พื้นลานทรุดโทรมไปนานแล้ว ขั้นบันไดหินหน้าประตูยังปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ บนกำแพงเตี้ยมีวัชพืชงอกขึ้นตามแนว
แต่เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินกลับหรี่ลงกะทันหัน สายตาจับจ้องบานประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้น ในใจกลับผุดความสงสัยขึ้นมา
รอบบริเวณลานนี้ปกคลุมด้วยพลังผนึกต้องห้ามที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง!
พลังนี้ไม่เด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง กลมกลืนกับฟ้าดินโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ตะไคร่น้ำบนขั้นบันไดหิน วัชพืชบนแนวผนัง แม้แต่ภาพทุกอย่างที่เห็นต่อหน้าล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังผนึกต้องห้ามนี้ไปได้นานแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในมุมมองของหลินสวิน ตะไคร่น้ำ วัชพืช ประตูไม้ ผนังกำแพงนั่น… ต่างเรียกได้ว่าเป็นรอยสลักวิญญาณอย่างหนึ่งที่ผนึกต้องห้ามนี้สร้างขึ้นมา!
นี่… ใครเป็นคนวางเอาไว้กัน
หลินสวินแผ่จิตรับรู้ พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วหมู่บ้านเฟยอวิ๋น
ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็สรุปได้ว่า ทั่วทั้งหมู่บ้านนี้มีเพียงบ้านทรุดโทรมที่ตนเคยอาศัยอยู่นี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามแปลกประหลาดเช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินยิ่งสงสัยไม่แน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะนั้นเขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน เนิ่นนานไม่ยอมก้าวไปไหน
‘จะต้องมีคนเคยมาที่นี่แน่นอน เพียงแต่จะเป็นใครกันแน่ และมาที่นี่เพื่อหาอะไร’
สีหน้าหลินสวินวูบไหวไม่แน่นิ่ง
ท้ายที่สุดเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปผลักประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทนั่น
อี๊ดอาด!
ประตูบานใหญ่ที่ผุพังด่างพร้อยตั้งแต่ต้นถูกผลักออกอย่างง่ายดาย
วู้ม!
แต่ในเวลานี้เอง รอบบริเวณบ้านนี้นับตั้งแต่ร่องรอยตะไคร่น้ำที่หน้าบันไดหิน เรื่อยมาจนถึงวัชพืชบนแนวผนัง จู่ๆ ก็ผุดเกลียวกระเพื่อมแปลกประหลาดราวกับระลอกคลื่นเกลียวแล้วเกลียวเล่าขึ้นมา
ทันใดนั้นหลินสวินสายตาพร่าลาย ปรากฏภาพเหตุการณ์สีสันฉูดฉาดภาพแล้วภาพเล่า ราวกับห้วงเวลาย้อนกลับไปยังหลายปีก่อนในชั่วพริบตา
นั่นเป็นช่วงบ่ายวันหนึ่ง อาทิตย์อัสดงสาดแสงอาบไล้ท่ามกลางเขาเขียวขจีที่อยู่ไกลๆ
ชายชราเงาร่างผอมแห้งคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าลานบ้านแห่งนี้ เขาเอามือไพล่หลัง ยืนนิ่วจับจ้องครู่หนึ่ง ก่อนระบายยิ้มเล็กน้อยแล้วผลักประตูเดินเข้าไป
เขาเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เดินเข้ามาในห้องที่หลินสวินเคยอาศัยอยู่ นั่งลงหน้าโต๊ะที่หลินสวินเคยใช้ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
และจากนั้นเขาหยัดตัวลุกขึ้นเดินมาอยู่กลางลานบ้าน หย่อนตัวนั่งลงใต้ต้นหลิวสีเขียวต้นนั้นอย่างสบายๆ หันหน้าเข้าหาอาทิตย์ตกดิน นั่งเงียบๆ ทอดมองบ้านหลังนี้ด้วยอาการเหม่อลอย
และเวลานี้หลินสวินก็นิ่งค้างอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน จิตใจที่หนักแน่นดั่งหินผา ยามนี้กลับตื่นเต้นขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
ชายชราคนนั้นผมเผ้าเคราหนวดรุงรัง รอยย่นบนหน้าราวกับหุบเขาเคลื่อนขวาง เงาร่างผอมตอบดั่งลำไผ่ แม้ว่าสีหน้าจะสงบนิ่ง แต่สายตากลับยังคงเปี่ยมแววดื้อแพ่งแข็งกร้าว
หลินสวินรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน
เพราะนี่คือท่านลู่ที่ชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ ลู่ป๋อหยา!
