Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1204

เสียงถอนหายใจที่ราวกับพึมพำดังขึ้นอย่างเลือนราง วนเวียนอยู่ในใจของทุกคนไม่เสื่อมคลาย พาให้อารมณ์ดิ่งวูบ

นาง…

เป็นใคร

เงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าหมอกโลหิตคละคลุ้ง กองกระดูกที่สูงเป็นเนินและเงาร่างไร้หัวในชุดสีเลือดนั่นหายไปนานแล้ว

“พวกเจ้าไปหมดแล้ว ใครจะจำข้าอู๋ยางได้?”

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงคำพูดของเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ของเซียนผลาญเฉินหลินคง ยามอยู่ที่หุบเขาผลาญสวรรค์ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘คราวนั้นตอนที่กลุ่มพวกเราออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเป็นห่วงว่าการไปครั้งนี้จะมีอันตราย เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงทิ้งมรดกวิชาและศุภโชคไว้ที่นี่เพื่อสืบทอดพลัง แม้พวกข้าสิ้นชีพในต่างแดน การสืบทอดก็จะไม่ขาดหาย…’

นี่คือคำพูดเดิมของเฉินหลินคง

ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘อู๋ยาง’ ในใจหลินสวินอดมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาไม่ได้

‘พวกเจ้า’ หมายถึงผู้แข็งแกร่งในกลุ่มของเฉินหลินคงที่ไปจากดินแดนรกร้างโบราณหรือไม่

“อู๋ยาง! จวนเทพขุมทมิฬของข้าเคยมีบันทึก สมัยบรรพกาลเคยมีจักรพรรดิสงครามอู๋ยางที่พรสวรรค์โดดเด่น เบื้องบนทะยานเก้าสวรรค์ เบื้องล่างรบสยบเก้านรก เป็นหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนในรุ่นเดียวกันล้วนมืดมนอับแสง!”

ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงร้องเสียงหลง เอ่ยพูดเรื่องลับบรรพกาลออกมา

จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง!

ทุกคนต่างสะท้านไหว ในใจสั่นสะเทือน หรือหญิงไร้หัวชุดเปื้อนเลือดเมื่อครู่นั่น คือจักรพรรดิสงครามคนหนึ่งในสมัยบรรพกาล?

คนที่ถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ไม่มีใครไม่ใช่บุคคลเทียมฟ้าที่สามารถกดข่มยุคสมัยหนึ่งเอาไว้ได้!

ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ได้ชื่อว่าผู้คุมอำนาจในระยะเวลาหนึ่ง เดิมก็เหมือนเป็นดั่งตำนานอยู่แล้ว เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตะลึง

“แต่… นางปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยัง… หัวขาดด้วย”

โม่เทียนเหอสูดหายใจเย็น

ทุกคนล้วนสะท้านใจ จริงด้วย จักรพรรดิสงครามคนหนึ่งเหตุใดถึงหัวขาดได้

ไม่มีใครรู้

แต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนยิ่งตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดและอัปมงคลของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนี่ ความลับที่ซ่อนอยู่ในนี้ เปิดเผยออกมาเพียงมุมเดียวเท่านั้นก็เรียกได้ว่าตะลึงโลกแล้ว!

ยานสำเภามุ่งหน้าต่อ หมอกหนาทึบ คลุมเครือราวกับปกคลุมมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เต็มไปด้วยปริศนา

ไม่มีใครสังเกตว่าตรงท้ายยานสำเภามีเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดกระโปรงเปื้อนเลือด เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนรางอยู่ในหมอกสีเลือด พร่าเลือนราวกับภาพมายา

หลินสวินคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อดหันมองไม่ได้

แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย เงาร่างนั่นนั่งอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่ในครรลองสายตาของเขากลับว่างเปล่า!

