หมอกฝนพร่าเลือน ดอกซิ่งขาวราวก่อจากหิมะ
บนท้องถนนที่เก่าแก่เงียบสงบ หลินสวินย่างก้าวเนิบช้า
เสียงตกตะลึงแผ่วต่ำพลันดังขึ้น ก็เห็นด้านหน้ามีต้นข่าวสารอยู่ต้นหนึ่ง มีผู้คนกำลังล้อมอยู่ข้างหน้า ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่
หลินสวินก้าวเข้าไป พิจารณาเล็กน้อยก็เข้าใจ
‘นครหยกขาว… แขกต่างถิ่นอย่างเจ้าช่างเลือกสถานที่เป็นจริงๆ’
หลินสวินส่ายศีรษะแล้วไม่ใส่ใจอีก
เขาไม่มีเจตนาดูถูกลั่งเชียนเหิง หากแต่เห็นว่าสถานที่ต่อสู้ที่อีกฝ่ายเลือกนี้ดูไร้ยางอายไปหน่อย
แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นจากอีกด้านหนึ่งว่า อีกฝ่ายน่าจะไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่อย่างนั้นจะสิ้นเปลืองความคิดไปกับเรื่องสถานที่นัดประลองทำไม
สิ่งที่ทำให้หลินสวินใคร่รู้อย่างแท้จริงคือ สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ ลั่งเชียนเหิงเป็นตัวแทนของค่ายศัตรูต่างดินแดน
ในเมื่อสำนักกระบี่เทียมฟ้าทนให้ลั่งเชียนเหิงนัดประลองกับตนในนครหยกขาวได้ แล้วจะทนเห็นเขามุ่งหน้าไปรับคำท้าได้หรือไม่
หลินสวินอยากลองดูเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
แค่การนัดประลองครั้งหนึ่งเท่านั้น สำหรับหลินสวินไม่ถึงขั้นเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ต๊อกๆๆ
เสียงเคาะทึบหนักระลอกหนึ่งดังขึ้นมาจากร้านเก่าแก่เตี้ยๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน
สายตาของหลินสวินเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นว่าบนร้านค้าแขวนป้ายไว้ป้ายหนึ่ง…
หอคัดศิลา
ภายในร้านมีชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ มือถือมีดสลักเล่มหนึ่ง กำลังเจียระไนหินก้อนหนึ่งในมือ
หินก้อนหนึ่งที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ไม่นานก็ถูกสลักออกมาเป็นรูปเหมือนคนผู้หนึ่ง
หลินสวินก้าวเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองดูก็เห็นว่าในร้านมีรูปปั้นหินเล็กใหญ่หลายหลากวางเรียงเป็นระเบียบ
มีเทพคนภูตผี ปีศาจสัตว์ประหลาด สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายแหล่ ต้นไม้ใบหญ้ามัจฉาแมลง ล้วนเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ
สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกตะลึงคือ ในบรรดารูปปั้นหินพวกนั้นยังมีไม่น้อยที่แม้แต่เขายังไม่รู้จัก แต่ดูไปแล้วก็เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตและอาหารที่อยู่บนโลก
อย่างปลาที่แหวกว่ายอยู่ในหมอกเมฆ ยามสะบัดหางจะราวกับสยายปีกเริงระบำ กินหมอกดื่มน้ำค้าง
“คุณชายโปรดรอสักครู่”
ชายชุดผ้ากระสอบในร้านเงยหน้ายิ้มรับ หน้าตาอบอุ่น จากนั้นเขาก็ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับการแกะสลัก
เศษหินปลิวว่อน ในมือเรียวยาวและกว้างหนานั้นของเขา มีดสลักเล่มหนึ่งกวัดแกว่งแคล่วคล่อง ปลายมีดไม่ถึงขั้นน่าอัศจรรย์ แต่กลับมีเสน่ห์ที่พาให้คนรู้สึกเหมือนเมฆลอยสายน้ำไหล ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ
หลินสวินดูเพลินจึงไม่ได้รีบจากไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่งรูปปั้นเด็กขี่วัวชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นภายใต้มีดสลักของชายชุดผ้ากระสอบ เด็กน้อยดูน่าหลงใหล วัวเขียวดูกำยำบึกบึนทรงพลัง
รูปสลักที่ดูธรรมดากลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนว่ามัน ‘ยังมีชีวิตอยู่’ ราวกับว่าต่อจากนั้นเด็กน้อยจะขี่วัวเขียวจากไปอย่างสง่างาม เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
หลินสวินเอ่ยปากชม “น่าสนใจ”
ชายชุดผ้ากระสอบยิ้ม วางมีดสลักในมือลงกล่าว “ก็แค่ของเล่นเท่านั้น”
หลินสวินคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”
ชายชุดผ้ากระสอบยิ้ม ส่งมีดสลักในมือให้แล้วกล่าว “หากจะลอง หินพวกนี้ก็ไม่คิดเงิน”
หลินสวินรับมีดสลักมาแล้วสุ่มเลือกหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง เงียบไปเล็กน้อยก็เริ่มลงมือ
ต๊อกๆๆ!