“ท่านลู่ ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย…”
สองกำปั้นของหลินสวินกำแน่นอย่างควบคุมไม่อยู่ สภาพจิตใจปั่นป่วนเดือดพล่าน
ตอนที่เขาออกจากคุกใต้เหมืองในปีนั้น เคยเห็นมือยักษ์สีม่วงที่ราวกับครอบคลุมท้องฟ้าข้างหนึ่งปรากฏขึ้น และตบลงมาอย่างไร้ปรานีกับตาตัวเอง
และก็เคยเห็นสีหน้าฉุนเฉียว เดือดดาล และร้อนรนของท่านลู่ด้วย
ตอนนั้นหลินสวินคิดว่านี่คือครั้งสุดท้ายในชีวิตที่จะได้เห็นท่านลู่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านลู่จะยังไม่ตาย!
เฮือก!
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามทำให้ตนสงบสติอารมณ์ลง และ ‘ดู’ ต่อไป
เขารู้ ภาพเหตุการณ์แต่ละภาพที่เห็นตรงหน้านี้เป็น ‘รอยประทับ’ ที่ถูกตราตรึงอย่างหนึ่ง เป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ฉายซ้ำเหมือนกับย้อนเวลากลับไป
ยามนี้ท่านลู่หยัดตัวลุกขึ้น หยิบตำราหยกสีดำสนิทอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พร้อมๆ กับเสียงครวญใสที่ดังขึ้น ตำราหยกนั้นแผ่ประกายแสงแปลกประหลาดออกมา สาดละอองแสงงดงามดั่งภาพฝันมายาออกมาสายแล้วสายเล่า
จากนั้นภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น
บนตำราหยกเริ่มปรากฏภาพขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันช่วงสมัยเด็กที่หลินสวินอาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้นั่นเอง
ฝึกสลักวิญญาณ เคี่ยวกรำวิชายุทธ์ ฝึกพลังกาย… แล้วยังมีภาพเหตุการณ์มากมายอย่างเช่นก่อไฟทำอาหาร ล้างหน้าแปรงฟันทำความสะอาดเป็นต้น…
ท่านลู่ยืนนิ่งตรงนั้น ทอดมองภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นบนตำราหยกสีดำสนิทนั้นเงียบๆ บนแก้มผอมตอบบ้างก็ฉายแววปิติ บ้างก็ขมวดคิ้ว บ้างก็ปวดร้าว บ้างก็สุขใจ…
และยามนี้ในใจหลินสวินก็ซับซ้อนไม่สิ้นเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตำราหยกสีดำสนิทอันหนึ่ง จะถึงกับฉายร่องรอยในวัยเด็กของตนที่ตราตรึงอยู่ในบ้านแห่งนี้ขึ้นมาทีละเหตุการณ์
ตำราหยกสีดำสนิทนี้เป็นสมบัติแสนมหัศจรรย์ถึงที่สุดอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
เนิ่นนานประกายแสงของตำราหยกสีดำสนิทก็หรุบหรู่ ภาพเหตุการณ์ฉากแล้วฉากเล่านั้นอันตรธานหายไป
“ดี ดี ดี…”
ท่านลู่ดูคล้ายไม่อาจระงับอารมณ์ภายในจิตใจลงได้ ริมฝีปากกล่าวพึมพำ “หากคุณหนูได้เห็นเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
เสียงนี้เจือความปวดร้าวและพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
จู่ๆ ลู่ป๋อหยาก็แค่นหัวเราะคราหนึ่ง “มิน่ากาลเวลาอันไร้สิ้นสุดผ่านไปถึงยังไม่ถอดใจ ที่แท้เจ้านายของเจ้าก็ยังคิดคำนึงถึงสมบัตินี้อยู่ ข้าได้แต่บอกเจ้าว่า ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่มีวันได้ครองสมบัตินี้อีกแล้ว!”
