สิบวันต่อมา
หลินสวินยืนอยู่หน้าบ้านหิน ดวงตาจับจ้องไปที่ดอกตูมหนึ่งเดียวที่ห้อยอยู่บนกิ่งต้นไม้เทพดาราราย
มันบานออกเกินครึ่งแล้ว รัศมีเทพราวธารดาราไหลวนออกมา กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ลายมรรคริ้วแล้วริ้วเล่าบนกลีบดอกไม้ชัดเจนจนมองเห็นได้
พอจะมองเห็นคนตัวเล็กคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิเหมือนกำลังฝึกปราณอยู่รางๆ ผ่านประกายแสงที่อบอวลไปทั่วเกสรดอกไม้ มีเสียงท่องธรรมดังขึ้น
หลินสวินฝึกปราณจนกระทั่งตอนนี้ ยังเพิ่งเคยเห็นโอสถเทพเป็นครั้งแรก ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุดิบวิญญาณชิ้นนี้ ประหนึ่งเทียมเทพ มีจิตวิญญาณ
ในถ้ำแร่ที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกเมิ่งอิงหวายอมรับความพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความคิดแปรพักตร์ ทุ่มเทขุดแร่เป็นพิเศษ
จนถึงตอนนี้ก็ขุดทองเทพสมประสงค์ให้หลินสวินได้เกือบยี่สิบจินแล้ว!
หากอยู่ในโลกภายนอก เพียงพอจะทำให้อริยะน้ำลายไหลได้
อย่างไรเสียทองเทพสมประสงค์ก็เป็นทั้งเจตวัตถุหายากที่ใช้หลอมยอดศาสตรามรรคราชัน และยังเป็นวัตถุดิบเสริมในการหลอมสมบัติอริยะได้ด้วย มูลค่าน่าตกใจหาใดเทียบ
หลินสวินไม่คิดอะไรต่ออีก เดินกลับไปบ้านหินอีกครั้ง
ในช่วงเวลาสิบวันนี้เขาได้ทะลวงแก่นมรรคธาตุน้ำถึงระดับระเบียบมรรค และกำลังจะบรรลุแก่นมรรคธาตุไฟแล้ว
หลินสวินคร่ำเคร่งกับพลังมหามรรคสองชนิดนี้มานานแล้ว กอปรกับได้ ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ช่วยเสริม การบรรลุจึงเป็นเรื่องที่ควรทำได้อย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
สำหรับมหามรรคเจินหลงกับมรรคดับดารากลืนกินกลับก้าวหน้าได้ช้า มหามรรคทั้งสองชนิดนี้ต่างแข็งแกร่งและอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อหยั่งรู้จึงยากกว่ามหามรรคทั่วไปมาก
แต่หลินสวินก็ไม่รีบร้อน การหยั่งรู้ปริศนานัยเร้นลับมหามรรค เดิมก็เป็นสิ่งที่ต้องเก็บเล็กผสมน้อย รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์
……
ในป่ารกร้างผืนหนึ่งที่ห่างจากเขาดารารายไปไกลลิบ เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอย่างเงียบเชียบ
“ศิษย์พี่ลี่ ที่นั่นคือเขาดาราราย ถือเป็น ‘แดนมงคลน้อย’ แห่งหนึ่งที่อยู่ในแดนอัคคีทักษิณ ดูจากบรรยากาศของมันแล้ว ข้างใต้ต้องมีชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมสายหนึ่งซ่อนอยู่ บนภูเขายังเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะมีโอสถเทพที่แท้จริงด้วย”
ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งดวงตาวาวโรจน์ เจือไปด้วยแววละโมบ
“สิบกว่าวันก่อนข้าสืบมาแน่ชัดแล้วว่า ผู้ที่ยึดครองเขาลูกนี้ก็คือผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร มีเพียงระดับมกุฎราชันคนหนึ่งนามว่าเวินเอ้าไห่ควบคุมดูแล”
“พูดได้ว่าด้วยพลังของพวกเราสำนักเพลิงมืด หากทุ่มเทพลังทั้งหมดก็เพียงพอจะโจมตีเขาลูกนี้ได้!”
