อย่างเจ้า ก็คู่ควรเรียกว่ามกุฎด้วยหรือ
ประโยคเดียวเนิบนาบเหมือนวารี กลับดังชัดในโสตประสาทของทุกคน
เมื่อช้อนตามองไป เหนือฟ้าสูงเงาร่างนั้นสันโดษราวเมฆคล้อย ไร้มลทินและยากจับต้อง มีความสง่างามโดดเด่นหลุดพ้น
ส่วนบนพื้น เงาร่างเวินเอ้าไห่กระตุกเกร็งกลางหลุมใหญ่เหมือนเป็นลมบ้าหมู เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากเย็น ใบหน้าบวมเป่งจมูกเขียวคล้ำ เปื้อนฝุ่นควันไปหมดแล้ว
สายตาเขาเคียดแค้น พูดเสียงแหบแห้งว่า “เทพมารหลิน เจ้ากล้ารอข้าครอบครองพลังระเบียบมรรคแล้วมาสู้กันอีกครั้งไหม!”
เห็นได้ชัดว่าหลังจากถูกสยบแล้วเขายังคงไม่ยินยอม ไม่อาจรับได้!
สิ่งนี้ ถ้อยคำเช่นนี้ เดิมทีก็ดูน่าขันมากอยู่แล้ว
“แพ้แล้วก็แพ้สิ ถ้าเจ้ายอมรับ ข้าอาจจะยังมองเจ้าดีสักครั้ง น่าเสียดาย ขนาดความกล้าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้เจ้ายังไม่มี ด้วยจิตใจเช่นนี้ หากไม่ใช่โชคดีได้มหาศุภโชคไป ชาตินี้ย่อมไม่อาจบรรลุเป็นมกุฎราชันได้!”
หลินสวินพูดอย่างเรื่อยเฉื่อย ทว่าแต่ละคำเหมือนดาบแทงเข้าไปในใจของเวินเอ้าไห่อย่างแรง ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวดุร้ายขึ้นมา
เพียงแต่ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างท้อใจว่า “ข้ายอมแพ้”
หลินสวินกล่าวอย่างเฉยชาว่า “สายไปแล้ว”
เวินเอ้าไห่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รีบร้อนร้องขึ้นว่า “ขอเพียงปล่อยข้าไปครั้งหนึ่ง ข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างเต็มที่!”
มดยังรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับเวินเอ้าไห่ที่เพิ่งบรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน มีอนาคตอันดีงามนัก จะยอมจำนนต่อโชคชะตาเช่นนี้หรือ
บนเขาดาราราย พวกเมิ่งอิงหวาหน้าถอดสี สะเทือนใจโดยสมบูรณ์แล้ว ความพ่ายแพ้หมดรูปของเวินเอ้าไห่ย่อมดับความหวังทั้งหมดของพวกเขาไปอย่างไม่ต้องสงสัย
สายตาหลินสวินเจือไปด้วยความเวทนา เอ่ยว่า “เจ้าตายแล้ว ของที่อยู่กับตัวก็ย่อมเป็นทรัพย์หลังศึกของข้า ข้าจะไปอยากได้ของตอบแทนอีกทำไม”
เวินเอ้าไห่พูดอย่างร้อนรนว่า “ที่ตัวข้ายังมีมหาศุภโชคเย้ยฟ้าชิ้นหนึ่ง หากปล่อยข้าไปสักครั้งไม่แน่ว่าข้าอาจจะบอกความลับนี้กับเจ้าได้!”
หลินสวินร้องอ้อแล้วพูดว่า “พูดให้ฟังซิ”
“ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกมีทางน้ำแห้งขอดที่ผ่านไปใต้ดินสายหนึ่ง ใต้ทางน้ำมีโบราณสถานที่ผนึกมาเนิ่นนานฝังอยู่”
เพื่อรักษาชีวิตเวินเอ้าไห่ไม่กล้าปิดบังสักนิด บอกออกมาอย่างหมดเปลือกไม่หมกเม็ด
“ตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ โบราณสถานนี้เหมือนจะเกี่ยวข้องกับ ‘แหล่งกำเนิดแม่น้ำนรก’ มีศุภโชคเย้ยฟ้าซ่อนอยู่ภายใน!”
เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “หนึ่งเดือนต่อจากนี้ พลังต้องห้ามที่ผนึกโบราณสถานก็จะอ่อนแอลงถึงที่สุด ข้าตอบรับอูหลิงเฟิงองค์ชายเก้าเผ่าอีกาทองไปแล้วว่าจะไปเสาะหาวาสนาด้วยกัน”
แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาของหลินสวิน เขานึกถึงตอนที่เพิ่งเข้ามายังแดนอัคคีทักษิณ ก็ถูกส่งไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกที่อันตรายหาใดเทียบแห่งนั้น
ทว่ากลับคิดไม่ถึง ว่าสถานที่เฮงซวยน่าปวดหัวแบบนั้นยังมีศุภโชคเย้ยฟ้าซ่อนอยู่เสียได้!
อีกทั้งด้วยการอธิบายของเวินเอ้าไห่ หลินสวินจึงเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวคราวนี้เป็นการเรียกรวมตัวของอูหลิงเฟิง องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทอง คนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้ล้วนเป็นระดับมกุฎราชัน
เดิมทีหลินสวินไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย เขารู้ดีว่าเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเพียงไหน
แต่เมื่อได้รู้ว่าในหมู่มกุฎราชันที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้ มีผู้สืบทอดของเหล่าขุมอำนาจอย่างเผ่าวิญญาณสมุทร สำนักยุทธ์นครนิล ลัทธิบูชาจันทร์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย หลินสวินก็ใจเต้นทันที
เขายังไม่ลืมความแค้นกับขุมอำนาจเหล่านี้ตอนอยู่ในแดนเผาเซียน!
