ตอน ตอนที่ 1435 ความรู้สึกของการตบหน้า จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 1435 ความรู้สึกของการตบหน้า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลินสวินถอนหายใจคราหนึ่ง ไม่ได้คิดอะไรมาก เริ่มค้นหาและรวบรวมทรัพย์หลังศึก
ที่สำคัญที่สุดคือเก็บผลึกกำเนิดเจตะ
เขาเข้าใจแล้วว่าผลึกกำเนิดเจตะที่ใช้ไปในการฝึกปราณตลอดทั้งปี ล้วนเป็นผลึกกำเนิดเจตะที่ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในค่ายทัพหากลับมาด้วยความยากลำบาก
นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริงที่เขาต้องแบกรับคำด่าว่า ‘มอด’
หลินสวินตัดสินใจว่าจะต้องชดเชยกลับมา เขาไม่อยากเอาเปรียบคนอื่นหรอกนะ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ชื่อเสียงว่าตัวมอดนี้ไม่น่าฟังเกินไปแล้ว
บนภูเขาเต่าจำศีลยังมีสายแร่ผลึกกำเนิดเจตะที่ยังเก็บไม่หมด ถูกหลินสวินขุดไปทีละอันด้วยเช่นกัน
ตอนที่ทำทั้งหมดเสร็จ หลินสวินมองท้องฟ้าแล้วพูดว่า “อีกนานกว่าฟ้าจะมืด พวกเราไปหาอีกที่ มีคู่ต่อสู้ที่พอใช้ได้จะดีที่สุด”
สืออวี่พยักหน้าด้วยสีหน้างุนงง
จากนั้นจึงตั้งสติได้ ร้องโวยว่า “เจ้าพูดอะไรนะ ยังจะไปสังหารศัตรูอีกหรือ”
หลินสวินพูดเหมือนควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว “ยังสว่างอยู่ ไม่ทำอะไรอีกสักหน่อยก็เสียดายเกินไปหรือเปล่า”
สืออวี่ปวดหัวขึ้นมาทันที จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ตกเรื่องที่เหตุใดพลังต่อสู้ของหลินสวินถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ สภาพอารมณ์ตื่นตระหนกและงุนงงอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
แต่ตอนนี้หลินสวินยังคิดจะสังหารศัตรูต่อ ทำให้สืออวี่อดสงสัยไม่ได้ หรือในสายตาของหลินสวิน ศัตรูเหล่านั้นล้วนไม่สามารถข่มขวัญได้สักนิด เป็นผักกาดขาวที่สามารถหั่นทิ้งได้ตามอำเภอใจหรือ
“รีบไปเถอะ”
หลินสวินเร่ง
เดิมทีเขายังเตรียมจะบอกสืออวี่ว่าหากใช้พลังปราณดวลกันก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้ เพียงแค่ความคิดขับเคลื่อน ปลดปล่อยปราณกระบี่ไท่เสวียนออกมา ก็จะสามารถจบการต่อสู้นี้ได้ในชั่วพริบตา
แต่พอเห็นท่าทางตกใจเกินเหตุของสืออวี่ สุดท้ายหลินสวินก็อดทนไว้ เขากังวลว่าหลังจากเขาพูดเรื่องนี้ออกไป สืออวี่จะรับไม่ไหว…
……
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
ทั้งสองมาถึงหน้าทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาล สีฟ้าครามสดใส มีใบบัวสีเขียวมรกตและดอกบัวชมพูดุจแสงสนธยามากมายขึ้นอยู่
ดอกบัวและใบบัวมากมายเชื่อมต่อเส้นขอบฟ้า ขับให้ดอกบัวแดงมากเป็นพิเศษ
ทิวทัศน์งดงามราวภาพวาด
สืออวี่สงบลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยอมรับความจริงที่พลังต่อสู้ของหลินสวินน่ากลัว
แต่หลังจากมาถึงที่นี่สีหน้าของเขาก็ยังคงตึงเครียด พูดว่า “ที่นี่คือทะเลสาบบัวเขียว ถูกยอดฝีมือพันธมิตรหมื่นเผ่ายึดครองเมื่อวาน ตอนนั้นฝั่งจักรวรรดิของเราเกิดความขัดแย้งกับอีกฝ่ายเพราะแย่งชิงแหล่งสมบัติผืนนี้ พวกพ้องตายไปสองคน…”
“เจ้าจะต้องระวังนะ ได้ยินว่าในบรรดาเผ่าประหลาดซึ่งครองที่แห่งนี้ มีหลายคนที่ศักยภาพเพียงพอจะจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของ ‘กระดานพลังต่อสู้หมื่นเผ่า’ เฮ้ยๆๆ… ข้ายังพูดไม่จบนะ!”
