ไม่นานนักพวกจี้ซิงเหยากับเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็กลับมา
สีหน้าต่างเจือไปด้วยความยินดีปรีดา เห็นได้ชัดว่าการตามฆ่าเมื่อครู่ทำให้พวกเขาได้ระบายไฟโทสะที่สะสมอยู่ในใจ
เพียงแต่เมื่อเห็นหลินสวิน นอกจากจี้ซิงเหยา คนอื่นๆ ต่างสีหน้าซับซ้อนอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างปฏิบัติต่อหลินสวินในฐานะ ‘จินตู๋อี’ เกิดความเชื่อใจอย่างพิเศษกับ ‘จินตู๋อี’ ในระหว่างการเคลื่อนไหวแล้ว
แต่เมื่อได้รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของ ‘จินตู๋อี’ คือหลินสวิน จึงออกจะตั้งตัวไม่ทัน ปรับตัวตามไม่ได้
โดยเฉพาะตอนนี้ศึกใหญ่สิ้นสุดลง เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินอีกครั้ง ทำให้สำนึกในการปฏิบัติตัวต่อหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพี่หลินมามาก ตอนนั้นยังดูถูกนัก กระทั่งคิดไว้ว่าหากมีวันที่ได้พบกันจะต้องทำลายอำนาจเจ้าให้ได้”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงชิงเอ่ยปากก่อนแล้ว สีหน้าทอดถอนใจ “ใครจะคิดว่าความคิดของข้าในตอนนั้นจะง่ายดายเกินไป คนอย่างพี่หลิน มองไปในรุ่นเดียวกันมีน้อยคนนักที่จะกดข่มได้”
เขาพูดเสียงเบา มีแววหดหู่ ทั้งยังมีความชื่นชมและปล่อยวาง
นี่เป็นการยกย่องที่สูงมากแล้ว
เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ใช่คนธรรมดา ยังเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มาจากจวนเทพขุมทมิฬแห่งแดนเร้นอริยะด้วย พลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงที่สุด
เขาสามารถสงบจิตใจของตัวเองได้ในตอนนี้ ก็พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าสิ่งที่หลินสวินทำก่อนหน้านี้ ทำให้เขาได้แต่ทอดถอนใจด้วยความชื่นชมแล้ว
“แพ้ด้วยน้ำมือเทพมารหลินที่ขึ้นชื่อลือชา ไม่เสียหาย”
ข้างๆ กันจั่นลู่ซิวก็เอ่ยปาก ตอนพบกันครั้งแรกเขาถูกหลินสวินเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว จิตใจจึงรัดพันยุ่งเหยิงมาตลอด
แต่ตอนนี้ ก็ทำได้เพียงยอมรับโดยสมบูรณ์แล้ว
คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยปาก ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นกลมเกลียวขึ้นมาอีกครั้ง
สาเหตุก็เพราะแม้ก่อนหน้านี้หลินสวินปลอมฐานะ แต่การเคลื่อนไหวตลอดทางมานี้กลับไม่เคยทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อพวกเขาแต่อย่างใด
ถึงกับยังเคยช่วยอิ๋นเสวี่ย และเคยเปิดทางเข้าสู่โลกใต้สุสานแห่งนี้เพื่อพวกเขา
แม้แต่ในระหว่างการช่วงชิงเพลิงมรรคต้นกำเนิด ยังแสดงคุณธรรมสูงส่ง ออกตัวยอมถอยก้าวหนึ่ง ให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอได้เพลิงมรรคต้นกำเนิดไปก่อน
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงจะไม่รับน้ำใจด้วยความรู้คุณไว้ได้อย่างไร
“เฮ้อ ข้ายอมแล้ว”
โม่เทียนเหอเป็นคนที่ว้าวุ่นในที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่เพียงเคยเล่นงานหลินสวินอย่างหนักหน่วง ยังถูกปล้นสมบัติทั้งตัวไปด้วย
สวบ!
