เวลาสิบกว่าปีสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้มากมาย
แต่จั่วเหวินคุนไม่เชื่อสักนิด หลินสวินที่จากโลกชั้นล่างในปีนั้นเพิ่งมีปราณแค่ระดับหยั่งสัจจะ ภายในเวลาสิบกว่าปีสั้นๆ จะมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังแค่ไหนกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แข็งแกร่งทรงพลังแล้วอย่างไร
สุดท้ายเขาก็แค่ตัวคนเดียว!
เมื่อก่อนมีราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลคุ้มครอง มีเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตสนับสนุน มีเทพเศรษฐีสือผู้ก่อตั้งอัครการค้าอุปถัมภ์ จึงทำให้พวกเขาสองตระกูลจั่วและฉินหวาดหวั่น ได้แต่อดกลั้น
แต่ยามนี้ ทุกอย่างล้วนต่างออกไปแล้ว
ต่อให้เขาหลินสวินกลับมา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่จะมอดดับของตระกูลหลินได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ ภายในใจจั่วเหวินคุนก็ยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่มองทางหลินสวินถึงขั้นเจือแววเวทนา
กลับมาเวลานี้ ก็เหมือนเอาตัวมาติดร่างแหชัดๆ โง่เหลือเกิน!
“นายน้อย นี่…”
หลินจงพลันสงบลงมาทันที เพิ่งตั้งท่าจะอธิบายอะไรก็ถูกหลินสวินตัดบท “ลุงจง ข้าพอรู้เรื่องราวมาบ้างแล้ว เรื่องพวกนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน”
คนตระกูลหลินที่เดิมทีชื่นมื่น ตื่นเต้น งุนงง เวลานี้ก็ค่อยๆ สงบลงมา พร้อมกันนั้นก็มีความกังวลอย่างหนึ่งเอ่อทะลักจิตใจ
หลินสวินกลับมาย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง แต่สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงสุดขีด จวนเผชิญหน้ากับการดับสูญรอมร่อ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินยังสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้อยู่หรือ
“เฮอะๆ แค่เจ้าเนี่ยนะ”
สีหน้าจั่วเหวินคุนยิ่งสมเพชขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหนุ่มคนนี้ เกรงว่ายังไม่รู้สถานการณ์ในยามนี้ของตระกูลหลินเลยสักนิด!
หลินสวินเบือนศีรษะ ปรายตามองจั่วเหวินคุนปราดหนึ่ง
นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เหลือบสายตามองจั่วเหวินคุน
จากนั้น…
จั่วเหวินคุนคุกเข่าลงเสียงดังปึง เอาหัวโขกพื้น!
ทุกคนในโถงใหญ่พากันตกใจ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้สัมผัสถึงอะไรเลยสักนิด แต่จั่วเหวินคุนคุกเข่าลงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากะทันหันเกินไป
ควรรู้ว่าเจ้าหมอนี่ในฐานะทูตของตระกูลจั่ว เดิมทีก็เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง เมื่อครู่อยู่ในโถงใหญ่ยังเชิดหน้าชูคอ วางท่าเหยียดหยันชี้นิ้วออกคำสั่ง ไม่เห็นใครในสายตาสักนิด
แต่ตอนนี้หลินสวินแค่เหลือบมองเขาปราดเดียว ก็คุกเข่าลงตรงๆ เสียแล้ว!
หลังจากนั้นทั่วร่างจั่วเหวินคุนก็บิดเกร็งขึ้นมา หายใจเฮือกตะโกนลั่น แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกมา คิดอยากเงยหน้าหยัดตัวขึ้น ทว่าขนาดเรี่ยวแรงจะขัดขืนยังไม่มี
จิตใจและสติสัมปชัญญะของเขา ล้วนถูกความน่าสะพรึงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งกลบมิด เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าทั้งแถบ
ชำเลืองตาปราดเดียว เป็นหรือตายไม่ได้ขึ้นกับตน!
