ตอนที่ 1479 เบื้องลึก – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1479 เบื้องลึก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
แต่สุดท้ายหลินสวินก็พยักหน้าตอบรับไป
เดิมเขาเที่ยวท่องในโลก จิตใจปลอดโปร่ง เข้าร่วมงานชุมนุมครั้งหนึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไร
“เชิญคุณชายเจ้าค่ะ”
หญิงสาวใบหน้าสะสวยยิ้มหวาน
ตอนนี้หลินสวินจึงสังเกตเห็นว่าหญิงสาวสะสวยตรงหน้านี้งดงามยิ่ง น่ารักน่าเอ็นดู ดวงตาโตสุกสกาว ผิวพรรณเปล่งปลั่งขาวสะอาด เจริญหูเจริญตานัก
หญิงสาวน่ารักกระตือรือร้นนำทางอยู่ด้านหน้า
หลินสวินยิ้มให้ ไม่พูดอะไรอีก
เขาในตอนนี้แม้กลิ่นอายเรียบง่ายดั่งเมฆไหลเคลื่อน แต่บารมีที่บ่มเพาะจากการกรำศึกฝึกปราณมานานปีกลับสูงส่งล้ำลึก โดดเด่นเกินคนธรรมดา กดข่มผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้กันบางคนลงไปอย่างสมบูรณ์
นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หญิงสาวงดงามกระตือรือร้นออกตัวเช่นนี้
“คุณชาย ข้าชื่อเซี่ยเวย มาจากแคว้นแจกันสมบัติสำนักกระบี่ลำนำเขียว”
ระหว่างทางเซี่ยเวยกะพริบตาดวงโต เอ่ยถามอย่างร่าเริงว่า “แล้วท่านล่ะ”
หลินสวินกล่าวว่า “ชื่อเสียงเรียงนามไม่สำคัญ ภายหน้าหากมีวันที่ได้พบกันอีกก็จะรู้จักกันเอง”
ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจปกปิด แต่เป็นเพราะทันทีที่เผยตัวจะต้องดึงดูดสายตาแปลกประหลาดที่ไม่จำเป็นมากมายแน่
หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะชิงแสงไฟจากเจ้าภาพที่เตรียมงานชุมนุมครั้งนี้
ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นคนมาเดินดูเล่นๆ เท่านั้น
“เช่นนั้นท่านก็คงเป็นผู้มีขอบเขตมกุฎคนหนึ่งด้วยกระมัง”
เซี่ยเวยพูดอย่างสงสัย
หลินสวินส่งเสียงอืม
พอเห็นเขายอมรับ ดวงตาสุกใสของเซี่ยเวยก็พลันเปล่งประกายขึ้น เอ่ยว่า “มิน่าข้าถึงเห็นว่าบารมีท่านไม่ธรรมดาปานนี้ ที่แท้ท่านก็เคยเข้าไปในแดนมกุฎ”
“คนที่เข้าไปในแดนมกุฎได้ไม่มีใครไม่เป็นบุคคลแห่งยุค อย่างโอรสเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย และยังมีอีกมากมาย…”
หว่างคิ้วของเซี่ยเวยเจือแววเคารพยกย่อง “อย่างศิษย์พี่อี้เทียนหลินที่จัดงานชุมนุมพันกระแสครั้งนี้ก็เคยเข้าไปในแดนมกุฎ อี้เทียนหลินยอดเยี่ยมนัก ศิษย์พี่ของเขาก็คือเย่หมัวเฮอที่โด่งดังที่สุดในลัทธิเทพต้นกำเนิด”
“จริงสิ คุณชาย ท่านรู้จักพวกเขาไหมเจ้าคะ”
“พวกเขาหรือ”
หลินสวินอึ้งไปแล้วพลันยิ้มเอ่ย “บนโลกนี้คนที่ไม่รู้จักพวกเขาคงมีน้อยมากกระมัง”
ขณะที่พูด ทั้งสองก็เหยียบย่างลงบนเขาพันกระแสแล้ว
ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สภาพแวดล้อมล้ำเลิศ น้ำตกเทตัวลงมาจากยอดเขา ปรากฏเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์เกรียงไกรอย่าง ‘พันกระแสชิงเชี่ยว ธารดาราม้วนกลับ’
และตอนนี้ จู่ๆ ก็มีหญิงสาวชุดม่วงเงาร่างสะโอดสะองคนหนึ่งเดินอยู่บนทางข้างหน้า
“เซี่ยเวย ให้เจ้าไปรับศิษย์พี่ซย่าหลิวชวน แล้วคนผู้นี้เป็นใครกัน”
หญิงสาวชุดม่วงพูดพลางมองหลินสวินด้วยสีหน้ากังขา
หญิงผู้นี้ร่างผอมสูง สายตาเฉียบคมเคร่งขรึม สีหน้าเย็นชาราวน้ำค้างแข็งเย็นยะเยือก เจือแววหยิ่งผยอง
ดังคาด ท่าทีของเซี่ยเวยอ่อนลงไปบ้าง เอ่ยโดยสำรวมว่า “ศิษย์พี่กู่ คุณชายท่านนี้ก็มาเข้าร่วมงานชุมนุมเจ้าค่ะ ใช่แล้ว เขาก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง”