หลินสวินโยนกำไลเก็บของวงหนึ่งให้โม่เทียนเหอ ยิ้มพูดว่า “สิ่งนี้เดิมทีก็เป็นของของพี่โม่ ตอนนี้ขอคืนให้เจ้าของเดิม เจ้าดูทีว่ามีของขาดไปหรือเปล่า”
โม่เทียนเหอนิ่งอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ซาบซึ้ง สุดท้ายจึงสูดหายใจลึกแล้วหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ไม่ต้องดูแล้ว จากท่าทางและจิตใจเช่นนี้ของเจ้า ข้าโม่เทียนเหอยอมอย่างสมบูรณ์แล้ว!”
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ปรีดาอย่างอดไม่อยู่
จี้ซิงเหยามองดูทุกอย่างนี้เงียบๆ อยู่ข้างๆ ในใจก็กระเพื่อมไหวอย่างยิ่ง
ไม่ว่าเจิ้นอวิ๋นเฟิงหรือโม่เทียนเหอล้วนเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่หยิ่งทระนงยิ่ง
หลินสวินอาจจะมีรากฐานพลังที่เอาชนะพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ แต่คิดจะให้พวกเขายอมรับอย่างเต็มใจกลับเป็นเรื่องยากยิ่งนัก!
……
พวกหลินสวินไม่ร่ำไร เริ่มออกเคลื่อนไหว
ระหว่างทางหลินสวินเล่าเรื่องที่เจ้าคางคกสหายของตนตกที่นั่งลำบากให้ทุกคนรู้ เดิมทีคิดอยู่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของตน ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาลำบากด้วย
ใครจะคิดว่าไม่ว่าจะเป็นโม่เทียนเหอหรือพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างไม่ได้ถอยหนี แสดงออกว่าหากหลินสวินคิดว่าพวกเขาเป็นสหาย ก็อย่าพูดจาเหมือนคนอื่นไกลเช่นนี้อีก
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ยิ้มให้ ไม่ยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีก
หลายปีที่อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณมานี้ สหายที่หลินสวินผูกมิตรมีน้อยจนนับนิ้วได้
แม้มิตรภาพกับพวกโม่เทียนเหอและเจิ้นอวิ๋นเฟิงจะยังไม่ถึงขั้น ‘ร่วมเป็นร่วมตาย แสดงน้ำใสใจจริงต่อกัน’
แต่เป็นสหายย่อมดีกว่าเป็นศัตรู
และสำหรับพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงและโม่เทียนเหอแล้ว การคบหากับเทพมารหลินที่อานุภาพน่ากลัวสะท้านฟ้า เหตุใดจะไม่ใช่เรื่องดีเล่า
อีกทั้งด้วยฐานะของพวกเขา ย่อมไม่สนใจว่าหลินสวินมีศัตรูมากแค่ไหน ทั้งจะพลอยลากพวกตนไปเกี่ยวด้วยหรือไม่โดยสิ้นเชิง!
นี่ก็กล้าหาญแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น แม้ในใจจะหวั่นเกรงและเทิดทูนหลินสวิน แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่อาจจะโดนลากเข้าไปพัวพันด้วยหากคบหากับหลินสวิน ก็ย่อมมีแต่กลัวว่าจะหลบไม่พ้น!
ไม่นานนักจากเบาะแสที่นกทมิฬนั่นชี้แนะ หลินสวินก็หาเจดีย์แห่งหนึ่งพบดังคาด
ลักษณะของเจดีย์นี้พิกลยิ่งนัก รูปร่างเหมือนเตาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เตาหนึ่ง ก่อขึ้นจากกองหินยักษ์สีดำสนิท ตัวเจดีย์มีรอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าตั้งอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไร แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ผ่านร้อนผ่านหนาวออกมา
ทันทีที่เข้าไปใกล้ ทุกคนเพียงรู้สึกว่ามีกระแสลมตีมาที่หน้า ร้อนผ่าวไปตามผิวหนังทั้งตัว
ในขณะเดียวกันนี้จิตวิญญาณของพวกเขาก็เหมือนอยู่ในเตาทองแดงกลียุค ถูกไฟแรงกล้าแผดเผา กดดันหาใดเทียบ
“เจดีย์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!”
