เขาวายุดำ ทะเลสาบวาโยอสนี
ชั่วพริบตานั้นที่หลินสวินปรากฏตัวนอกทะเลสาบวาโยอสนี ก็ถูกราชันผึ้งขาวสังเกตเห็นแล้ว แต่เขาไม่ได้กังวลอะไร
ตอนนี้ในทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้มีราชันอสูรมารรวมตัวอยู่ ทั้งยังมีราชันพ่อมดสิบสามคนมาร่วมเป็นพันธมิตร ราชันผึ้งขาวจึงมองว่าหลินสวินมาคราวนี้รอดยากแน่
มิหนำซ้ำยังมีราชันอาภรณ์ดำควบคุมที่นี่ด้วย
แต่หลังจากได้เห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่หลินสวินคนเดียวสังหารราชันอสูรมารไปสิบกว่าตน ราชันผึ้งขาวพลันนั่งไม่ติดแล้ว หน้าเปลี่ยนสีทันตา
เขารับรู้ได้ว่าตนยังประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปมาก!
ไม่เพียงแต่ราชันผึ้งขาว เหล่าราชันอสูรมารที่รวมตัวอยู่ใกล้เคียงในตอนนี้ แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ กระวนกระวายไม่สงบ
“ทำไมเขา… ถึงน่ากลัวขนาดนี้ได้นะ”
ราชันอสูรมารเหล่านั้นเอ่ยปาก ต่างตกตะลึงไม่หยุด
“ร้ายกาจ!”
ข้างกัน ราชันพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งชื่นชม
คนผู้นี้ร่างสูงโปร่ง บนผิวหนังประทับสักสัญลักษณ์แน่นขนัด นัยน์ตาทั้งสองเป็นแนวตั้ง ดูพิสดารหาใดเทียบ
คนผู้นี้ก็คือ ‘ราชันพ่อมดภูเขา’ สายคนเถื่อนพสุธา!
ราชันพ่อมดสิบสามคนร่วมกันเคลื่อนไหวคราวนี้ ก็มีราชันพ่อมดภูเขาเป็นผู้นำ
“สหายยุทธ์ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ราชันผึ้งขาวสีหน้านิ่งขึง
“ยอมรับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอาย”
ราชันพ่อมดภูเขาเอ่ยเรียบเฉย “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ จะยังมีโอกาสให้พวกเราได้ลงมือได้อย่างไร”
ราชันผึ้งขาวหัวเราะหยัน “พูดเช่นนี้ สหายยุทธ์มั่นใจว่าจะกำราบเด็กนี่ได้แล้วหรือ”
ราชันอสูรมารตนอื่นก็ทอดสายตามองมา สีหน้าไม่เป็นมิตร
“ถ้าไม่แน่ใจพวกเราจะมาทำอะไรที่นี่ มาหาที่ตายหรือ”
ราชันพ่อมดภูเขาหัวเราะขึ้นมา เขาดูอวดดีและมั่นใจนัก มองไปไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกคนอยู่รอก็พอ ตอนเด็กนี่มาถึงให้พวกข้าลงมือก็จะสังหารไอ้เวรนี่ได้!”
ราชันผึ้งขาวหวังใจให้ราชันพ่อมดเหล่านี้ลงมือ พอได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า “เช่นนั้นพวกเราก็จะเช็ดตาคอยดูแล้ว หวังว่าสหายยุทธ์จะทำให้พวกเราประหลาดใจได้สักครั้ง ทั้งให้พวกเราได้เห็นฝีมือของพ่อมดเถื่อนเสียหน่อย”
ราชันพ่อมดภูเขายิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ข้างกายเขา ราชันพ่อมดอีกสิบสองคนต่างสงบเยือกเย็น
ตั้งแต่เริ่มจนจบ ภายในถ้ำสถิตปิดเงียบแห่งนั้นราชันอาภรณ์ดำไม่ได้พูดจาสักคำ คล้ายไม่รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอกเลย
“มาแล้ว!”
ราชันผึ้งขาวหรี่ตาลง
เหล่าราชันอสูรมารกับราชันพ่อมดต่างพากันทอดสายตามองออกไปไกล
เหนือทะเลสาบ หลินสวินเดินเหยียบย่างบนอากาศอยู่ผู้เดียว แขนเสื้อโบกสะบัด กลิ่นอายราบเรียบปลอดโปร่งผิดจากปุถุชน
“ดูท่าพวกเจ้าคงเตรียมรับความตายกันแล้ว ใครจะมาสู้ก่อน หรือพวกเจ้าจะมาเสียด้วยกัน”
หลินสวินเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังเขาวายุดำที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับดังไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบพิภพ
“หึ!”
พวกอสูรมารเช่นราชันผึ้งขาวแต่ละคนสีหน้าอึมครึม แค้นจนเข่นเขี้ยว พวกเขาเคยถูกคนอื่นปฏิบัติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“หลินสวิน ความตายจะมาเยือนเจ้าอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือ”
ทันใดนั้นราชันพ่อมดภูเขาก็ส่งเสียงเฉยชา เงาร่างทะยานขึ้นฟ้า
สวบๆๆ!
