Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1213

สรุปบท ตอนที่ 1213 ถ้ำสุเมรุ: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 1213 ถ้ำสุเมรุ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1213 ถ้ำสุเมรุ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ดาบหักกำลังส่องแสงขาวเจิดจ้าราวหิมะ แทบจะโปร่งใส

ประกายดาราเจิดจรัสเป็นริ้วๆ อบอวล ขับเน้นให้ดาบหักเหมือนภาพมายา มีกลิ่นอายผุดผ่องฟุ้งกระจาย ประหนึ่งผลงานชิ้นเอกของสรวงสวรรค์

ส่วนในห้วงนิมิตของหลินสวินกลับปรากฏค่ายกลลายมรรคลึกลับอันหนึ่ง เก่าแก่และกว้างใหญ่ไพศาล วาดออกมาเป็นอักษร ‘ปฐม’ ตัวหนึ่ง

ทุกเส้นทุกขีดดั่งร่องรอยมหามรรค

สิ่งนี้คือมรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค เป็นวิชาที่ใช้กับดาบหักวิชาหนึ่ง พิศวงหาใดเทียบ

หากไม่เป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้หลินสวินคงไม่อาจควบคุมและใช้ดาบดุร้ายพลิกฟ้าที่มีที่มาลึกลับอย่างยิ่งนี้ได้ตามใจนึก

และตอนนี้ พร้อมกับที่ดาบหักดูดซับพลังของเถาน้ำเต้าเขียวสดนั้น พลังมรดกมหาศาลก็ผุดขึ้นในห้วงนิมิตของหลินสวินอีกครั้ง

สิ่งนี้คือค่ายกลลายมรรคผืนใหม่ หนาแน่น ไพศาล คลุมเครือ แปรผันและสำแดงอยู่ในห้วงนิมิตของหลินสวินอย่างไม่ขาดสาย

ในที่สุดก็แปรสภาพขีดร่างออกมาเป็นอักษร ‘ยอด’ ตัวหนึ่ง!

โครม!

ชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าห้วงนิมิตสั่นสะเทือน พลังมรดกที่ถาโถมผุดออกมาราวมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล

ก้นบึ้งจิตใจหลินสวินปรากฏการหยั่งรู้เร้นลับและคลุมเครือนับไม่ถ้วน ประทับลงไปบนหัวใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งประหนึ่งได้สติรู้ตื่น

เพียงแค่รู้สึก แต่กลับพูดออกมาไม่ได้ สิ่งนี้เรียกว่าลึกลับไม่อาจเอื้อนเอ่ย

‘ที่แท้ นี่เป็นวิชาลับสูงสุดชนิดหนึ่งที่กระตุ้นพลานุภาพของดาบหัก กล่าวถึงว่าต้องทำอย่างไรถึงใช้พลังชั้น ‘ยอด’ ฟาดฟันศัตรู…’

ในใจหลินสวินรู้ชัด เห็นแจ้งอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ตอนได้มรดกอักษร ‘ปฐม’ มา หลินสวินก็สังเกตได้ว่ามรดกวิชาของดาบหักแบ่งออกเป็นสี่ส่วน กระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งได้มรดกส่วนที่สองมาด้วยบุญพาวาสนาส่ง…

‘ยอด’!

ถ้ากล่าวว่ามรดกอักษรปฐมคือวิธีพื้นฐานในการใช้ดาบหัก

เช่นนั้นมรดกอักษรยอดก็เป็นการปูกระเบื้องบนหลังคาสูง สิ่งที่สอนก็คือจะกระตุ้นอานุภาพของดาบหักถึงจุดสูงสุดอย่างไร!

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินไหวหวั่น

ศาสตราจิตชิ้นหนึ่งกลับมีรายละเอียดที่ลึกลับคลุมเครือมากมายเช่นนี้ ถึงกับยังต้องมีมรดกที่เสริมพลังกับมันจึงจะปลดปล่อยอานุภาพของมันออกมาได้

ไม่อาจไม่พูดว่า สิ่งนี้พบเห็นได้ยากเกินไปแล้ว!

……

ภายในเจดีย์หินบรรยากาศเงียบเชียบ

สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องดาบหักอย่างเร่าร้อน มองดูมันปล่อยประกายแวววาว ดูดซับพลังที่บรรจุอยู่ในเถาน้ำเต้าเถานั้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ในระหว่างนี้หลินสวินได้มรดกวิชาที่เกี่ยวโยงกับนัยเร้นลับสูงสุดของดาบหักมาวิชาหนึ่งโดยบังเอิญแล้ว

ตัวหลินสวินเองย่อมไม่บอกความลับที่เป็นเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ออกไป

พรึ่บ!

