ลัดเลาะตามเส้นทางแสนคุ้นเคย เดินขึ้นภูเขาชำระจิตทีละก้าว หลินสวินก็อดเลื่อนลอยไปน้อยๆ ไม่ได้
จากไปสิบกว่าปี ภูเขาชำระจิตเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทิวทัศน์ต่างๆ ยังคงคล้ายคลึงกับที่ผ่านมา แต่ก็มีคฤหาสน์ตัวอาคารใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมากมายเช่นกัน
หลินสวินยังจำได้แม่น ตอนที่เขาเหยียบย่างภูเขาชำระจิตครั้งแรกในปีนั้น ทุกแห่งหนต่างรกร้างว่างเปล่า!
‘ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีทิวทัศน์เช่นนี้ได้ มีหรือจะให้ดับสิ้นไปเช่นนี้…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อหัวใจทั้งดวงของเขา และเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของเขาก่อร่างสร้างฐานปกปักรักษามาหลายชั่วอายุคน
แม้ว่าที่แห่งนี้จะเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เคยตกอับ เคยเสื่อมโทรมมาก่อน แต่ตราบใดที่ลูกหลานตระกูลหลินยังคงอยู่ ต้องมีสักวันที่กลับสู่ช่วงรุ่งเรืองดังเช่นในอดีตแน่นอน!
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ฝืนระงับไอสังหารที่พลุ่งพล่านในใจเอาไว้
บริเวณยอดเขา โถงใหญ่ชำระจิตสว่างเรืองรอง ด้านนอกโถงใหญ่มีเงาร่างมากมายรอคอยอยู่ บรรยากาศเคร่งครัดอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับกำลังรออะไรบางอย่าง
สีหน้าแต่ละคนต่างแต้มแวววิตกกังวล
ขนาดหลินสวินและหลินเสวี่ยเฟิงเดินเข้าใกล้ยังไม่มีใครรู้สึกตัวสักคน
“หืม”
หลินเสวี่ยเฟิงอึ้งงัน เขาเองก็แปลกใจอยู่บ้าง เดินขึ้นไปข้างหน้าดึงคนผู้หนึ่งเอาไว้ เอ่ยถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
คนผู้นั้นเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง หลังจากจำฐานะของหลินเสวี่ยเฟิงได้ก็รีบพูดเป็นพัลวัน “เรียนนายน้อยเสวี่ยเฟิง เมื่อครู่มีคนที่อ้างตัวเป็นทูตตระกูลจั่วมา บอกว่าอยากหารือข้อตกลงกับตระกูลหลินของพวกเรา ตอนนี้อยู่ในโถงใหญ่ชำระจิตแล้วขอรับ”
ทูตตระกูลจั่ว!
หลินเสวี่ยเฟิงสีหน้าขรึมลง หารือข้อตกลงอะไรกัน ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
สายตาเขามองไปทางหลินสวิน กลับเห็นหลินสวินโบกมือ “นิ่งไว้อย่าลุกลน”
พร้อมกันนั้นจิตรับรู้ไพศาลของหลินสวินก็แผ่กว้างออกไป แผ่ครอบทั่วทั้งภูเขาชำระจิตในบัดดล
……
“แค่ตระกูลหลินของพวกเจ้าตอบตกลง นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้ออกจากภูเขาชำระจิต ทั้งส่งกองกำลังทั้งหมดที่อยู่ในครอบครองตระกูลหลินไปยังสนามรบพรมแดน ฆ่าศัตรูไถ่โทษ ตระกูลจั่วของข้าและตระกูลฉินย่อมร้องขอความเมตตาต่อองค์ชายสามให้ ไม่ให้ตระกูลหลินของพวกเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ‘ขายชาติ’ อยู่แล้ว”
จั่วเหวินคุนยืนมือไพล่หลังอยู่ในโถงใหญ่ชำระจิต สีหน้าโอหัง เอ่ยปากเนิบนาบ
เขาสวมชุดหรูหรา ประณีตเรียบร้อย ใบหน้าแคบตอบยาว ดวงตาสามเหลี่ยม
เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลจั่ว มุ่งหน้ามาคราวนี้เพื่อยื่นคำขาดครั้งสุดท้ายให้กับตระกูลหลิน
แม้จะตัวคนเดียว แต่เขาก็ไม่เกรงกลัวสักนิด
ณ ตอนนี้ ตระกูลหลินถูกโจมตีรอบด้าน โดดเดี่ยวไร้กองหนุน ขาดแค่ข้อหา ‘ขายชาติ’ ข้อเดียว ก็จะก้าวสู่ความพินาศย่อยยับอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ในโถงโคมไฟสว่างไสว บรรยากาศกลับเงียบสงัดหาใดเปรียบ มีเพียงเสียงราบเรียบโอหังของจั่วเหวินคุนเท่านั้นที่ก้องสะท้อนอยู่
คนใหญ่คนโตระดับสูงของตระกูลหลินหลายคนนั่งอยู่ตรงนั้น
ในหมู่พวกเขามีบุคคลสำคัญในสี่สายรองของตระกูลหลิน อย่างหลินไหวหย่วน หลินเป่ยกวง หลินซีซี หลินอวิ๋นเหิง หลินเฟยเสวี่ยเป็นต้น
และมีหลินจง พญาแร้ง เสี่ยวเคอ กับจูเหล่าซานด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ไม่ว่าใครต่างสีหน้าอึมครึมหาใดเปรียบ คนมากมายยิ่งเดือดดาลยากระงับ ดวงตาคล้ายเต็มไปด้วยเลือด จวนจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“นี่พวกเจ้าคิดจะบีบให้พวกเราตระกูลหลินไปตายสินะ”
พญาแร้งถอนใจเบาๆ
ยอมประเคนภูเขาชำระจิตให้ เท่ากับตัดขาดรากฐานที่บรรพบุรุษตระกูลหลินปูมาให้อย่างสิ้นเชิง
ส่งกองกำลังทั้งหมดไปสังหารศัตรูไถ่โทษที่ชายแดน นั่นไม่ต่างอะไรกับนักโทษเนรเทศเลย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจมีจุดจบแบบ ‘ไปไม่มีกลับ’!
