หนึ่งศร ยิงสังหารอูหลิ่วฉือ!
แม้จะเป็นหลินสวินก็ยังตกใจ ต่อให้อูหลิ่วฉือจะเป็นอริยะเทียม แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบุคคลที่น่ากลัวซึ่งอยู่ในหมู่อริยะ
แต่ตอนนี้ถูกศรเดียวยิงระเบิด วิญญาณและร่างกายดับสลาย!
หลินสวินก้มหน้าลงมองธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือ หว่างคิ้วเผยความแปลกประหลาด
เขารู้ว่าการยิงสังหารอูหลิ่วฉือได้ เป็นความดีความชอบของธนูนี้
‘ที่นี่อยู่นานไม่ได้…’
หลินสวินไม่อาจคิดอะไรมาก ยกมือขึ้นเรียกศรแห่งนภาครามคืน พร้อมกับเก็บค้อนทองแดงแสงอสนีและเข็มขัดเก็บของที่ร่วงหล่นจากร่างอูหลิ่วฉือแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
สวบ!
เงาร่างของเขาพริบไหว โคจรไอซวนหนีบดบังกลิ่นอายรอบตัว ไม่นานก็หายไปในท้องฟ้าห่างออกไป
“ราชครูเก้า!”
“ตายแล้ว? นี่… เป็นไปได้อย่างไร”
ไม่นานหลังจากนั้น เงาร่างที่กลิ่นอายน่ากลัวกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ชายชราที่เป็นผู้นำใบหน้าดำทะมึน สีหน้าเหี้ยมโหด สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อูหลิ่วฉือร่วงหล่น
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือ อริยะอย่างอูหลิ่วฉือกลับถูกระเบิดร่าง วิญญาณและร่างกายดับสลาย!
“หรืออริยะหญิงลึกลับคนนั้นลงมือแล้ว”
ชายชราสีหน้าอึมครึมสับสน
ทันใดนั้นเขาพลันโบกมือ “พวกเจ้ากลับไปรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสในเผ่า ข้าจะไปไล่ล่าเจ้าเด็กแซ่หลินนั่น!”
“ขอรับ ราชครูเจ็ด”
เงาร่างอื่นๆ ต่างตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา จึงรับคำสั่งแล้วจากไป
‘เด็กนี่สามารถฆ่าราชครูเก้าอูหลิ่วฉือได้ ย่อมสามารถคุมคามข้าได้เช่นกัน การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเสี่ยงไม่ได้ ขอเพียงแค่จับร่องรอยของเขาได้ ไม่ให้หนีไปได้ก็พอแล้ว’
‘ที่เหลือก็ให้คนอื่นเป็นคนจัดการแล้วกัน…’
ชายชราคือราชครูเจ็ดของเผ่าอีกาทอง นามว่าอูเหิงหยา ใคร่ครวญคร่าวๆ เขาก็ตัดสินใจได้
สวบ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของอูเหิงหยาก็พริบไหว หายไปกลางอากาศ
……
หมู่เขาสลับทับซ้อน ยอดเขารวมตัว ฟ้าดินเวิ้งว้างทั้งแถบ
ฟึ่บ!
ตรงหน้าหุบเขาแห่งหนึ่งห้วงอากาศพริบไหว สะท้อนเงาร่างของหลินสวินออกมา สายตาของเขากวาดมองรอบๆ จากนั้นก็ลงสู่พื้นดิน
สิบปีก่อนตอนที่เขา เจ้าคางคก และอาหลู่มุ่งหน้าไปยังสถานที่นำทาง เคยผ่านที่นี่และได้เจอกับชื่อเหยา
หลินสวินหาถ้ำแห่งหนึ่ง วางผนึกลายมรรคเองกับมือถึงค่อยผ่อนลมหายใจลง
‘ต้องเร่งฟื้นพลัง…’
หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้น ในใจสังหรณ์ได้อย่างแรงกล้า ว่าหลังจากโลกภายนอกรู้เรื่องที่ตนกระทำในแดนมกุฎ ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นจะต้องเคลื่อนไหวแน่!
