ชายหนุ่มเสื้อคลุมนกกระเรียนวาจาสบายอารมณ์ สีหน้าเพลิดเพลิน ท่าทางเห็นเป็นเรื่องปกติอย่างไรอย่างนั้น
เขานามว่าโม่เทียนเหอ สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งที่มาจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตั้งแต่ปรากฏตัวบนโลกจนถึงทุกวันนี้ล้วนไม่เคยเห็นบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันในสายตา
ตอนนี้เขาเหยียบย่างในระดับมกุฎราชัน ไม่นานมานี้ยังร่วมทดสอบศิลาศึกอัคคีทักษิณ ก้าวขึ้นสู่อันดับที่แปดสิบสามของกระดานทองคำผู้กล้า
นับได้ว่าเป็นยอดบุคคลผู้มีอิทธิพลในแดนอัคคีทักษิณ
แม้แต่องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทองอูหลิงเฟิงก็ไม่อยู่ในสายตาเขา!
หลินสวินชะงักไปก่อน จากนั้นค่อยยิ้มกล่าว “นี่เจ้าจะรีดไถข้ารึ”
โม่เทียนเหอส่ายหัว “รีดไถมันไม่น่าฟัง นี่คือการขอบคุณที่เจ้าต้องแสดงออก ถึงอย่างไรพวกข้าก็ช่วยเจ้าขุดรากถอนโคนที่อยู่ของเผ่าโบราณแสงทมิฬแล้ว”
หลินสวินยิ้มเยาะกล่าว “ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยรึ ยุ่งไม่เข้าเรื่องก็แล้วไปเถอะ ยังจะฉวยโอกาสรีดไถข้า ไม่รู้สึกว่าสถุลต่ำทรามรึ”
โม่เทียนเหอสีหน้าขรึมลงทันที หว่างคิ้วฉายแววเย็นชาวูบหนึ่ง กล่าวราบเรียบ “หลินสวิน ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีปัญญาเลิศ แค่ให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าพอแล้ว หากอยากจัดการเจ้าก็คงไม่ต้องยุ่งยาก แค่รั้งตัวเจ้าไว้ที่นี่รอพวกอูหลิงเฟิงตามมาทัน เจ้าคิดว่า… เจ้ายังมีโอกาสหนีรอดอยู่ไหม”
นี่คือการข่มขู่!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจ้ามอบโอสถเทพบางส่วนมาเสียโดยดี พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้าไม่ให้ เช่นนั้นก็ได้แต่รั้งเจ้าไว้ที่นี่แล้ว
ยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นนานพวกอูหลิงเฟิงก็จะไล่ตามมาทัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงรับมือยากแล้ว
“อีกอย่างตลอดทางมานี้เจ้าเริ่มจากทำลายเขาฝนดาวตก ทั้งยังโจมตีเขาช้างป่า เขาเพรียกมรกตไม่ว่างเว้น น่าจะใช้พลังกายไปมากกระมัง”
ไม่รอหลินสวินออกปาก โม่เทียนเหอก็พูดเองเออเอง “ในเวลาเช่นนี้หากเจ้าเลือกดื้อดึงไม่ยอมรับคงไม่ฉลาดนัก”
“อย่ามัวนิ่งอึ้ง รีบส่งโอสถเทพบนตัวมา!” ผู้แข็งแกร่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงพากันเปิดปาก ท่าทางราวกุมชะตาหลินสวิน
หลินสวินมุ่นคิ้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ต่อให้พวกอูหลิงเฟิงเร่งตามมา แต่หากเห็นพวกเจ้าบุกรุกเขาหมอกทองคำเกรงว่าคงไม่ปล่อยเลยตามเลยกระมัง”
โม่เทียนเหอหัวเราะลั่นทันที หน้าตาหยิ่งทะนงกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าช่างอ่อนต่อโลกนัก ไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เจ้าออกโจมตีบุกรุกเขาวิญญาณหลายลูก ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ ก็ออกเคลื่อนไหวไปแย่งชิงอาณาเขตพวกนี้หมดแล้ว”
“ตอนนี้พวกอูหลิงเฟิงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นเพราะศัตรูมากเกินไป พวกเขาได้แต่นำเพลิงโทสะระบายลงที่ตัวการอย่างเจ้า!”
หยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาโม่เทียนเหอฉายแววเวทนาวูบหนึ่ง จ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “เข้าใจหรือยัง เจ้าได้ช่วยเหลือขุมอำนาจไม่น้อยด้วยการเป็นทัพหน้าโดยไม่ตั้งใจ เจ้าบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้า แต่เหล่าขุมอำนาจกลับแย่งชิงอาณาเขตอยู่เบื้องหลัง ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัว”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาอดทอดถอนใจไม่ได้ “คิดถึงว่าเจ้าเทพมารหลินก็เป็นคนป่าเถื่อนอหังการผู้หนึ่ง ตอนนี้ความทุ่มเททั้งหมดกลับเข้าทำนองลำบากทำแทนคนอื่น ช่างทำให้ผู้คนทอดถอนใจจริงๆ”
หลินสวินทนฟังจนจบแล้วยิ้มน้อยๆ ทันที “ดังนั้นเจ้าก็เลยคิดฉวยโอกาสนี้ผสมโรงมารีดไถข้า?”