เงื่อนไขสองข้อนี้ ไม่ว่าข้อไหนล้วนเป็นสิ่งที่ตระกูลหลินไม่อาจยอมรับได้
กลุ่มคนในที่นี้ย่อมเข้าใจดี ดังนั้นหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของจั่วเหวินคุน แต่ละคนล้วนมีสีหน้าไม่น่าดูถึงที่สุด
ในใจต่างมีความเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก
สิบกว่าปีก่อนพวกเขาตระกูลหลินผงาดขึ้นมาจากการตกอับ ชื่อเสียงกึกก้องทั่วหล้า ไต่เต้าขึ้นมาอยู่อันดับสูงสุดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลาง หากไม่ผิดคาด ภายหน้าช้าเร็วย่อมสามารถไต่เต้าเพื่อหวนสู่ความรุ่งเรืองในปีนั้น กลายเป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้ง
แต่ทว่าเรื่องผิดคาดกลับอุบัติขึ้นในสถานการณ์ที่ ‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน’ ซึ่งต่อเนื่องมาสิบกว่าปีจนได้!
ยามนี้ในสนามรบ กองกำลังใต้บัญชาของตระกูลหลินสูญเสียไปกว่าครึ่ง พาให้พลังดั้งเดิมของตระกูลหลินเสียหายหนัก หากถูกยัดเยียดข้อหาขายชาติเข้าไปอีก เช่นนั้นก็ห่างจากการสิ้นตระกูลไม่ไกลแล้วจริงๆ
“นี่ย่อมดีกว่าถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขายชาติเป็นไหนๆ ไม่ใช่หรือ”
จั่วเหวินคุนหัวเราะน้อยๆ เขาเพลิดเพลินกับความรู้สึกเช่นนี้จริงๆ เหมือนกับสามารถกำหนดความเป็นความตายของตระกูลหนึ่งได้
“เหลวไหล! ตระกูลหลินของข้าเคยขายชาติเมื่อไหร่กัน”
หลินเป่ยกวงที่นิสัยเลือดร้อนโพล่งผรุสวาทเสียงดังลั่น สีหน้าเขียวคล้ำ “พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าผู้คนในใต้หล้าจะลำบากเลยหรือ”
จั่วเหวินคุนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา “การมอดดับของตระกูลหลินตระกูลเดียว ไม่ส่งผลต่อภาพรวมทั้งจักรวรรดิหรอก อย่าสำคัญตัวเองเกินไปเลย เรื่องบนโลกใบนี้อยู่ในเงื้อมมือของผู้มีอำนาจแท้จริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็อย่างเช่นตระกูลจั่วของพวกข้า ตระกูลฉิน และอย่างเช่น… ราชวงศ์”
พญาแร้งมุ่นคิ้วกล่าว “ข้อหาขายชาติ ต้องให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นผู้กำหนดโทษ เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่มีคุณสมบัติกระมัง”
จั่วเหวินคุนหัวเราะเย้ยหยัน “อ่อนหัด ตอนนี้องค์ชายสามต่างหากที่กุมอำนาจปกครองราชสำนัก แค่เขาพูดประโยคเดียว พวกเจ้าตระกูลหลินยังจะหนีข้อหาขายชาติได้อีกหรือ”
นิ่งไปครู่หนึ่งเขาค่อยกล่าวต่อ “อย่าลืมสิ พวกเรามีหลักฐานอยู่ในมือ อสูรมารบำเพ็ญของพวกเจ้าตระกูลหลินนั่น ตอนนี้ก็ทรยศไปแล้ว!”
“ใส่ร้ายป้ายสี!”
ชั่วขณะนั้นทุกคนในโถงใหญ่ต่างเดือดดาล นี่มันยัดเยียดข้อกล่าวหากันชัดๆ
“ความที่จะใส่ มีหรือจะกลัวไร้ข้ออ้าง”
พญาแร้งถอนใจเบาๆ
เขาเข้าใจโดยสิ้นเชิงแล้ว วันนี้ตระกูลจั่วส่งทูตมาคราวนี้ ไม่ใช่เพื่อมาทำข้อตกลง แต่ต้องการบีบให้ตระกูลหลินอับจนหนทางต่างหาก!
จั่วเหวินคุนแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง กล่าวว่า “หัวรั้นไม่เข้าท่า ข้าจะถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าไม่คิดจะยอมรับความหวังดีจากพวกข้าตระกูลจั่วและฉินจริงๆ ใช่หรือไม่”
ประโยคนี้พาให้บรรยากาศในโถงใหญ่เงียบกริบ
พวกเขาเพิ่งเห็นว่าด้านหลังหลินเสวี่ยเฟิงมีเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมา สวมอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ดวงหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึก มีกลิ่นอายแปลกแยกหลุดพ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์