พูดถึงครึ่งทาง สืออวี่พบด้วยความเดือดดาลว่าหลินสวินพุ่งไปในส่วนลึกของทะเลสาบตั้งนานแล้ว
ตูม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นตามคาด
ครั้งนี้คู่ต่อสู้ของหลินสวินคือผู้แข็งแกร่งพันธมิตรหมื่นเผ่าเจ็ดคน ระดับอาจจะต่างจากผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่เจอก่อนหน้านี้ไม่มากนัก
แต่พลังต่อสู้ของแต่ละคนกลับแข็งแกร่งอย่างที่สุด
โดยเฉพาะไม่กี่คนในนั้น ครอบครองพลังอภินิหารที่แข็งแกร่งอย่างมาก ประสบการณ์ต่อสู้เฟื่องฟู อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ทรงพลังอย่างที่สุด
นี่ไม่เพียงไม่ทำให้หลินสวินตกใจ ยังดีใจเสียด้วยซ้ำ โคจรพลังหลอมกายเข้าต่อสู้
เดิมทีสืออวี่คิดจะช่วย กลับถูกหลินสวินขวางเอาไว้ ทำให้สืออวี่หัวเสีย หรือเจ้าหมอนี่คิดว่าตนช่วยไม่ได้
แต่หลังจากพินิจอย่างละเอียดครู่หนึ่ง สืออวี่ต้องยอมรับว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเข้าไป จะต้องต้านไม่ไหวตั้งนานแล้วแน่
หรือพูดอีกอย่างว่า เผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาจะเลือกก็คือเผ่นหนี จะไม่เข้าไปเข่นฆ่า
ถึงอย่างไรในบรรดาคู่ต่อสู้เหล่านั้นยังมีพวกที่รับมือยากอย่างที่สุด หากสู้กันตัวต่อตัวสืออวี่ย่อมไม่กลัว แต่ถ้าคนเดียวสู้หลายคน เขาเองก็ทำได้แค่ถอยหนี
จากจุดนี้ทำให้สืออวี่ตระหนักได้ว่า สิบปีที่ไม่เจอกัน พลังต่อสู้ของหลินสวินแข็งแกร่งอย่างที่สุดแล้ว เหนือจินตนาการไปมาก
เวลาหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น
การต่อสู้จบลง กลิ่นเลือดอบอวลบนทะเลสาบเขียวขจี หลินสวินเก็บทรัพย์หลังศึกเสร็จก็ถอนหายใจราวกับยังไม่หายอยาก
“ยังไม่พอใจอีกหรือ”
สืออวี่เบิกตาโพลง
“มีแรงกดดัน แต่ไม่มาก ก็ยากจะเคี่ยวกรำพลังของข้าได้”
หลินสวินบ่นพึมพำ “ไป ฉวยโอกาสตอนที่ยังสว่างอยู่ไปหาศัตรูต่อ”
สืออวี่สีหน้ามืดทะมึน ครู่หนึ่งจึงยิ้มขื่นพูด “ยอมแล้ว ข้าแม่งไม่ยอมใครเลยในโลก แต่ยอมเจ้าคนเดียวแล้ว!”
จากนั้นสืออวี่ก็พาหลินสวินตะลอนไปทั่วอย่างสะใจ
หนึ่งปีมานี้ค่ายทัพจักรวรรดิใช้ได้เพียงคำว่า ‘พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ถดถอยทีละก้าว’ มาเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นสืออวี่หรือผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิคนอื่นๆ ในใจล้วนอัดอั้น
ตอนนี้ท่าทีที่สังหารทั่วทุกสารทิศ กวาดล้างสรรพสิ่งของหลินสวิน แม้ทำให้สืออวี่ตะลึงจนพูดไม่ออก แต่ก็สะใจถึงที่สุด
ความคับแค้นในใจก็ระบายออกไปไม่น้อย
เขาถึงขั้นอยากเห็นว่า ก่อนฟ้ามืดหลินสวินจะสามารถเก็บอาณาเขตที่ศัตรูยึดครองได้กี่ที่
ภูเขาหมอกเมฆาปกคลุมด้วยหิมะสีขาวตลอดทั้งปี ไอหมอกอบอวล หิมะน้ำแข็งแวววาว
ที่นี่สะสมหินแร่ผลึกกำเนิดเจตะที่หลากหลายมาก แต่กลับเก็บยากมาก ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนประจำการอยู่ที่นี่ครึ่งเดือนแล้ว
และเพื่อรักษาสายแร่แห่งนี้เอาไว้ ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนเคลื่อนกำลังผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่เรียกได้ว่าเป็นมือฉมังสิบแปดคนออกมา
แต่หลังจากหลินสวินมาถึง เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปผู้แข็งแกร่งมือฉมังพ่อมดเถื่อนสิบแปดคนถูกฆ่า เลือดย้อมภูเขาหิมะ
หุบเขาเมฆาวิญญาณ
สถานที่ที่ขุมอำนาจพันธมิตรหมื่นเผ่าครอบครอง
แม่น้ำภูตผี
สถานที่ที่ขุมอำนาจพ่อมดเถื่อนครอบครอง
หุบเหวทลายดารา
…ในช่วงเวลาหลังจากนั้น สถานที่ที่ถูกค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าครอบครองแห่งแล้วแห่งเล่า ถูกถอนรากถอนโคน
อานุภาพทำลายล้างเหมือนผ่าลำไผ่ ก็เป็นเช่นนี้แหละ
“หลินสวิน”
ในปากสืออวี่พ่นสองคำนี้ออกมาเบาๆ หลังจากนั้นแวบเดียวเขาก็มองเห็นว่าสีหน้าของทุกคนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นต่างชะงัก อึมครึมสับสนขึ้นมา ราวกับยากจะเชื่อ และเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น
สุดยอดมาก!