อย่างเช่นสำนักกระบี่เทียมฟ้า อารามกษิติครรภ์
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มสงบจิตฝึกปราณ สั่งสมพลัง ไอวิญญาณในร่างไหลเวียนราวกับแม่น้ำใหญ่
บนเส้นทางหลังจากนี้ กลัวแต่ว่าจะไม่มีโอกาสจัดระเบียบร่างกายอีกแล้ว เขาจะต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด
ในขณะที่ฝึก หลินสวินก็แบ่งจิตเป็นสอง เริ่มพินิจธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
ตอนนั้นราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่เคยเตือนเขาว่า คันธนูนี้อันตรายยิ่ง ภายในสั่งสมไอดุดันที่น่ากลัวอย่างที่สุด ตอนที่ใช้มัน พลังปราณยิ่งสูง พลังสะท้อนกลับที่ได้รับก็จะยิ่งมาก
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา หากไม่มีความจำเป็นหลินสวินก็ใช้คันธนูนี้น้อยมาก
หลายปีที่ผ่านมานี้ เขากลายเป็นมกุฎราชันที่ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ไม่สามารถเทียบกับตอนที่อยู่โลกชั้นล่างได้ตั้งนานแล้ว
การเรียกใช้คันธนูนี้ในครั้งนี้ ตอนที่ใช้ศรแห่งนภาครามยิงสังหารอูหลิ่วฉือ หลินสวินรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่ดุดันรุนแรง น่ากลัวอย่างที่สุดชนิดหนึ่งซ่อนอยู่ในคันธนู
โดยเฉพาะยามใช้ธนูนี้ติดต่อกันหลายครั้ง ไออันดุดันรุนแรงนั่นก็เหมือนฟื้นตื่น เริ่มพุ่งออกมา
ตอนนั้นทำให้เขาจำต้องโคจรพลังทั้งหมด จึงพอจะสามารถควบคุมไว้ได้ ไม่ถูกไอที่ดุดันรุนแรงนั่นสะท้อนกลับ
หากไม่ใช่เช่นนี้ ตอนนั้นเขาไม่มีทางให้โอกาสอูหลิ่วฉือได้พักหายใจ ยิงธนูอย่างต่อเนื่องก็เพียงพอจะโจมตีอีกาเฒ่านั่นจนสะบักสะบอม!
แต่หลังจากนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับพันตะวันผลาญอากาศของอูหลิ่วฉือ จู่ๆ หลินสวินกลับสังเกตเห็นสัญลักษณ์ประหลาดแน่นขนัดไหลเข้าธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
และตอนนั้นเอง ภายในธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่กระเหี้ยนกระหือรือ ไอดุดันรุนแรงแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเชื่องอย่างหาที่สุดไม่ได้ ถูกหลินสวินควบคุมได้ดั่งใจ
หลังจากยิงธนูดอกนั้นออกมา ก็สังหารอูหลิ่วฉือได้ในคราเดียว!
ตอนนี้หลินสวินใช้จิตรับรู้แทรกเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็พลันเหมือนมาถึงแดนมารที่ไออันดุดันรุนแรงปกคลุมแห่งหนึ่ง
ไอดุดันที่น่ากลัวสั่นสะเทือน เป็นคลื่นราวกับธารดารา ยังมีเสียงเทพมารร่ำไห้หลั่งน้ำตา อริยะโหยหวนดังสะท้อนอยู่รางๆ
ทำให้หลินสวินตกใจจนเหงื่อท่วมตัวอย่างควบคุมไม่อยู่ นี่สังหารบุคคลที่น่ากลัวอย่างที่สุดไปมากเท่าไหร่กัน ถึงได้สั่งสมไอดุดันน่าตะลึงขนาดนี้
จากนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า สัญลักษณ์สีเลือดเบียดแน่นแปลกประหลาดตัวหนึ่งผุดขึ้นท่ามกลางไอดุดันไร้ขอบเขต ไหลเวียนด้วยความเร้นลับไม่มีที่สิ้นสุด คลุมเครืออย่างยิ่ง
สัญลักษณ์นี้ราวกับเจ้าเหนือหัว กำราบที่แห่งนี้ ทำให้ไอดุดันไร้สิ้นสุดนั้นเชื่องเชื่อ ราวกับกำลังก้มหัวเคารพ
‘สหายน้อย ข้าคือวิญญาณแห่งไร้แก่นสาร ในเมื่อธนูนี้ถูกเจ้าครอบครอง ก็พิสูจน์ว่าเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน ต่อไป… ต่อไปหากเป็นไปได้ โปรดเอาธนูนี้ไปที่หุบเขาตะวันคล้อย ไม่ขอให้เจ้าช่วยให้ข้าหลุดพ้น ข้าเพียงอยาก… ใช้ธนูนี้สังหารพวกเฒ่าสารเลวอีกในท้ายที่สุด!’
‘เช่นนี้แม้ตายก็สะใจ!’
น้ำเสียงแหบพร่า พูดถึงตอนท้ายก็แฝงความเดือดดาลและไอสังหารที่ควบคุมไม่อยู่ ทำให้ไอดุดันไร้ขอบเขตนั่นเดือดพล่านไปด้วย
หลินสวินลมหายใจสะดุด และก็เป็นตอนนี้ที่เสียงนั่นหายไปอย่างสิ้นเชิง ความผิดปกติทั้งหมดก็กลับคืนสู่ปกติ
มีเพียงสัญลักษณ์เบียดแน่นแปลกประหลาดนั่นที่ลอยอยู่
หลินสวินเก็บจิตรับรู้กลับไป ในใจเข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนสังหารอูหลิ่วฉือ เขาได้รับความช่วยเหลือจาก ‘วิญญาณแห่งไร้แก่นสาร” ที่ถูกขังอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยโดยบังเอิญ
และวิญญาณแห่งไร้แก่นสารนี้ ก็คือวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างไม่ต้องสงสัย!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์