เสียงแกะสลักทึบหนักดังขึ้น เศษหินพลิ้วลอยล่อง ไม่นานภาพเด็กสาวคนหนึ่งก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เด็กสาวร่างเพรียวบาง สวมหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า มือถือทวนเล่มหนึ่ง
เป็นซย่าจื้อ!
พูดได้ว่าตอนแรกหลินสวินแค่สนใจอยากลองดูหน่อย แต่เมื่อจิตใจดื่มด่ำอยู่กับการแกะสลัก ก็เหมือนความรู้สึกในใจเองก็จดจ่ออยู่กับมันโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่แดนมกุฎจะมาเยือน ซย่าจื้อก็จากไป ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ยามปกติต่อให้หลินสวินนึกถึงซย่าจื้อก็จะเก็บความรู้สึกไว้ในก้นบึ้งจิตใจ
แต่เวลานี้กลับปรากฏขึ้นในใจอย่างเป็นธรรมชาติ
ตอนนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่าเขาคิดถึงซย่าจื้อจริงๆ
‘หลินสวิน ก่อนที่ข้าจะกลับมา เจ้าห้ามตายนะ’
หลายปีก่อนยามซย่าจื้อถูกราชินีแห่งรัตติกาลพาตัวไป เคยพูดกับตนเช่นนี้ด้วยสีหน้าราบเรียบ
‘นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า เรื่องอื่นข้าลืมไปหมดแล้ว’
ปีนั้นซย่าจื้อตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลของ ‘จุตินพชาติ’ ลืมสิ้นทุกอย่าง มีเพียงหลินสวินที่ไม่เคยลืม
‘ต่อไปถ้ามีของดีๆ อย่าเก็บไว้กินคนเดียว’
‘ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตหากเจ้าจะแต่งงานก็ต้องผ่านด่านข้าก่อน’
‘เพราะถ้าอยากให้ใครอีกคนนอกเหนือจากเจ้ามาอยู่ในโลกของข้า… จะยากมาก’
…
กระทั่งครั้งสุดท้ายที่จากกัน ซย่าจื้อกล่าวเพียงแค่สี่คำ ‘รอข้ากลับมา’
ชายเสื้อของนางพลิ้วไหว ในมือถือทวนกระดูกขาว ก้าวย่างเพียงคราเดียว กลางอากาศพลันปรากฏมรรคาที่เหมือนควบรวมจากความมืดสายหนึ่งเชื่อมต่อตรงไปบนผืนฟ้า
ไม่หันกลับ ไม่ลังเล ก้าวเข้าไปในบานประตูที่มืดมิดบนส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
แครก!
ทันใดนั้นรูปปั้นหินในมือแตกละเอียดเป็นส่วนๆ
หลินสวินตกใจได้สติ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึกค่อยๆ สงบสติอารมณ์กลับมา
ข้างๆ ชายชุดผ้ากระสอบยิ้มอบอุ่น หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วส่งให้หลินสวิน “ลองอีกครั้ง”
หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง
ครั้งนี้เขานั่งลงบนเบาะรองนั่ง หน้าตาจดจ่อ เงียบไปครู่ใหญ่จึงเริ่มแกะสลักใหม่อีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์