ราชันพ่อมดอีกสิบสองคนก็ทะยานขึ้นฟ้าตามไปด้วย มองไกลๆ เหมือนกับเทพเถื่อนสิบสามองค์ กลิ่นอายดูน่าครั่นคร้ามผิดธรรมดา
‘สวะพ่อมดเถื่อนหรือ’
หลินสวินคล้ายครุ่นคิด “ดูท่าพวกเจ้าก็คงนั่งไม่ติดแล้ว กังวลว่าหลังจากข้าฆ่าเดรัจฉานชั่วพวกนี้ไปแล้วจะไปก่อความยุ่งยากให้พวกเจ้าพ่อมดเถื่อนเก้าสาย ดังนั้นพวกเจ้าเลยแจ้นมาหาที่ตายก่อนใช่ไหม”
“หึ ปากคอเราะราย ปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้ จะส่งเจ้าไปตายเสียตอนนี้เลย!”
ราชันพ่อมดภูเขาส่งเสียงหยันครั้งหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ รูปปั้นสีเลือดพิลึกพิลั่นตัวหนึ่งก็ทะยานขึ้นฟ้า
ขณะเดียวกันเขากับราชันพ่อมดอีกสิบสองคนสวดคาถาคลุมเครือและน่าพิศวง เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณดึกดำบรรพ์
ภาพที่น่าตื่นตะลึงปรากฏขึ้นแล้ว…
ร่างกายของราชันพ่อมดทั้งสิบสามคนแปรเปลี่ยนเป็นรุ้งเทพสายแล้วสายเล่า แทนพลังมหามรรคของธาตุทองไม้น้ำไฟดิน เมฆลมอสนี พุ่งเข้าไปในรูปปั้นสีเลือดแปลกประหลาดตัวนั้นด้วยกัน
ตูม!
ชั่วพริบตารูปปั้นนั้นพลันมีรุ้งเทพทะลวงเมฆาลอยสูงขึ้นแทงทะลุเวิ้งฟ้า เผยให้เห็นดวงดาราดวงแล้วดวงเล่า
กลิ่นอายน่าตื่นตะลึงนัก!
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลง
ก็เห็นว่ารูปปั้นนั้นราวกับตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นมหึมาหาใดเทียบในทันใด กลายเป็นเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่ง
เขาหน้าเขียวมีเขี้ยวงอก เท้าเหยียบวาโยอสนีหยินหยาง หูห้อยห่วงอสูร ที่คอยังสวมสร้อยกระดูกเส้นหนึ่ง บนผิวหนังเปลือยประทับไปด้วยสัญลักษณ์แน่นขนัด
ในสัญลักษณ์นั้นมีปรากฏการณ์อย่างปัญจธาตุ หยินหยาง รวมถึงสุริยันจันทราดวงดารา ตัวเขาคนเดียวกลับเหมือนเทพองค์หนึ่ง มีอานุภาพรองรับฟ้าดิน ควบคุมสรรพสิ่ง!
“ดี!”
เหล่าอสูรมารอย่างราชันผึ้งขาวดวงตาเปล่งประกาย แม้แต่พวกเขายังคิดไม่ถึงว่าราชันพ่อมดเหล่านี้จะเตรียมตัวมา ฝีมือที่สำแดงออกมายิ่งแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์
ด้วยพลังปราณของพวกเขา ให้ไปเผชิญหน้ากับเงาร่างสูงตระหง่านน่าหวาดหวั่นร่างนั้นยังรู้สึกกดดันหาใดเทียบ แข็งทื่อไปทั้งตัว
‘แม้สู้อริยะไม่ได้ แต่เกรงว่าคงจะไม่พร่องไปกว่ากันเท่าไรแล้ว’ ราชันผึ้งขาวลอบเอ่ย
เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเงาร่างดุจดั่งเทพร่างนี้รวบรวมพลังราชันพ่อมดสิบสามคนเอาไว้ พิศวงและน่ากริ่งเกรงถึงที่สุด
โครม!
กลางฟ้าดินสภาพอากาศเปลี่ยนไป สรรพสัตว์ล้วนมืดหม่น ในชั่วลมหายใจเข้าออก เงาร่างดั่งเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์นั้นก็สะเทือนห้วงอากาศจนยุ่งเหยิงเหมือนพายุฝนซัดสาด
พร้อมกับที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางฟ้าดิน ฤทธิ์เดชน่ากริ่งเกรงไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกมา ม้วนตลบไปสิบทิศ
“นี่มัน…”
“กลิ่นอายน่าสะพรึงชะมัด!”
นอกทะเลสาบวาโยอสนี ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิล้วนหายใจติดขัด อกสั่นขวัญแขวนไปครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายกดข่มปะทะหน้า
“มีพวกร้ายกาจที่แท้จริงปรากฏตัวแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์