โม่เทียนเหอมุ่นคิ้วกล่าวไม่พอใจ “ข้าจะพูดอีกครั้ง นี่ไม่ได้เรียกว่ารีดไถ หากเจ้ามีอารมณ์มาต่อปากต่อคำเช่นนั้นข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อน ถึงอย่างไรเวลายิ่งยืดเยื้อ โอกาสที่พวกอูหลิงเฟิงจะตามมาทันก็ยิ่งมาก”
เขาสงบนิ่งยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีราวกำชัยไว้แล้ว
ผู้แข็งแกร่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนอื่นล้วนสีหน้าสัพยอก แววตาเพลิดเพลิน ฟังคำของโม่เทียนเหอแล้วพวกเขาดูไม่ร้อนใจเลย
แต่ยามนี้หลินสวินตัดสินใจอย่างหนึ่ง กล่าวออกมาว่า “เจ้าบอกว่าข้าเป็นทัพหน้าโดยไม่ตั้งใจ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจะเป็นทัพหน้าของข้าบ้างไม่ได้เล่า”
นัยน์ตาโม่เทียนเหอฉายแววเย็นชาวูบหนึ่ง “นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “เขาหมอกทองคำคือสถานที่ที่ข้าหมายตาไว้ แต่กลับถูกพวกเจ้าตัดหน้าชิงไปก่อน ข้าไม่โทษพวกเจ้าที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ต้องส่งมอบสมบัติที่พวกเจ้าได้มาจากเขาหมอกทองคำก่อน จากนั้นค่อยไสหัวไป…”
คำว่าไสหัวไปถูกกล่าวอย่างราบเรียบ
พวกโม่เทียนเหอสีหน้าขรึมลงทันที พูดมาถึงขั้นนี้เทพมารหลินนี่ไม่เพียงไม่รู้ตัว ยังจะกล้ามารีดไถพวกเขาอีก นี่ไม่อาจข่มกลั้นต่อไปแล้ว
“เจ้าแน่ใจนะ?”
โม่เทียนเหอแววตาดุจอสนี ฉายประกายราวคมดาบ อานุภาพเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบในชั่วพริบตา
หลินสวินแหงนมองฟ้า จากนั้นก็ถอนสายตากลับ “เหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเจ้าพูดพร่ำร่ำไรอีก ไม่แน่ว่าข้าอาจเลือกไปเยือนแดนมงคลของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสักรอบ”
ข่มขู่โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าเปิดเผยนัก
นี่เป็นการยั่วโทสะโม่เทียนเหอ ทำเอาสีหน้าเขาเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม “ยอดเยี่ยมมาก ดูท่าเจ้าเทพมารหลินคงอยากเป็นศัตรูร่วมกันของแต่ละขุมอำนาจใหญ่แห่งแดนอัคคีทักษิณแล้ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ตูม!
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลงเขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ด้านหลังปรากฏกระบี่โบราณเล่มหนึ่งทันที โชติช่วงชัชวาลดั่งสุริยันจันทราฟาดฟันลงมา
อานุภาพแห่งเจตกระบี่ทำเอาฟ้าดินมืดสลัว
เสียงตึงดังขึ้น หลินสวินเหวี่ยงหมัดจู่โจม หมัดกระบี่เข้าประจัญ ระเบิดแสงไร้จำกัด
ชิ้ง!
โม่เทียนเหอสีหน้าราบเรียบ ข้างหลังกระบี่โบราณอีกเล่มโฉบพุ่งออกมา อานุภาพดั่งเคลื่อนขวางใต้หล้า มีเจตจำนงไพศาลกดอัดห้วงอากาศ
พร้อมกันนี้กระบี่โบราณที่ถูกหลินสวินตีพ่ายโฉบขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งสังหารจากอีกฝั่ง
ความเร็วของการเคลื่อนไหว ความเด็ดขาดของการสังหาร เหนือกว่ามกุฎราชันทั่วไปอยู่มาก!
นัยน์ตาดำหลินสวินพลันหรี่ลง รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ปล่อยวาง หากไร้รากฐานพลัง โม่เทียนเหอนี่ไหนเลยจะกล้ารีดไถตนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
ตูม!
หลินสวินสำแดงพลังที่แท้จริงโดยไม่ยั้งมือเช่นกัน แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง เผยนัยเร้นลับแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ออกมาจนหมด ท่าทางห้าวหาญไม่มีถอยหนี
“ไม่เจียมตัว!”
เห็นดังนี้โม่เทียนเหอยิ้มเยาะ สะบัดแขนเสื้อซัดกระบี่โบราณแถบหนึ่งออกมา รวมกับสองเล่มก่อนหน้ากลายเป็นสามสิบหกเล่ม แปลงเป็นค่ายกลกระบี่ที่ดุดันน่ากลัวเข้าสังหาร
กระบี่โบราณมากมายนั้นล้วนต่างกันออกไป บ้างเจิดจรัสดั่งตะวันจันทรา บ้างสูงตระหง่านราวภูเขา บ้างโหมซัดดั่งทะเล บ้างเหมือนลมวสันต์เปลี่ยนเป็นสายฝน…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์