขาวยิ่งกว่าหิมะ สีหน้าเจือไปด้วยความเฉยเมยและสันโดษ แววหนักอึ้งรวมตัวอยู่ในดวงตาสุกสกาวทั้งสองอย่างรางเลือน
เวลาล่วงเลยมากระทั่งตอนนี้ หลินสวินยังไม่ได้หยุดพัก อีกทั้งกลิ่นอายลุ่มลึก ก้าวย่างมั่นคง ไม่เห็นความลำบากเลยสักนิด
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ชื่อเหยารู้ดีที่สุดว่า ในตอนนี้บุคคลขอบเขตมกุฎที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้อาจจะมี ทว่าต้องมีน้อยขนาดนับนิ้วได้!
และทั้งแดนเผาเซียน เกรงว่าจะไม่มีสักคนเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้!
ส่วนเจ้าพวกที่เลื่อนระดับเป็นราชันเหล่านั้น…
คิดถึงตรงนี้แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชื่อเหยา ไม่ได้กลายเป็นระดับราชันขอบเขตมกุฎ ภายหน้าก็เป็นเพียงคนไร้ค่ากลุ่มหนึ่ง!
นางมีเหตุผลให้อวดดี เพราะหากต้องการเป็นราชัน นางก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับนี้ได้อย่างสบายตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว
ทว่านางไม่ทำ!
แต่ยอมฝังตัวในหิมะแห่งกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด ทนทรมานกับความอ้างว้างและอันตรายไร้สิ้นสุด รอคอยจนกระทั่งยุคนี้ถึงฟื้นตื่นขึ้นมา เป้าหมายก็เพื่อขอบเขตมกุฎระดับราชัน!
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ชื่อเหยาย่อมไม่เห็นระดับราชันใดๆ อยู่ในสายตา
พูดได้ว่าในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในแดนมกุฎ การประชันบนมกุฎมรรคาในภายภาคหน้า ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันแล้วแต่ไม่เคยได้เหยียบย่างในขอบเขตมกุฎเหล่านั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้ล้มเหลวไปแล้ว!
ความเร็วของหลินสวินค่อยๆ ลดลงตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย แต่ก้าวย่างของเขากลับมั่นคงดังเดิม เงาร่างผ่าเผยและสูงโปร่งนั้นคล้ายยอดเขาที่ไม่อาจสั่นคลอน ไม่เคยหวั่นไหว
ความหนักอึ้งระลอกหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจชื่อเหยาอย่างไร้สาเหตุ ดวงตากระจ่างราวสายน้ำเต็มไปด้วยความจริงจังแล้ว แม้แต่ตัวนางเองยังไม่ได้สังเกตว่ามือขาวสะอาดทั้งสองข้างกำแน่นอย่างเงียบๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
เพลิงเทพแปลกประหลาดลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นบนผิวขาวแวววาวราวหิมะนั้น ทำให้ตัวนางดุจดั่งคันธนูที่ดึงจนตึงคันหนึ่ง!
‘หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการได้ ว่าในยุคปัจจุบันจะมีบุคคลเย้ยฟ้าปานนี้ได้อย่างไร…’
ชื่อเหยาพึมพำในใจ
หากไม่ใช่ว่านางแน่ใจ คงออกจะเคลือบแคงว่าหลินสวินก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่จำศีลเก็บตัวในกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดผู้หนึ่ง มีอดีตที่น่าหยิ่งทระนงและโดดเด่นถึงที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่ใช่!
นี่ก็พาให้คนสะท้านแล้ว
‘เป็นศัตรูกับเด็กคนนี้เพื่อไม้โพธิ์ท่อนหนึ่ง ทำถูกจริงหรือ…’
ยามเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฎตัวบนบันไดขั้นที่สิบ ในใจชื่อเหยาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว ความลำพองและหยิ่งทระนงแต่เดิมก็ลดลง
ตอนนางสนทนากับหลินสวินก่อนหน้านี้ ไม่เคยเผยความดูถูกใดๆ แต่ก็ไม่ได้มองเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องหวั่นกลัวและให้ความสำคัญ
ดังนั้นนางจึงสามารถพูดไปยิ้มไป เผยรอยยิ้มงดงามสดใส ควบคุมได้ดังใจ
แต่ตอนนี้…
ต่างออกไปแล้ว!
เพราะหลินสวินได้เหยียบย่างลงบนบันไดสวรรค์มหามรรคขั้นที่สิบแล้ว!
ชื่อเหยารู้ดีว่าบุคคลขอบเขตมกุฎคนใดๆ หากคิดจะเหยียบย่างมาถึงที่แห่งนี้ยากลำบากเพียงไหน
และถ้าอยากทำเช่นเดียวกับหลินสวิน ที่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ก้าวขึ้นมาโดยไม่หยุดพักเลยแม้สักอึดใจเดียว ก็ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก แทบจะเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่อาจทำสำเร็จได้ครั้งหนึ่ง!
เมื่อถามใจตัวเองดู แม้แต่ตัวชื่อเหยาเองยังรู้สึกว่ายากนัก ต้องสู้สุดชีวิตถึงจะทำได้
แต่ว่า…
ก้าวเดินของหลินสวินยังมั่นคงดังเดิม!
นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่จิตใจชื่อเหยาหวั่นไหวขึ้นมาบ้าง
และถึงเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าการเป็นศัตรูกับหลินสวินนั้นถูกหรือผิด!
‘หากอยู่ในยุคบรรพกาล ความเก่งกาจของเด็กคนนี้คงสามารถเป็นที่ตื่นตาในใต้หล้า ไม่อาจถูกบดบังได้กระมัง’
ชื่อเหยาอึ้งไป จิตใจไหวกระเพื่อม
……
ลมหายใจของหลินสวินหอบอยู่บ้าง หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา
เป็นบันไดขั้นที่แปดแล้ว
ตั้งแต่เริ่มขั้นที่หนึ่งพันกระทั่งตอนนี้ เขาได้ต่อสู้โดยไม่หยุดพักมาแล้วเก้าร้อยเก้าสิบสองครั้ง!
คู่ต่อสู้แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในรุ่นเดียวกัน
อีกทั้งยิ่งขึ้นมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง!
ต่อให้รากฐานพลังของหลินสวินจะแกร่งกล้ากว่านี้ ต่อสู้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ก็เป็นการเปลืองพลังอย่างยิ่งยวด พลังกายแทบจะแห้งเหือดแล้ว
เดิมทีสามารถฟื้นฟูและพักผ่อนได้
แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนี้
เขากำลังเสาะหาขีดจำกัดของมรรคาตนในระหว่างการต่อสู้!
สู้!
สู้!
สู้!
แม้จะเหนื่อยล้าหาใดเทียบไปทั้งกาย แต่ในส่วนลึกของจิตใจ ไฟต่อสู้กลับเดือดพล่านแผดเผา จิตต่อสู้ถูกหล่อหลอมถึงที่สุด
เวลานี้เขาไม่ต้องออกตัว วิชาอริยะยุทธ์ก็โคจรเอง เข้าประสานกับสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ และเจตจำนงของเขาโดยสมบูรณ์ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์