ต่อมาหลินสวินก็ถามคำถามอีกบางส่วน เวินเอ้าไห่ตอบออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความร่วมมือยิ่ง
“หากเจ้าปล่อยข้าไปคราวนี้ ข้าสามารถออกหน้าพาเจ้าเข้าร่วมการเคลื่อนไหวคราวนี้ด้วยกันได้!”
ใบหน้าเวินเอ้าไห่เจือแววมีหวัง หว่างคิ้วมีแต่การร้องขอ
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินยิ้มแล้ว ดวงตาดำลุ่มลึก จับจ้องเวินเอ้าไห่พลางพูดว่า “เจ้าว่าข้าจะเชื่อเจ้าไหม”
ไม่ทันรอให้เวินเอ้าไห่เอ่ยปาก เขาก็พูดต่อว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่เจ้าทำแบบนี้อาจจะเพื่อรักษาชีวิต แต่ไหนเลยจะไม่มีความคิดยืมมีดฆ่าคน ถึงตอนนั้นเจ้าจะลอบร่วมมือกับพวกอูหลิงเฝิงมาต่อกรข้าด้วยกันได้เต็มที่”
“หรือแบบที่ง่ายหน่อยก็คือเปิดเผยฐานะของข้าไปเลย พวกอูหลิงเฟิงย่อมต้องจ่อปลายทวนมาที่ข้าอย่างไม่ลังเล อย่างไรเสียคนโง่ยังรู้เลยว่าคนที่พวกเขาอยากฆ่าที่สุดก็คือหลินสวิน”
เวินเอ้าไห่ตัวแข็งทื่อ พูดอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ข้าสาบานต่อฟ้าได้เลยว่าไม่มีความคิดนี้เด็ดขาด!”
หลินสวินยิ้มเย็นชาพูดว่า “ตอนนี้ไม่มีความคิดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าภายหน้าจะไม่มี”
ปึง!
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง เขาพลันก้าวเท้าออกไปเหยียบมือซ้ายที่กำแน่นนั้นของเวินเอ้าไห่ เลือดเนื้อเละเทะ กระดูกล้วนแตกออกเป็นผุยผง
เวินเอ้าไห่ส่งเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดออกมา
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็เงื้อมือขึ้นคว้ากระบี่ที่อยู่ในมือซ้ายแหลกละเอียดของเวินเอ้าไห่
กระบี่วิญญาณเรียวเล็กเหมือนเส้นขน เล็กจ้อยถึงที่สุด เปล่งปลั่งโปร่งใสไปทั้งเล่ม
แต่เมื่อมองดูโดยละเอียด บนกระบี่เล็กนี้กลับมีพลังต้องห้ามหนาแน่นอย่างน้อยแปดร้อยชั้นประทับอยู่ น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด
“สิ่งนี้คืออะไร” หลินสวินประเมินอย่างสนใจใคร่รู้ รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าภายในกระบี่นี้เต็มไปด้วยพลังมืดหม่นราวถูกทำลายล้าง
เวินเอ้าไห่หน้าถอดสีหาใดเทียบในทันใด ดวงตาทั้งสองเหม่อลอย เหมือนคิดไม่ถึงเลยว่าท่าไม้ตายที่ปิดบังไว้จะถูกหลินสวินพบเข้าก่อนเสียได้
“นะ… นี่คือสมบัติที่ข้าน้อยพกติดตัว ไม่ได้สูงค่าอะไร หากสหายยุทธ์สนใจก็ขอให้รับไว้ด้วย”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปากเสียงสั่นเครือ
“ช่างเถอะ สุภาพชนไม่ชิงของรักของผู้อื่น กระบี่นี้… ก็คืนให้เจ้าแล้วกัน!”
ยามพูดจาหลินสวินสะบัดข้อมือ กระบี่นี้พลันยิงพุ่งออกมาเหมือนแสงเรียวเล็ก แทงเข้าไปในห้วงนิมิตของเวินเอ้าไห่
ชั่วพริบตานั้นเวินเอ้าไห่คำรามอย่างเคียดแค้นเหมือนคลุ้มคลั่ง “เทพมารหลิน เจ้าต้องไม่ตายดี!”
ครู่ต่อมาเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว โกรธจนชีพวาย จากนั้นทั้งร่างก็เน่าเปื่อยแปรสภาพเป็นน้ำพิษสีดำสนิทเต็มพื้น
บนพื้นบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกย้อมให้เป็นสีดำในชั่วพริบตา กลิ่นเหม็นเน่าเตะจมูกลองออกมา
เพียงดมครั้งเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้สึกอัดอั้นและขยะแขยงในทรวงอกครู่หนึ่ง สั่นไหวในใจอย่างอดไม่ได้ พลังอำมหิตนัก!
ระดับมกุฎราชันผู้หนึ่งถูกกำจัดอย่างง่ายดายเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าพลังที่เก็บกักอยู่ในกระบี่นี้น่ากริ่งเกรงปานไหน
หากเมื่อครู่เวินเอ้าไห่ลอบโจมตีทีเผลอ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็พูดได้ยากจริงๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์