ไม่นานนักเสียงทึบหนึ่งดังขึ้น เถาน้ำเต้าที่เปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉา ซีดเซียว หลุดร่อนเป็นเถ้าธุลีอยู่ก่อนแล้ว หายไปไม่เหลือแม้แต่ราก

แต่บนพื้นนั้นกลับมีโพรงใหญ่เท่ากำปั้นโพรงหนึ่ง

ดูเหมือนโพรงที่ไม่สะดุดตาโพรงหนึ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกน่าหวาดผวาที่ ‘ลึกล้ำสุดหยั่ง’ เสียได้!

ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ส่งเสียงครางอึดอัด หน้าเปลี่ยนสีทันใด เมื่อกี้เขาใช้จิตรับรู้เข้าไปสำรวจในโพรงใต้ดินนั้น และประสบกับแรงดูดกลืนที่น่าหวาดหวั่นถึงที่สุดเข้าทันที

หากไม่ใช่เขาตัดจิตรับรู้โดยเด็ดขาด คงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณถูกดูดกลืนเข้าไปในนั้น!

ผู้อื่นเห็นเช่นนี้ล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวง่ายๆ

“ให้ข้าลองดูหน่อย”

เจ้าคางคกเหมือนสังเกตเห็นอะไร นำซากกระดูกโชกเลือดชิ้นหนึ่งออกมา แล้วโยนไปกลางโพรงใต้ดินนั้น

ภาพน่าตกใจปรากฏขึ้นแล้ว ซากกระดูกนั้นเหมือนตกลงไปในเหวลึกไร้ขอบเขต ชั่วครู่เดียวแปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยหาใดเทียบ แค่พริบตาก็หายลับไป

ทุกคนต่างหน้าหวั่นไหว แต่เจ้าคางคกกลับยิ้มแล้ว พูดกับหลินสวินว่า “นี่คือถ้ำสุเมรุที่ฟ้าดินสร้างขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดูเหมือนมีขนาดเท่ากำปั้น จริงๆ แล้วใหญ่เท่าโกรกธารเหวลึก!”

นัยน์ตาสีทองของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ลูบไม้ลูบมือพูดว่า “รากเถาน้ำเต้าที่ให้กำเนิดเพลิงมรรคฟ้าประทานต้นนั้นก็งอกขึ้นมาจากถ้ำสุเมรุแห่งนี้ คิดได้เลยว่าภายในนั้นต้องมีวาสนามากกว่านี้แน่!”

ครู่เดียวสายตาของคนอื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายขึ้นมา

“แต่ถ้าเกิดในนั้นมีอันตรายซุกซ่อนอยู่จะทำอย่างไร” จี้ซิงเหยาถามอย่างอดไม่ได้

เจ้าคางคกอึ้งไป พูดว่า “อยากได้วาสนาจะไม่เสี่ยงอันตรายได้อย่างไร ถ้าเจ้ากลัวก็เฝ้าที่นี่ไว้”

จี้ซิงเหยาเป็นถึงยอดหญิงงาม ดุจดั่งเทพธิดาในภาพเขียน

แต่เขากลับไม่เกรงใจสักนิด ทำเอาคนอื่นต่างตกใจอยู่บ้าง ในใจลอบเอ่ยว่าเจ้าหมอนี่โอหังบ้าระห่ำเสียจริง

“ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าว่าหลินสวินจะมาช่วยเจ้าไหม”

วาจาจี้ซิงเหยาเรื่อยเฉื่อยเนิบนาบ ครั้งแรกที่พบเจ้าคางคกก็เคยประสบกับความหยิ่งทระนงของเจ้าหมอนี่แล้ว ย่อมไม่โมโหเพราะสิ่งนี้

เจ้าคางคกนิ่งอึ้งไป กำลังจะพูดอะไรออกมาก็ถูกหลินสวินรั้งไว้แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอแล้ว รีบเคลื่อนไหวเถอะ”

ดังคาด เจ้าคางคกไม่ปริปากแล้ว

นี่เรียกว่าสรรพสิ่งล้วนมีจุดอ่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าคางคกเป็นคนที่หยิ่งยโสถึงที่สุดผู้หนึ่ง ถึงขั้นกล้าว่ากล่าวเทพธิดาจี้ แต่ต่อหน้าหลินสวินกลับเชื่อฟัง ทำให้คนอื่นตาเบิกกว้างอย่างช่วยไม่ได้

สวบ!