ศิษย์พี่กู่ตะลึงไป เห็นว่ากลิ่นอายหลินสวินแม้ราบเรียบ แต่บารมีกลับไม่ธรรมดาจริงๆ ความลังเลเผยขึ้นมาบนสีหน้าอย่างห้ามไม่อยู่
อย่างงานชุมนุมพันกระแสคราวนี้ ผู้ที่เชิญมาต่างเป็นอัจฉริยะชั้นหนึ่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะอี้เทียนหลิน เดิมทีก็เป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ที่ลือชื่อไปทั้งแดนคนหนึ่ง
คนที่อยู่ตรงหน้านี้หากเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งก็จะชักช้าไม่ได้แล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ศิษย์พี่กู่กำลังจะพูดอะไร ฉับพลันเสียงเซ็งแซ่ระลอกหนึ่งก็แว่วมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก ก็เห็นว่าชายหนุ่มชุดเงินผู้หนึ่งเดินขึ้นมาบนเขาท่ามกลางคนกลุ่มหนึ่งที่รายล้อม
“ศิษย์พี่อี้ชิงเทียนมาแล้ว!”
“เร็วเข้า รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ”
“ฮ่าๆ ในที่สุดก็ได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของศิษย์พี่อี้เทียนหลินแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากลัทธิเทพต้นกำเนิด”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งมากมายที่อยู่บนเขาต่างตกตะลึง พากันลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองไปยังชายหนุ่มชุดเงินซึ่งมีคนรายล้อมอยู่เหมือนหมู่ดาวล้อมเดือนคนนั้น
เห็นเช่นนี้ศิษย์พี่กู่ก็คล้ายตื่นเต้นนัก รีบร้อนเอ่ยกำชับว่า “เซี่ยเวย เจ้าพาคุณชายท่านนี้ไปเถอะ”
นางพูดพลางเดินหน้าไปเอง ใบหน้าที่เดิมเย็นชาราวน้ำค้างแข็งปรากฏรอยยิ้มสดใส คารวะจากใจจริงให้ชายหนุ่มชุดเงินคนนั้น
ส่วนหลินสวินถูกนางลืมไปอย่างรวดเร็ว
’คุณชาย ท่านอย่าถือสาเลย จะต้องมีสักวันที่ท่านเป็นเหมือนศิษย์พี่อี้เทียนหลินเช่นกัน ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้มีขอบเขตมกุฎ ทางข้างหน้าไม่อาจประเมินได้’
เซี่ยเวยสื่อจิตเสียงอ่อยอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจหลินสวิน
‘ขอบคุณที่เจ้าอวยพร’
หลินสวินยิ้มในใจ ด้วยสายตาและประสบการณ์ของเขา จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
ที่ทำให้เขาขบขันก็คือแม่นางเซี่ยเวยเอาอี้เทียนหลินมาเทียบกับเขา เรื่องนี้… ทำให้เขาจะหัวเราะก็ไม่ใช่ แต่จะร้องไห้ก็ไม่เชิงนัก
ควรรู้ว่าในแดนมกุฎตอนนั้น คนที่ทำให้หลินสวินจดจำได้มีคนอย่างโอรสเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ บุตรนรก เย่หมัวเฮอ
ที่จำไม่ได้ก็มีแต่อี้เทียนหลินเท่านั้น
ถ้าเขาเดาไม่ผิด เกรงว่าอีกฝ่ายแม้แต่กระดานทองคำผู้กล้ายังเข้าไปไม่ได้
ทว่าสภาวะจิตของหลินสวินในตอนนี้ต่างจากแต่ก่อน ไม่ใช่ขี้คร้านจะถือสา แต่เป็นเพราะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
หลินสวินนิ่งคิด ในใจลอบเอ่ยว่าก็คงระดับพอๆ กับบุตรนรก ไป๋หลงถิง
“แน่นอนว่าลั่งชิงเหินแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ ตอนนี้ใครก็ไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้ เพราะทุกท่านก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ ผู้แข็งแกร่งที่สู้กับคนผู้นี้ไม่มีใครรับได้ถึงสิบกระบวนท่าสักคน”
เสียงอี้ชิงเทียนเจือความเคร่งเครียด “และนี่ก็หมายความว่า คิดจะสืบหาเบื้องลึกของอีกฝ่ายให้แน่ชัด อย่างน้อยต้องหาผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สามารถต้านทานลั่งเชียนเหิงได้คนหนึ่ง”