เป็นครั้งแรกที่สืออวี่พบว่า ความรู้สึกของการตบหน้ากลับทำให้จิตใจเบิกบานผ่อนคลายได้ขนาดนี้ สะใจจนยากจะอธิบายเป็นคำพูด
ไม่รอทุกคนตอบสนอง
ฮูม…
สืออวี่สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง โอสถเทพกองหนึ่งปรากฏบนพื้น แต่ละต้นแสงมรรคไหลเวียน กลิ่นหอมโอสถคละคลุ้ง แม้แต่อากาศยังถูกย้อมเป็นสีที่งดงามมีสีสัน
“นี่…”
สีหน้าของทุกคนชะงักงัน ดวงตาจ้องเขม็ง
มูลค่าของโอสถเทพล้ำค่ากว่าผลึกกำเนิดเจตะ และหลังจากผ่านการเก็บเกี่ยวมาสิบกว่าปี โอสถเทพในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ก็น้อยและหายากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
แต่ตอนนี้มีโอสถเทพมากกว่ายี่สิบชนิดวางอยู่ตรงนั้น ภาพนี้สร้างการโจมตีอันรุนแรงต่อจิตใจของทุกคนเช่นกัน
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป จิตใจต่างไม่สงบ พูดไม่ออกอยู่นาน ในหัวปรากฏความคิดหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย
โอสถเทพเหล่านี้คงไม่ได้มาจากฝีมือของเจ้ามอดหลินสวินเหมือนผลึกกำเนิดเจตะหรอกนะ
ไม่รอให้ถามสืออวี่ก็พูดขึ้น “ที่พวกเจ้าเดาไม่ผิด โอสถเทพพวกนี้ก็เป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน”
ประโยคเดียวราวกับก้อนหินทลายความสงบ ทำให้ทุกคนต่างตะลึงจนพูดไม่ออก
สืออวี่เห็นเช่นนี้ทั้งร่างก็ผ่อนคลายสบายใจเหมือนกินผลโสมเข้าไป ความรู้สึกของการตบหน้านี้ช่างน่าเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน
อย่างเดียวที่เสียดายคือ เจ้าของทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ไม่ใช่ตน…
คิดถึงตรงนี้สืออวี่อดมองไปยังยอดเขาไม่ได้ ในใจพึมพำ ‘ตอนนี้เจ้าหมอนั่นจะต้องแอบสะใจอยู่สินะ’
“เป็นฝีมือของมอดตัวนั้นได้อย่างไร”
จ้าวจิ่งเฟิงพูดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเย้ยหยันหลินสวินมาโดยตลอด แต่ตอนนี้หลังจากความตะลึงอย่างต่อเนื่อง เขาเองก็ยากจะกดความรู้สึกในใจจึงพลั้งปากออกมา
คนอื่นๆ พยักหน้า มอดตัวหนึ่ง เพียงออกจากบ้านไปเดินเล่นก็เก็บสมบัติได้มากขนาดนี้แล้วหรือ
ใครจะกล้าเชื่อ
สืออวี่อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “ถ้าหลินสวินเป็นมอดแล้วพวกเจ้าเป็นอะไร อย่าเอาความไม่รู้มาเป็นข้ออ้างที่พวกเจ้ามีตาแต่หามีแวว!”
พูดจบเขาก็จากไปอย่างสง่าผ่าเผย
คืนนี้ข่าวที่หลินสวินรวบรวมผลึกกำเนิดเจตะและโอสถเทพมาได้อย่างมหาศาล ทำให้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ต่อเบื้องบนและล่างของภูเขาเมฆาคราม
คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อครึ่งหนึ่ง สงสัยอีกครึ่งหนึ่ง ผู้คนจำนวนน้อยมากที่ไม่เชื่อ คิดว่าพวกสืออวี่กำลังช่วยหลินสวินปกปิดความอับอาย
สถานการณ์ที่แท้จริงคือ สมบัติเหล่านี้จะต้องเป็นสมบัติที่สหายของหลินสวินอย่างพวกสืออวี่รวบรวมมาแน่!
“จะจริงหรือเท็จ พรุ่งนี้เช้าออกไปดูก็รู้แล้ว”
สุดท้ายไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ หลายคนต่างตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะออกไปดูสักหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์