หญิงผมม่วงนิ่งเงียบพักหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า… มีคนที่มีคุณสมบัติเปิดประตูโถงมรรคาสวรรค์แล้วอย่างนั้นหรือ”
ลู่ป๋อหยากล่าวเย็นชา “หรือนายของเจ้าไม่ได้บอกเจ้า ในโลกนี้คนที่มีคุณสมบัติจะเปิดประตูบานนั้นได้ มีเพียงผู้สืบทอดสายตรงจากสายเลือดคุณหนูเท่านั้น”
“เป็นไปไม่ได้ ปีนั้นตอนที่ลั่วชิงสวินหนีโทษทรยศออกมา ได้ถูกทำลายพลังสายเลือดไปแล้ว ต่อให้ผ่านการฝึกปราณในกาลเวลาไร้สิ้นสุดก็ไม่มีทางฟื้นคืนได้เด็ดขาด และถูกลิขิตให้ไม่มีวันเปิดประตูสวรรค์นั่นได้อย่างแน่นอน”
“ส่วนพี่ชายของนางก็เหยียบย่างระดับราชันอริยะตั้งแต่ตอนที่หนีโทษทรยศแรกๆ แล้ว ชีวิตนี้ได้พลาดโอกาสเปิดประตูสวรรค์นั่นไปเรียบร้อยแล้ว”
หญิงผมม่วงกล่าวถึงตรงนี้ก็คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง อานุภาพน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดแผ่ซ่านออกมาโดยพลัน แม้แต่ผมสีม่วงยังปลิวสะบัดขึ้นมา กล่าวเย็นชาว่า “คงไม่ใช่… ลั่วชิงสวินมีทายาทแล้วกระมัง”
สีหน้าลู่ป๋อหยาราบเรียบมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า “เจ้ายังไม่ถือว่าโง่เกินไปนัก ปีนั้นคุณหนูบาดเจ็บสาหัส หลบหนีมายังโลกนี้ และจมสู่ภวังค์เงียบงันในกาลนิรันดร์ จนกระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อนเพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์เงียบงัน น่าเสียดาย… ตอนนั้นนางสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป…”
กล่าวถึงตรงนี้ หว่างคิ้วลู่ป๋อหยาฉายแววเจ็บปวดขึ้นมา
สักพักจู่ๆ เขาก็ปลุกขวัญกำลังใจขึ้น ฉายรอยยิ้มฮึกเหิม “แต่โลกที่ไม่อาจคาดเดาได้นี้ย่อมมีลิขิตสวรรค์ ถึงคุณหนูจะสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป แต่ในโลกนี้ก็มีลูกที่สืบทอดพรสวรรค์สายเลือดของนางคนหนึ่ง!”
เขายิ่งพูดยิ่งคึก ถึงขั้นที่สีหน้าดูเดือดคลั่งอย่างเห็นได้ชัด ระเบิดหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
“ทั้งชีวิตนี้เจ้ากับนายของเจ้าคงคิดไม่ถึงว่าจะยังมีปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดขึ้น! คอยดูเถอะ ต่อไปเมื่อเด็กคนนั้นเหยียบย่างฟ้าดารา ค้นหาชาติกำเนิดของตน พวกเจ้า… ล้วนต้องชดใช้ให้กับความผิดที่ตนก่อ!”
เสียงเน้นถ้อยเน้นคำฉายแววสะใจหาใดเปรียบ
“ข้าจะหาตัวมารหัวขนนั่นให้ได้!”
หญิงผมม่วงกล่าวเย็นชา
ลู่ป๋อหยาเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไม่ เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว ปีนั้นตอนที่เจ้าลงมือทำลายคุกใต้เหมืองนั่นทิ้ง ก็ถูกกำหนดแล้วว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่อาจหาเขาพบอีก”
สีหน้าเขาเลือนรางอีกครั้ง กล่าวพึมพำ “จะว่าไป ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของเด็กคนนั้น หากไม่ผิดคาดน่าจะเหยียบย่างขอบเขตมกุฎระดับราชันตั้งนานแล้วกระมัง เวลาผ่านไปรวดเร็วซะจริง…”
“ยังไม่เป็นอริยะก็ยังเป็นมดอยู่ดี ต่อให้เป็นอริยะ หากคิดจะข้ามทางเดินโบราณฟ้าดารา ก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าแค่มารหัวขนคนหนึ่ง ต่อให้ได้ครองห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้วจะก่อคลื่นลมอะไรได้”
เสียงหญิงผมม่วงยังคงไร้คลื่นอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ “บอกได้เพียงว่าเจ้าดีใจเร็วเกินไป”
ลู่ป๋อหยากล่าวเรียบๆ “มีหวังอย่างไรก็ดีกว่าไร้หวัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อที่คุณหนูตั้งให้เด็กคนนั้นชื่อว่าอะไร”
ไม่รอให้ตอบกลับ เขาก็พูดต่อเองว่า “คำเดียว… สวิน[1]! คุณหนูและข้าล้วนเชื่อว่า ต้องมีสักวันที่เขาจะค้นพบความจริงในปีนั้น!”
…………………..
[1] สวิน (寻) หมายถึง ตามหา เสาะแสวงหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์