เมื่อชายหนุ่มชุดดำพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างแววตาไหววูบ แสดงความฮึกเหิมออกมา
ในโลกภายนอก รากฐานพลังของสำนักเพลิงมืดไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาวิญญาณหมื่นอสูร
แต่ที่น่าอึดอัดก็คือ กระทั่งตอนนี้กลับยังยึดครองอาณาเขตไม่ได้สักที่
เหตุผลก็ง่ายดาย ในแดนอัคคีทักษิณมี ‘แดนมงคลน้อย’ หลักร้อยแห่ง ‘แดนมงคลใหญ่’ สี่ห้าแห่ง แต่ถูกขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ยึดครองไปนานแล้ว
โดยเฉพาะขุมอำนาจที่ยึดครอง ‘แดนมงคลใหญ่’ เหล่านั้น รากฐานพลังแต่ละกลุ่มต่างน่ากลัวกว่าอีกกลุ่ม มีระดับมกุฎราชันมากมายบัญชาการ
ถ้าผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านี้ต้องการตั้งหลักที่แดนอัคคีทักษิณ ก็ต้องรีบสะสางปัญหาเรื่องที่ปักหลักให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วในช่วงแปดเก้าปีต่อไปจะต้องถูกขุมอำนาจอื่นทิ้งห่างแน่
“ข้อมูลสืบมาแน่ชัดแล้วหรือ”
ข้างกายชายหนุ่มชุดดำ ชายร่างผอมบางรูปลักษณ์อ่อนโยน ผิวพรรณขาวสะอาด มีดวงตาหงส์ผู้หนึ่งเอ่ยปาก เสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง
ลี่ซั่งสุ่ย!
ระดับมกุฎราชันผู้หนึ่งของสำนักเพลิงมืด แม้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่ก่อนเป็นราชันก็เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มีชื่อมานานผู้หนึ่ง
“ศิษย์พี่ลี่วางใจได้ ไม่ผิดพลาดแน่นอน ข้าเอาชีวิตเป็นประกันได้!”
ชายหนุ่มชุดดำสาบานเป็นมั่นเหมาะ
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นก็… ลงมือเถอะ!”
ลี่ซั่งสุ่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวให้ข้าเป็นหัวหอกไปจัดการเวินเอ้าไห่ผู้นั้น ส่วนพวกเจ้าไปสู้กับผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนอื่น จำไว้ ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี รีบรบรีบจบ!”
ทุกคนรับคำเสียงกึกก้อง
ครู่ต่อมาพวกเขาร่างพวกเขาก็พริบไหว พุ่งออกไปยังเขาดาราราย
ในแดนอัคคีทักษิณมีการปะทะนองเลือดทำนองนี้เกิดขึ้นทุกวัน เพื่อช่วงชิงแดนมงคลเขาวิญญาณ ขุมอำนาจต่างๆ จากดินแดนรกร้างโบราณจึงช่วงชิงความเป็นหนึ่งอย่างดุเดือด
ตูม!
ทันทีที่มาถึงเงาร่างของลี่ซั่งสุ่ยก็ปรากฏ เรียกขวานศึกที่มีแสงเงินหลั่งไหลออกมาเล่มหนึ่ง ตวัดมือซัดไปยังเขาดารารายอย่างแรง
ทันใดนั้นผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมเหนือภูเขาก็ปั่นป่วนอย่างหนักหน่วง
ขวานศึกสีเงินเจิดจ้าเล่มนี้แข็งแกร่งถึงที่สุด พลานุภาพที่แผ่ออกมาเหนือกว่าสมบัติระดับราชันทั่วไปไปไกล
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่ตัวลี่ซั่งสุ่ยหล่อเลี้ยงขึ้นมา!
พวกเมิ่งอิงหวาตื่นตระหนก วิ่งออกมาจากในถ้ำแร่ด้วยสีหน้าฉงน ใครกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าโจมตีเขาดารารายด้วย
ทันใดนั้นพวกเขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปนานแล้ว เวินเอ้าไห่ตายไปแล้ว พวกเขาผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรได้กลายเป็นฝูงมังกรไร้หัว ตอนนี้ต่างพึ่งพิงเทพมารหลินผู้เดียว
“เวินเอ้าไห่ ถ้ากล้าจริงก็ออกมาสู้กันสักตั้ง!”
ห้วงอากาศไกลออกไป เสียงของลี่ซั่งสุ่ยอ่อนหวาน แต่กลับดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
โครม!
ยามพูดจาขวานศึกสีเงินยวงเล่มนั้นก็ฟันลงมาอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องภูเขาส่งเสียงระเบิด สั่นคลอนจะทลายลงมา
นี่ทำให้พวกเมิ่งอิงหวาตื่นตระหนกระคนโกรธเคือง รับรู้ได้ว่าคนกลุ่มนี้แจ้นมาชิงอาณาเขต!
“หากไม่ออกมาอีกก็อย่าโทษที่ข้าทำลายค่ายกลนี่ทิ้งก็แล้วกัน แต่ถึงตอนนั้นเกรงว่าบนเขาดารารายแห่งนี้คงจะนองเลือดไปทั่วแล้ว!
อานุภาพจู่โจมของลี่ซั่งสุ่ยรุนแรงอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพองค์หนึ่ง ควบคุมขวานศึกฟาดฟันลงมา อานุภาพสะท้านใจ
“เวินเอ้าไห่ไม่อยู่ พวกเจ้ามีธุระอะไรก็พูดมาตรงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์