เจ้าคางคกไม่ลังเล เดินเข้าไปทางถ้ำสุเมรุนั้นเป็นคนแรก ก็เห็นว่าเงาร่างของเขาหดเล็กลงทันใด จนกระทั่งต่อมาเล็กเท่ามด หายลับไปในส่วนลึกของถ้ำสุเมรุ

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ตามไปติดๆ

หากภาพนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าใครก็คงทำใจเชื่อได้ยาก ว่าโพรงใต้ดินขนาดเท่ากำปั้นโพรงหนึ่งกลับก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์เช่นนี้

ตูม!

เสียงว่างเปล่าไม่มีคลื่นอารมณ์

ทันทีที่เสียงเงียบลง เบื้องหลังเงาร่างเปลวเพลิงนี้ก็มีร่างเปลวเพลิงอีกสี่สิบแปดร่างปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

กลิ่นอายของแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งไม่มีที่สิ้นสุด ยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศประหนึ่งเทพสงคราม ทำให้ฟ้าดินแถบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันไร้รูปร่าง

“ให้ตายสิ กะแล้วว่าวาสนาไม่ได้ได้มาง่ายขนาดนี้” เจ้าคางคกหลุดปากด่าทอ

สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขึง

ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่เงาร่างเปลวเพลิงสี่สิบเก้าร่างนี้แผ่ออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันระลอกหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่งยวดแน่ๆ

“ขอเรียนถามว่าสหายยุทธ์เป็นใคร” หลินสวินเอ่ยปากถาม

เขาพินิจพิเคราะห์เงาร่างเปลวเพลิงร่างแล้วร่างเล่า รู้สึกอยู่เลาๆ ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ

ดังคาด ครู่ต่อมาเงาร่างเปลเพลิงที่เป็นหัวหน้าก็เอ่ยตอบว่า “พวกข้าจำแลงมาจากกฎระเบียบ ปกปักษ์ที่แห่งนี้ พวกเจ้าแต่ละคนมีโอกาสท้าสู้พวกข้าหนึ่งครั้ง หากไม่อาจฝ่าด่านได้ก็ไม่มีวาสนากับเพลิงมรรคของที่นี่”

ทุกคนเข้าใจในทันทีแล้ว

หากต้องการเข้าใกล้ภูเขาไฟนั่นเพื่อช่วงชิงเพลิงมรรค ก็ต้องเอาชนะเงาร่างเปลวเพลิงที่จำแลงมาจากกฎระเบียบสี่สิบเก้าร่างนี้ให้ได้ก่อน!

“โจมตีเป็นกลุ่มได้ไหม” เจ้าคางคกร้องถาม

เงาร่างเปลวเพลิงนั้นส่งเสียงเฉยชาว่างเปล่าออกมา “ถ้าเช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็จะถูกขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนล้อมโจมตี”

เฮือก!

ทุกคนสูดหายใจหนาวเยือกน หากทุกคนถูกขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนล้อมโจมตี คิดจะชนะนั่นต้องเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งแน่

เจ้าคางคกยิ้มอักอ่วน “โธ่ อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังสิ ข้าแค่พูดเล่น”

ขุนพลวิญญาณเพลิงทุกคนสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เมินเจ้าคางคกไปตรงๆ

“ข้าสู้ก่อนแล้วกัน!”

จั่นลู่ซิวทนไม่ไหวแล้ว เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกทวนใหญ่สีดำเล่มหนึ่งออกมา อานุภาพน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายไปทั้งร่าง

ตูม!

เขาเหยียบย่างไปในห้วงอากาศแล้วพุ่งกระโจนออกไป ทวนใหญ่ตลบม้วนมวลอากาศ ซัดคลื่นนับพันชั้นขึ้นมา

ในขณะเดียวกันขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกก็เคลื่อนไหวแล้ว รวดเร็วอัศจรรย์ เรียกกระบี่ศึกเปลวเพลิงเล่มหนึ่งออกมาต้านเขา

ที่ทำให้หลินสวินไหวหวั่นก็คือ ศักยภาพของขุนพลวิญญาณเพลิงนี้กลับไม่ด้อยกว่ามกุฎราชัน ดูน่าเหลือเชื่อถึงที่สุด

สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสงบใจก็คือ ขุนพลวิญญาณเพลิงคนอื่นๆ ล้วนยืนอย่างเฉยเมย ไม่ได้ร่วมลงมือด้วย

เห็นได้ชัดว่าหากไปฝ่าด่านคนเดียว ขอเพียงเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนนี้ได้ทีละคน ก็สามารถไปชิงเพลิงมรรคที่พึงใจหน้าภูเขาไฟลูกนั้นได้อย่างราบรื่น!

ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่า หากคิดจะเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงที่มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่ามกุฎราชันเหล่านั้น อันตรายกับแรงกดดันที่จะต้องเผชิญนั้นไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่แบบธรรมดา!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์