จนกระทั่งถึงฝั่งตรงข้าม ระหว่างทางกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

หมอกโลหิตจางหายไป ปรากฏท้องฟ้าและตะวันโลหิตเก้าดวงอีกครั้ง ทุกคนต่างถอนหายใจยาวโดยไม่ได้นัดหมาย

ห่างออกไป บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขา ยอดเขาหยัดตัวสูง

ทุกคนต่างขึ้นฝั่งอย่างไม่ลังเล อยากจะออกจากแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตและปริศนานี้ให้เร็วที่สุด

ก่อนไปข้างหูหลินสวินราวกับมีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

หลินสวินหันขวับไป

หมอกโลหิตหนาทึบ ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เขามีความรู้สึกที่แรงกล้ามาโดยตลอดว่า ในส่วนลึกของหมอกโลหิตนั่นราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตนอยู่

แต่พอสัมผัสอย่างละเอียดแล้ว กลับมีเพียงแค่หมอกโลหิตที่พลิกม้วนไม่หยุด

“เป็นอะไรไป”

จี้ซิงเหยาหันไป มองหลินสวินอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

“ไม่มีอะไร”

หลินสวินส่ายหน้า รีบตามทุกคนไป

เพียงแต่ไม่ทันไรในใจเขาก็กระตุกวูบ เพราะบนเส้นผมข้างหูเขา ไม่รู้มีแหวนทองแดงที่เก่าคร่ำคร่ามืดมนวงหนึ่งแขวนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่

ขนาดประมาณเหรียญทองแดงเท่านั้น ดูเก่าเก็บไร้ประกาย

เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลังหลินสวิน แหวนทองแดงนี้ถูกมัดอยู่บนผมของตน แต่ตนกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!

นี่เป็นฝีมือใคร

หากอีกฝ่ายต้องการ ก็สามารถฆ่าตนตายอย่างไร้สุ้มเสียงได้เลยไม่ใช่หรือ

หลินสวินเหลือบมองพวกจี้ซิงเหยา เจิ้นอวิ๋นเฟิงอย่างไม่ทิ้งร่องรอยคราหนึ่ง กลับพบว่าพวกเขาไม่รับรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด

ใช่นางหรือไม่

หลินสวินนึกถึงเงาร่างในชุดกระโปรงเปื้อนเลือดบนกองกระดูกขาวนั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ…

หลินสวินถือแหวนทองแดงไว้ในมือ สัมผัสคร่าวๆ กลับรับรู้ได้เพียงแค่ความเย็นเยียบถึงขั้วกระดูก นอกจากนี้ก็ไม่พบอย่างอื่นอีกเลย

ไม่นานในที่สุด ‘แสงเทพนำทาง’ ในมือของจี้ซิงเหยาก็กลับเป็นปกติ นำทางไปยังทิศทางใหม่อีกครั้ง

นี่ทำให้ทุกคนต่างโล่งอก

อยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือหลงทาง

“สหายยุทธิ์เจิ้น รบกวนเจ้าเล่าเรื่องของ ‘จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง’ ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

หลินสวินเดินเข้าไป เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

นี่ทำให้คนอื่นๆ ต่างตะลึง พลันอดหันมองไปยังเจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ได้

ในใจพวกเขาเองก็สงสัยเช่นกัน จักรพรรดิสงครามที่เคยเป็นที่โดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งคนนี้ ปรากฏตัวกลางหมอกโลหิตที่แปลกประหลาดนั่นได้อย่างไร ทั้งยังไม่มีหัวอีกด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวังคือ เจิ้นอวิ๋นเฟิงเองก็รู้น้อยมาก รู้เพียงแค่ชื่อจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง แต่ไม่รู้เรื่องราวและที่มาของเรื่องนี้

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ บุคคลใดถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ล้วนต้องเคยเปิดมรรคาที่เป็นของตนสายหนึ่ง!”

ในสายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงแฝงความเทิดทูน “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีมรรคามากมายสืบทอดอยู่ในโลก หากย้อนไปถึงที่มา มรรคาเหล่านี้ล้วนเกิดจากเมธีใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมและความเพียรพยายามสรรสร้างขึ้นมา!”

“มรรคาบางอย่าง ดับสูญไปกับกาลเวลา”

“มรรคาบางอย่างกลับอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อย่างจวนเทพขุมทมิฬที่พวกข้าอยู่ เรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่พวกเทพธิดาจี้อยู่ ล้วนมีมรดกวิชาพิทักษ์สำนัก”

“มรดกวิชานี้ก็คือมรรคาที่บรรพจารย์ริเริ่มสรรสร้างขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาอันเนิ่นนาน ทำให้ยามที่คนรุ่นข้าก้าวสู่หนทางบำเพ็ญเพียรในคราแรก ก็ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินผิดทาง!”