บรรยากาศในที่นั้นยิ่งเงียบเชียบ ทุกคนมองหน้ากัน รู้สึกลำบากใจไม่สบอารมณ์
ดินแดนโบราณมารโลหิต เดิมทีก็เป็นหนึ่งในมหาศัตรูของดินแดนรกร้างโบราณ ผูกความแค้นเลือดที่ไม่อาจคลี่คลายได้ในอดีตกาลอันยาวนาน
แต่ตอนนี้กลับมีลั่งเชียนเหิงข้ามดินแดนมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ คุยโวว่าต้องการท้าสู้กับบุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมด
เรื่องนี้เดิมทีก็น่าโมโหอยู่แล้ว ดูกำเริบเสิบสานและไม่เห็นผู้อื่นในสายตาเกินไป
แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ พร้อมๆ กับชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าของลั่งเชียนเหิง กลับเหมือนแรงจู่โจมจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณแตกตื่นโดยสมบูรณ์ ต่างเชิดหน้าชูคอไม่ได้แล้ว
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล ตามที่ข้ารู้มา บุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอดที่แท้จริงของพวกเราดินแดนรกร้างโบราณ โดยมากต่างปิดด่านอยู่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ยังไม่ปรากฏตัวสู่โลก หากให้พวกเขารู้เรื่องลั่งเชียนเหิง ต้องมีคนลุกขึ้นสู้แน่”
อี้เทียนหลินพูดถึงตรงนี้ก็พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ว่า “อย่างตอนที่ข้ามานี้ก็ได้ยินมาแล้วว่าศิษย์พี่เย่หมัวเฮอกำลังจะออกด่าน!”
ทุกคนในที่นั้นจิตใจสั่นสะท้านทันที
เย่หมัวเฮอ
นี่เป็นถึงบุคคลแห่งยุคผู้โดดเด่นราวสุริยันเหนือเวิ้งฟ้า ตอนนั้นเคยสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ
หากมีเขาลงมือ ไม่แน่ว่าจะกดข่มความจองหองของลั่งเชียนเหิงคนนี้อย่างหนักได้จริงๆ ก็ได้!
“แต่ตามที่ข้ารู้มา ในหมู่ทูตที่มาดินแดนรกร้างโบราณคราวนี้ไม่ได้มีเพียงลั่งเชียนเหิงคนเดียว”
จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น
อี้เทียนหลินพยักหน้า “ถูกต้อง นี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ข้าอยากจะบอกทุกคนพอดี ทูตต่างแดนที่มายังดินแดนรกร้างโบราณคราวนี้ นอกจากลั่งเชียนเหิงที่มาจากดินแดนโบราณมารโลหิตแล้ว ยังมีบุคคลแห่งยุคอีกเจ็ดคน แต่ละคนมาจากดินแดนอื่นอีกเจ็ดดินแดน”
เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “แม้บอกว่าตอนนี้ไม่อาจล่วงรู้เป้าหมายที่พวกเขามาครั้งนี้ แต่ที่แน่ใจได้ก็คือต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน!”
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนในที่นั้นต่างคิดไปต่างๆ นานา
แม้แต่หลินสวินก็ตะลึงไปเล็กน้อย เพิ่งรู้ในตอนนี้ ว่าที่แท้ในคณะทูตที่มายังดินแดนรกร้างโบราณคราวนี้ไม่ได้มีเพียงบุคคลชั้นยอดอย่างลั่งเชียนเหิงคนเดียว
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนกำลังจะมาถึง แต่ในเวลาแบบนี้กลับมีคณะทูตที่รวมตัวขึ้นจากผู้แข็งแกร่งอีกแปดดินแดนมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ พวกเขา… คิดจะทำอะไรอีกกันแน่
“ช่างเขาสิ ข้าศึกมาก็ต่อกรไปตามเนื้อผ้าก็พอแล้ว!”
มีคนเอ่ยเสียงเย็นชา
ก็ในตอนนี้เอง ที่ตีนเขาพลันมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียงหนึ่งแว่วมา ดูเหมือนแผ่วเบา แต่กลับดังก้องในโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจน
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์