ทุกคนจิตใจสั่นไหว
ด้วยระดับพลังของพวกเขา ไม่กลัวภัยพิบัติเข้าจู่โจมมานานแล้ว
แต่ตอนนี้เพียงเข้าใกล้เจดีย์แห่งหนึ่ง ก็ทำให้ความรู้สึกทั้งในและนอกร่างกายเจ็บแสบและกดดันราวถูกแผดเผาเช่น นี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
หลินสวินทอดสายตามองไปยังใต้ฐานเจดีย์หิน ก็เห็นว่าตรงนั้นมีประตูโค้งคู่หนึ่ง กลมสมบูรณ์ บนนั้นมีลายมรรคหนาแน่นปกคลุมอยู่ คลุมเครือหาใดเทียบ
เจ้าคางคกถูกขังอยู่ในนั้นหรือ
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ขณะเดียวกันก็โคจรจิตรับรู้และนัยน์ตาเฉาเฟิง ประเมินเจดีย์หินตรงหน้านี้อย่างละเอียด
ทันใดนั้นภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าก็ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน
ตูม!
กลางฟ้าดินสรรพสิ่งดับสูญ เหลือเพียงเตาเพลิงใหญ่เตาหนึ่งลุกโชนเร่าร้อน หลักการฟ้าดิน สุริยันจันทราธารดาราต่างๆ ล้วนถูกหลอมจนว่างเปล่า!
ร่องรอยกาลเวลา วงโคจรของห้วงอากาศอะไร…
ต่างถูกเตาเพลิงแผดเผาหลอมละลายเหมือนไม่มีอยู่!
เตาเพลิงนั่นก็คือฟ้าดิน คือกฎเกณฑ์แห่งตะวันจันทรา คือกาลเวลาและห้วงมิติ คือสรรพสิ่งในโลกา เป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวและไม่ผุกร่อนเป็นนิรันดร์!
โครม!
ไม่ทันได้สัมผัสอย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกเพียงเจ็บปวดไปทั้งร่างประหนึ่งอยู่กลางทะเลเพลิงไร้สิ้นสุด ทั่วทุกสารทิศเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแผลงผลาญ
จิตวิญญาณกับสภาวะจิตล้วนรู้สึกเหมือนถูกหลอมเหลว!
ครู่ต่อมาเขาก็พลันได้สติกลับมา แต่สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้ว เหงื่อกาฬซึมไปทั้งร่าง เตาเพลิงเมื่อครู่นั่น… หรือจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจดีย์หินแห่งนี้
ยามมองดูคนอื่นอีกครั้ง พวกเขาก็กำลังศึกษาและตรวจสอบเจดีย์หินนี้อยู่ แต่กลับเหมือนไม่รู้เลยว่ามีความผิดปกติอะไร
หลินสวินสูดหายใจลึก ในใจลอบเอ่ยว่าคนอย่างเจ้าคางคกที่ตลอดมาถ้าไม่มีผลประโยชน์ก็ล้วนไม่มา จะต้องค้นพบศุภโชคใหญ่บางประการแน่ๆ ถึงได้ติดอยู่ในนั้น
“พี่หลิน สหายเจ้าคนนั้นติดอยู่ในเจดีย์หินนี้หรือ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยถาม สีหน้าเจือแววประหลาด เพราะเขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าเจดีย์หินนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก เป็นไปได้สูงว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวงที่ไม่อาจคาดคะเนได้อยู่!
หลินสวินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านรอก่อน ให้ข้าเข้าไปลองดู”
เขาพูดพลางเดินไปข้างหน้า โคจรพลังทั้งร่างจดจ่อเต็มที่ ใช้ฝ่ามือทาบลงไปบนประตูโค้งที่อยู่ใต้เจดีย์หินนั้นอย่างระวัง
วู้ม!
เหนือความคาดหมาย ประตูนี้เปิดออกอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างอึ้งไป แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“พลังผนึกของที่นี่ถูกข้าสลายไปนานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาเถอะ” เสียงถอนใจไร้เรี่ยวแรงเสียงหนึ่งแว่วมาจากภายในเจดีย์หิน
เป็นเจ้าคางคก!
หลินสวินมองปราดเดียวก็เห็นว่าภายในเจดีย์หินเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ยิ่งห้องหนึ่ง เวลานี้มีเงาร่างเดียวดายสายหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น สวมชุดสีเขียวทั้งตัว เป็นเจ้าคางคกนั่นเอง
เพียงแต่สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าซึม ท่าทางเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์