สวบ!
เงาร่างหลินสวินเหินทะยาน ยืนตระหง่านกลางอากาศ จิตรับรู้ไพศาลแผ่กว้าง ชั่วพริบตาก็ปิดครอบแต่ละมุมทั่วลานเอาไว้
เสียงนับไม่ถ้วนดังขึ้น เสียงดื่มสุราชนจอก เสียงพูดคุยจอแจ เสียงล้อรถหมุนบดพื้นดิน…
เมืองกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปุถุชนสารพัดเรื่อง ทุกความเป็นไปของสรรพชีวิตถูกเก็บรวบไว้ในก้นบึ้งหัวใจ
ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินก็ไม่พบอะไรเลย
เขาย้อนกลับมาภายในเรือนพักอีกครั้ง ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน พบว่ากระบวนผนึกลายมรรคที่วางเอาไว้ไม่ประสบกับการซุ่มโจมตีใดๆ
สุดท้ายหลินสวินทอดมองเหมิงชิวจิ้ง ผู้อาวุโสสายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่ตายอนาถอยู่บนพื้น ทำการชี้ขาดอย่างหนึ่ง อีกฝ่ายตายเพราะถูกสะท้อนกลับจากพลังบางอย่าง
“นายท่าน เป็นเพราะชื่อนั้นที่เขาเอ่ยออกมา กระตุ้นพลังคำสาปต้องห้ามที่ถูกวางไว้ภายในกายของเขา ดังนั้นจึงเกิดการสะท้อนกลับ ช่วงชิงร่างและจิตของเขาไป”
เงาร่างของเสี่ยวอิ๋นเจาะทะลวงออกมาจากภายในร่างกายเหมิงชิวจิ้ง ทำการระบุแน่ชัด
ปาฉี!
หลินสวินย่อมไม่ลืมชื่อนี้อย่างแน่นอน
คนผู้นี้เป็นกึ่งจักรพรรดิ มาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อ ‘ทะเลดารามืด’ ในดินแดนโบราณยอดหยิน เคยฟูมฟักอวิ๋นชิ่งไป๋ และเคยชักใยคดีนองเลือดตระกูลหลินเองกับมือ!
เหมิงชิวจิ้งและอวิ๋นชิ่งไป๋ สุดท้ายก็เป็นแค่พวกที่เหมือนหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
หลินสวินนิ่งเงียบพักหนึ่ง โบกแขนเสื้อสะบัดพลิ้ว ร่างของเหมิงชิวจิ้งพลันกลายเป็นเถ้าถ่าน ระเหยหายเข้ากลีบเมฆไป
เสี่ยวอิ๋นถาม “นายท่าน คนผู้นี้ควรจัดการอย่างไร”
“ไว้ชีวิตเขาสักครั้ง”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “เขาเป็นลูกชายของเหมิงชิวจิ้ง ต่อไปจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
เสี่ยวอิ๋นพยักหน้า ยื่นมือคว้าออกไป หิ้วซ่งชิงอวิ๋นที่ยังหมดสติแหวกอากาศจากไป
หลินสวินนั่งในเรือนพักเพียงลำพัง ยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มเงียบๆ
ในคืนนี้เขาได้รู้ความจริงของคดีนองเลือดของปีนั้นคร่าวๆ และในที่สุดก็รู้ว่าฆาตรกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังคือใคร
เมื่อนึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋และเหมิงชิวจิ้งที่ตายไป ในใจเขาก็รู้สึกอัดอั้นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนสุดท้าย มีแค่หมากสองตัวตายไปเท่านั้น?
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินขัดใจอยู่บ้าง
“ปาฉี… ปาฉี… ข้าจะหาเจ้าให้พบ!”
เนิ่นนาน หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำวาบแววเด็ดเดี่ยว
ศัตรูเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ซ้ำยังมาจากนอกดินแดนรกร้างโบราณ ไม่รู้ไกลโพ้นปานใด แต่เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร
ขอเพียงตนค่อยๆ แกร่งขึ้นทีละน้อย ช้าเร็วต้องมีสักวัน ต่อให้เหยียบทำลายดินแดนโบราณยอดหยิน ก็ต้องลากคอตัวการหายนะบาปหนาคนนี้ออกมาให้ได้!
หลายวันต่อมาหลินสวินออกจากนครหยกขาวแล้ว
เดิมทีเขาตั้งใจไปแก้แค้นเหมิงหรง องค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินต่อ แต่ผ่านการสืบข่าวจากหลายฝ่าย กลับพบว่าอีกฝ่ายเหมือนระเหยเป็นไอไม่มีผิด หายลับอย่างไร้ร่องรอย
หลินสวินคาดเดาว่า อีกฝ่ายเกรงว่าจะเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ หลังจากได้รู้ข่าวที่ตนฆ่าอริยะ ก็เริ่มหนีไปซ่อนตัวอุตลุด
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินเองก็จนปัญญาเช่นกัน
แต่ว่ายามนี้อวิ๋นชิ่งไป๋และเหมิงชิวจิ้งตายแล้ว เหลือแต่ตัวประกอบอย่างเหมิงหรงและจ้าวจิ่งเจินสองคน เรียกคลื่นลมอะไรไม่ได้สักนิด
ต่อไปขอเพียงพวกเขากล้าโผล่หัวมา ก็คือวันตายของพวกเขา!