ได้เห็นภาพเหตุการณ์แปลกพิสดารนี้ ทุกคนในโถงใหญ่ต่างพากันตกใจ สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป ผ่านไปสิบกว่าปี ความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูลทรงพลังถึงขั้นไหนกันแน่
“ผู้นำตระกูล คนผู้นี้เป็นทูตตระกูลจั่ว พวกเราทำแบบนี้…”
หลินไหวหย่วนลังเลครู่หนึ่ง อดเอ่ยเตือนไม่ได้
คนอื่นๆ ก็พากันลอบพยักหน้า ทำแบบนี้เกรงว่าจะฉีกหน้าตระกูลจั่วและตระกูลฉินอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือที่ว่างให้ถอยอีกต่อไป
“ตระกูลจั่วมีอริยะหรือไม่”
หลินสวินถาม
ทุกคนพากันส่ายหน้า อริยะ? นั่นเป็นถึงตัวตนที่เหมือนตำนานเล่าขาน อย่าว่าแต่ตระกูลจั่ว ทั่วทั้งจักรวรรดิในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ยังหาอริยะไม่เจอสักคน!
หืม?
ไม่ถูก เหตุใดผู้นำตระกูลถามหาอริยะ
ทันใดนั้นภายในใจทุกคนไหวสะท้าน คล้ายเข้าใจอะไร ต่างฉายแววตกใจ
แต่ยามที่เอ่ยถาม หลินสวินได้พาพญาแร้งและหลินจงเดินขึ้นชั้นสองไป หายไปจากการมองเห็นของทุกคน
ครู่ใหญ่หลินไหวหย่วนจึงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กล่าวว่า “ประโยคนั้นของผู้นำตระกูลหมายความว่าอย่างไร หรือว่า… อานุภาพต่ำกว่าอริยะ ล้วนไม่สามารถเป็นภัยคุกคามผู้นำตระกูลได้แล้ว”
ประโยคเดียวทำเอาทั้งโถงพากันเงียบกริบขึ้นมา เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง และภายในใจกลับอดคิดเตลิดไปไม่ได้
ไม่ถามหาระดับราชัน ไม่สนใจอำนาจของสองตระกูลจั่วและฉิน ถามแค่ประโยคเดียวว่ามีอริยะหรือไม่
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ ช่างสะท้านจิตใจผู้คนเกินไปจริงๆ!
“หลายปีนี้ผู้นำตระกูลจะต้องมีโชควาสนาที่น่าทึ่งมากแน่ๆ เปลี่ยนไปจนต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว…”
หลินเป่ยกวงทอดถอนใจ
คนอื่นๆ ต่างก็ถอนใจเช่นนี้เหมือนกัน หลินสวินยังคงเป็นหลินสวิน แต่ความรู้สึกที่นำมาสู่พวกเขากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภายใต้กลิ่นอายที่ดูเหมือนนิ่งสงบของเขา กลับให้ความรู้สึกไม่อาจเอื้อมที่เหยียดหยันปวงชีวิตก็ไม่ปาน พาให้ผู้คนรู้สึกเพียงว่าได้แต่แหงนหน้าเงยมอง
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้รุนแรงนัก แต่ขอเพียงสัมผัสอย่างละเอียดก็จะรับรู้ได้
“ไม่ว่าอย่างไรผู้นำตระกูลก็กลับมาแล้ว ต่อให้พรุ่งนี้ตระกูลหลินจะเผชิญหน้ากับคลื่นลมโหมกระหน่ำ พวกเราก็มีแกนนำหลักแล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวอีกต่อไป!”
หลินเสวี่ยเฟิงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลินสวินกลับมาแล้ว ตระกูลหลินแห่งนี้มีเสาหลักแล้ว!
บนพื้น จั่วเหวินคุนคุกเข่าอยู่ตรงนั้นประหนึ่งโง่งม ขวัญหลุดวิญญาณล่องลอย
…
ชั้นสองตำหนักชำระจิต
“ลุงจง ท่านพญาแร้ง หลายปีมานี้ลำบากกันแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โค้งคำนับอย่างตั้งใจ
หยาดน้ำตาหลินจงไหลหลั่ง กุลีกุจอพยุงหลินสวินขึ้นพลางกล่าว “นายน้อย ขอแค่ท่านมีชีวิตอยู่ พวกเราตระกูลหลินก็มีหวัง!”
ภายในใจพญาแร้งก็ตื้นตันไม่สิ้นเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์