ทุกคนต่างเห็นด้วย

สีหน้าของหลินสวินกลับต่างออกไปเล็กน้อย มีทั้งความตะลึง และมีความภาคภูมิใจ

เพราะมรรคาของเขาเป็นมรรคาที่เขาเปิดทางเองเช่นกัน ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต ไม่ด้อยไปกว่าเมธีในสมัยบรรพกาลเหล่านั้น สิ่งที่ขาดก็คือการเสาะแสวงหาเข้าไปอีกขั้น

หากวันหนึ่งเขาสามารถบรรลุอริยะได้ ย่อมสามารถเปิดสำนักของตน อบรมสั่งสอนผู้คน สืบทอดวิชา ชื่อเสียงโด่งดังตลอดกาล เป็นที่เคารพนับถือ!

ไม่เดินบน ‘ทางเดินเก่า’ ของคนในอดีต คำว่า ‘ทางเดินเก่า’ นี้ เปิดขึ้นโดยบุคคลเทียมฟ้าอย่างจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง

สำหรับผู้ฝึกปราณยุคหลัง นี่เป็นมรดกที่เรียกได้ว่าล้ำค่าอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกรอบที่คอยจำกัด!

สำหรับหลินสวินแล้ว ประสบการณ์และมรดกของคนโบราณสามารถอ้างอิงและเรียนรู้ได้ แต่ถ้าอยากสร้างความสำเร็จบนมรรคาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ต้องเดินบนมรรคาของตนเอง

การเรียนรู้อ้างอิงทุกอย่างไม่ใช่เพื่อการเลียนแบบ

แต่การอ้างอิงเพื่อวิเคราะห์ ขบคิดอนุมาน เอาสติปัญญาของคนโบราณมาใช้ จึงจะมีโอกาสเหนือกว่าคนในอดีต

เลียนอย่างชีวิตข้า ตายเช่นเดียวกับข้า อย่าให้เป็นเช่นนี้

……

คนทั้งกลุ่มเดินหน้าโดยมีจี้ซิงเหยานำทาง

ระหว่างทางเจออันตรายอยู่เป็นระยะๆ แต่ล้วนถูกสลายอย่างหวุดหวิด

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหลังจากพวกเราข้ามแม่น้ำยาวหมอกโลหิตนั่น อันตรายที่เจอระหว่างทางก็น้อยลงมาก ถึงขั้นที่ไม่เคยมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิต”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม โม่เทียนเหอส่งเสียงอย่างแปลกใจ

ทุกคนใคร่ครวญคร่าวๆ ต่างก็ลอบพยักหน้า

“นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หากมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิตจริงๆ นั่นย่อมเป็นความโชคร้าย พูดได้เพียงว่าโชคของพวกเราถือว่าไม่เลว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มพูด

หลินสวินลูบแหวนทองแดงเก่าคร่ำที่อยู่ระหว่างนิ้ว คล้ายขบคิดอะไรอยู่ เป็นโชคดีจริงๆ หรือ

“ข้างหน้านี่แหละ”

ทันใดนั้นจี้ซิงเหยาที่นำทางอยู่ด้านหน้าก็เอ่ยปาก แฝงความดีใจเสี้ยวหนึ่ง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าในบริเวณที่ห่างออกไปไกลโพ้นมีภูเขาหัวโล้นที่สูงใหญ่สองลูกตั้งตระหง่านอยู่ เหมือนผู้พิทักษ์คู่หนึ่งที่คุ้มครองฟ้าดิน

ตรงกลางเป็นหุบเขาหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยหมอกโลหิต มองสภาพการณ์ภายในได้ไม่ชัด

‘คราวก่อนข้าเจอบ่อโลหิตนรกเทพที่นี่ เจ้าคางคกที่เจ้าพูดถึงนั่นก็ถูกขังอยู่ในนั้นแหละ’

จี้ซิงเหยาสื่อจิตหาหลินสวิน

หลินสวินใจสะท้าน พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว

ทุกคนเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ สีหน้าต่างแฝงความคาดหวังเสี้ยวหนึ่ง

บ่อโลหิตนรกเทพ สถานที่ที่มีศุภโชคพลิกฟ้าถูกปิดผนึกมาเป็นเวลานาน สมัยบรรพกาลก็มีผู้แข็งแกร่งเข้ามาถึงที่นี่

แต่ทุกคนล้วนพ่ายแพ้กลับไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เห็นผลอยู่ที่ว่า ศุภโชคในที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกไม่สามารถเปิดออกได้!