……
ครึ่งเดือนต่อมา หลินสวิน เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนรวมตัวกัน ออกจากแคว้นหมึกขาวที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตั้งอยู่ มุ่งหน้าสู่แดนดาราอุดร
บึงฝันเมฆา ตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของแดนดาราอุดร
นี่คือทิวเขาแหล่งน้ำที่กว้างใหญ่ประหนึ่งไร้ขอบเขต รักษาทิวทัศน์ดั้งเดิมในยุคบรรพกาล ทุกแห่งหนล้วนเต็มไปด้วยบึงทะเลสาบ เนินเขา ป่าทึบ ที่ราบรกร้าง…
นกผีเสื้อเจ็ดสีขนาดมหึมาสยายปีกเหินห้วงอากาศ ขับขานกังวานสนั่นฟ้า บนที่ราบกว้าง ฝูงสัตว์ที่ดุร้ายสุดขีดห้อตะบึง ร้องคำรามดุจกระแสอุทกธาร สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
บางคราวสามารถมองเห็นวานรขาวหิมะที่สูงใหญ่ราวกับเนินเขา โจนทะยานครั้งเดียวก็กระโจนขึ้นสู่เวิ้งฟ้า ยื่นมือออกมาก็ตะครุบนกยักษ์ตัวหนึ่ง ฉีกทึ้งกินสดๆ
และมีมดทองเหลืองขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏตัวเป็นกลุ่ม ทุกที่ที่จรผ่าน หินผาล้วนถูกกัดแทะกลายเป็นผุยผง ร่วงกระเซ็นเป็นฝุ่นผงเกลื่อนพื้น
ยามเมื่อพวกหลินสวินมาถึงบึงฝันเมฆา ก็เป็นสิบวันให้หลังแล้ว
“บึงฝันเมฆา ถูกเรียกอีกอย่างว่า แดนแห่ง ‘เทพรังเกียจผีเดียดฉันท์’ ดูเหมือนเก่าแก่ดั้งเดิม แต่ไอวิญญาณกลางฟ้าดินกลับเบาบางอย่างที่สุด หาใช่สถานที่ฝึกปราณในอุดมคติ”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวสบายๆ
ก่อนที่จะมุ่งหน้ามา นางเคยทำความเข้าใจข้อมูลข่าวสารของบึงฝันเมฆามาแล้ว
“หากเผ่าทอเมฆาอาศัยอยู่ที่นี่จริงก็คงถูกพบได้ยากยิ่ง สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนพลังชีวิตล้นหลาม เพียงแต่ไอวิญญาณขาดพร่องเกินไป”
เจ้าคางคกกล่าวประเมิน
และหลินสวินก็นำถุงหอมที่ไฉไฉ่มอบให้ออกมา ค่อยๆ คลี่เปิด ทันใดนั้นภาพที่น่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น เส้นด้ายที่คล้ายหมอกเมฆสายแล้วสายเล่าพุ่งโฉบออกมา วาวระยับโปร่งใส ค่อยๆ วาดเป็นเงาร่างที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของละอองแสงสายหนึ่งกลางห้วงอากาศ
รูปร่างหน้าตาเหมือนไฉไฉ่เป็นอย่างมาก
เจ้าคางคกอุทานอย่างสุดทึ่ง “แม่นางน้อยอย่างไฉไฉ่นี่ช่างฝีมือประณีตคล่องแคล่วยิ่งนัก นี่คงเป็น ‘วิชาทอหุ่น’ หุ่นที่ใช้ประกายวิญญาณถักทอขึ้นมาอย่างละเมียดละไม มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไป หุ่นน้อยตัวนี้น่าจะใช้นำทางโดยเฉพาะ”
กล่าวพลางก็เห็นเงาร่างที่ควบรวมมาจากประกายแสงนั่นเหินทะยานขึ้นดังสวบ พุ่งโฉบไปยังที่ไกลๆ
พวกหลินสวินรีบตามไปทันที
บินทะยานเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ เคลื่อนข้ามภูผาธาราลูกแล้วลูกเล่า หลังจากตัดผ่านบึงที่หมอกหนาคละคลุ้งแถบหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าพวกหลินสวินพลันสว่างขึ้นทันที
ก็เหมือนเข้าสู่แดนลึกลับแห่งหนึ่งในชั่วพริบตา เบื้องหน้าปรากฏเนินเขาที่เขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำแถบหนึ่ง ตั้งตระหง่านซ้อนกันอย่างงดงาม
ยอดเขาแต่ละลูกต่างก็มีปุยเมฆใหญ่ก้อนแล้วก้อนเล่าลอยเอื่อยอยู่เงียบๆ มีทั้งสีชาด สีม่วง สีคราม สีน้ำเง้นเข้ม งดงามอย่างที่สุด
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ ปุยเมฆมากมายนั้นถึงกับสร้างเป็นอาคารก่อสร้างแห่งแล้วแห่งเล่า ลอยผลุบโผล่อยู่ระหว่างภูผาธารา คล้ายอาณาจักรเมฆอย่างไรอย่างนั้น
“งามจริงๆ”
นัยน์ตาจ้าวจิ่งเซวียนเป็นประกาย เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสถานที่แปลกพิศวงเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์