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อน ศุภโชคพลิกฟ้าที่ในอดีตถูกปิดผนึกไว้ จะปรากฏสู่โลกในมหายุคครั้งนี้!

หมอกโลหิตหนาทึบ คนทั้งกลุ่มแม้จะตื่นเต้นแต่ล้วนระมัดระวังอย่างที่สุด ยิ่งเป็นศุภโชคที่พลิกฟ้า ก็ย่อมมาพร้อมกับอันตรายที่น่ากลัว

ในบรรดาพวกเขาล้วนเป็นมกุฎราชันที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้ง ย่อมรู้ดีว่าหากต้องการศุภโชค ก็ต้องแบกรับอันตรายในนั้น!

ไม่นานบ่อน้ำแห่งหนึ่งปรากฏในสายตาของทุกคน

บ่อน้ำนี้รัศมีประมาณจั้งกว่า ผนังหินข้างบ่อมีรอยกระดำกระด่างเปื้อนเลือด เผยไอที่เย็นยะเยือกแปลกประหลาดชวนให้หวาดหวั่น

ตอนนี้เองเจิ้นอวิ๋นเฟิงเปิดม้วนภาพที่เก่าและไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่งออกมา พินิจดูคร่าวๆ แล้วยิ้มพูดว่า “ไม่ผิด ที่แห่งนี้ก็คือทางเข้า ‘แดนแห่งนรกโลหิต’!”

ฟุ่บ!

เงาร่างสีดำที่ราวกับสายฟ้าแลบสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางหมอกโลหิตใกล้ๆ กะทันหัน ในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ก็พุ่งเข้าไปในบ่อน้ำนั้นและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“สมควรตาย!”

ทุกคนต่างตกใจ สีหน้ามืดทะมึนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้มีคนชิงเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพตัดหน้าพวกเขา

ที่น่ากลัวคือ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลย

คนผู้นั้นเป็นใคร

มีเพียงหลินสวินที่ในดวงตาวาบแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง เขารู้สึกว่าเงาดำเมื่อครู่นี้ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง จากนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ เป็นปักษาทมิฬต้าเฮยที่ชอบแบกกระทะดำตัวนั้น!

เจ้านี่ก็มาด้วยหรือ

“จะรอช้าไม่ได้ พวกเราก็รีบลงมือกันเถอะ”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เดินขึ้นหน้าก่อน พินิจดูคร่าวๆ จากนั้นก็เรียกกระถางหยกที่แสงมรรคสีม่วงพรั่งพรูออกมาอันหนึ่ง ให้มันคุ้มกันรอบตัว แล้วจึงกระโดดเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพนั้น

เห็นได้ชัดว่าเขากลัวว่าก้นบ่อจะมีอันตรายซ่อนอยู่ จึงเตรียมพร้อมไว้ก่อน

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างรีบตามเข้าไป

หลินสวินเดินอยู่ด้านหลังสุด ชั่วขณะที่เงาร่างของเขากระโดดเข้าไปในบ่อ ระหว่างนิ้วเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน

เป็นแหวนทองแดงที่เรียบง่ายและเก่าคร่ำนั่น!

เพียงแต่ตอนที่สัมผัสอย่างละเอียด แหวนทองแดงก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีปฏิกิริยา ยิ่งไม่มีความผิดปกติใดๆ

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกว่าแหวนวงนี้จะต้องมีความแปลกประหลาดแน่นอน!

“เร็ว ตรงนั้น!”

พวกของหลินสวินจากไปได้ไม่นาน ทางเข้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกปราณกลุ่มทะยานเข้ามา

——

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์