พร้อมๆ กับเสียงนั้น หญิงสาวสวมชุดดำร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินมาจากที่ห่างออกไปไม่ไกล
ผิวนางขาวกระจ่างหมดจด เนตรดาราหรี่ปรือ ริมฝีปากแดงดุจอัคคี มวยผมยาวสีม่วงเข้มทั้งศีรษะเอาไว้ลวกๆ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวหิมะช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะสัดส่วนที่โค้งเว้าได้รูปยิ่งทำให้ดูเร่าร้อนผิดธรรมดา เผยความเย้ายวนชวนให้ใจสั่น
นัยน์ตาของปี้เหินเผยความหวาดกลัวสายหนึ่ง
หญิงสาวทรงเสน่ห์นี้มีชื่อว่าจู๋อิ้งเสวี่ย มาจากเผ่ามังกรจู๋หลงแห่งดินแดนโบราณยอดหยิน เป็นชนชั้นสูงยิ่งผู้หนึ่ง
ต้องรู้ว่าในดินแดนโบราณยอดหยิน เผ่าจู๋หลงเป็นเผ่าจักรพรรดิที่สมชื่อ เบื้องลึกเบื้องหลังน่าพรั่นพรึง ในดินแดนโบราณยอดหยินยังมีจำนวนแค่นับนิ้วได้
และจู๋อิ้งเสวี่ยคนนี้ก็คือคนในเผ่าสายตรงคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์นี้ มีพลังปราณน่ากลัวในระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า เทียบกับลั่งเชียนเหิงแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไร
ต่างจากดินแดนรกร้างโบราณ การไปมาหาสู่กันระหว่างแปดดินแดนอื่นบ่อยครั้งกว่านัก ต่อให้พวกเขามาจากต่างดินแดน แต่ปี้เหินก็เคยได้ยินเรื่องอานุภาพของเผ่าจู๋หลงมาก่อน
ลั่งเชียนเหิงขมวดคิ้วมุ่น “จู๋อิ้งเสวี่ย เรื่องของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง”
“เจ้าคนที่ได้ชื่อว่าเทพมารหลินนั่น เป็นถึงบุคคลชั้นนำอันดับหนึ่งในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อเสียงกิตติศัพท์เกรียงไกร คู่ต่อสู้เช่นนี้ข้าก็อยากลองดูว่าเขาจะมีความสามารถมากแค่ไหน”
จู๋อิ้งเสวี่ยยิ้มหวาน เนตรดาราวาววาบ เผยความเย้ายวนน่าอัศจรรย์
นัยน์ตาสีเขียวมรกตของลั่งเชียนเหิงฉายแววดุดัน “ทำไม เจ้าคิดจะแย่งข้ารึ”
บรรยากาศพลันตึงเครียด
“นี่ๆ พวกเจ้าสองคนอย่าทะเลาะกันเชียว อย่าลืมว่าครั้งนี้พวกเรามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณนี้ด้วยกัน หากตีกันเองขึ้นมาเกรงว่าจะถูกหัวเราะเยาะ”
เสียงเกียจคร้านหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นชายชุดเทาที่หลังพาดกระบี่สามเล่ม หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเนิบๆ เข้ามา
เขาผมยาวกระเซิง ผิวทองแดงราวหล่อจากทองแดง ดูเอ้อระเหยลอยชายไปทั้งตัว ท่าทางเกียจคร้าน
ที่หลังพาดกระบี่เล่มหนึ่งไม่แปลก แต่พาดกระบี่สามเล่มเลยดูผิดแผกยิ่งนัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นลั่งเชียนเหิงหรือจู๋อิ้งเสวี่ย เมื่อเห็นผู้ฝึกกระบี่ท่าทางเกียจคร้านที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้แล้วต่างก็นัยน์ตาหดรัด
มู่ไจซิง!
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่มาจากดินแดนโบราณต้าหลัว ภายนอกดูเหมือนสกปรกเกียจคร้าน ความจริงแล้วมีจิตมรรคที่อำมหิตเลือดเย็น
กระบี่สามเล่มที่อยู่ด้านหลังเขา เป็นตัวแทนของมรดกมรรคกระบี่ชั้นสูงสามอย่าง
ดินแดนโบราณต้าหลัวเดิมก็เป็นโลกของผู้ฝึกกระบี่ สำนักกระบี่เรียงราย แต่มู่ไจซิงคนนี้กลับสามารถโดดเด่นในหมู่คนหนุ่ม พลังของเขาย่อมไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นลั่งเชียนเหิงหรือจู๋อิ้งเสวี่ย ยามเผชิญหน้ากับมู่ไจซิงก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
“จุดประสงค์การมาของพวกเราครั้งนี้ง่ายมาก หนึ่งคือคุยค้าขายกับพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าของดินแดนรกร้างโบราณ สองคือลองหยั่งตื้นลึกหนาบางของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ในดินแดนรกร้างโบราณ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่ใกล้จะมาเยือน”
มู่ไจซิงยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “แน่นอน ข้ารู้ว่าก้นบึ้งหัวใจของพวกเจ้าดูถูกดูแคลนดินแดนรกร้างโบราณ เชื่อว่ามกุฎมรรคาของดินแดนนี้ถูกตัดขาดมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีทางเจอคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญอะไรแต่แรก”
“แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วว่าหลายปีก่อนแดนมกุฎมาเยือน ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณปรากฏอัจฉริยะที่เหยียบเส้นทางมกุฎกลุ่มหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าพวกเราอาจจะเจอคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้น”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มอีกครั้ง “อืม มรรคาที่ตัดขาดมีคนเหยียบใหม่อีกครั้ง แม้จะพูดว่าพลังทั้งหมดยังไม่อาจเทียบกับพวกเราเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาจากแปดดินแดนอยู่มาก แต่ถึงอย่างไร… ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปกลับพาให้คนเบื่อหน่ายไม่ใช่หรือ”
ฟังถึงตรงนี้ลั่งเชียนเหิงอดมุ่นคิ้วไม่ได้ “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
มู่ไจซิงถอนหายใจ “ยังฟังไม่ออกอีกหรือ คนที่ควรดูหมิ่นยังคงดูหมิ่นได้ แต่คนที่ควรให้ความสำคัญก็ต้องให้ความสำคัญ ดินแดนรกร้างโบราณนี้… ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
“เจ้าสามารถดูถูกพวกเขา เชื่อว่าดินแดนรกร้างโบราณนี้ไม่คู่ควรจะเปรียบเทียบกับแปดดินแดนอื่นได้อย่างสิ้นเชิง แต่ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณที่ก้าวสู่มกุฎพวกนั้น แน่นอนว่าต้องให้ความสำคัญดีๆ”
มู่ไจซิงพูดจบก็นำกาสุราหนึ่งออกมา เงยหน้าดื่มด่ำครู่หนึ่ง
ลั่งเชียนเหิงเยาะหยัน “หลายวันมานี้บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณที่แพ้ในมือข้ามีมากถึงหลายสิบคน ไม่มีสักคนที่ต้านได้เกินสิบกระบวนท่า เจ้ายังมาเตือนข้าให้มอบความสำคัญกับพวกเขาอีกรึ”
ในน้ำเสียงเผยแววปรามาสเข้มข้น
มู่ไจซิงยิ้มน้อยๆ กล่าว “แต่หญิงรับใช้ของเจ้าก็แพ้แล้ว ถูกคนใช้ก้าวเดียวบีบบังคับให้คุกเข่า”
ประโยคเดียวช่างเหมือนตบหน้ากันซึ่งหน้า สีหน้าของลั่งเชียนเหิงพลันอึมครึม สีหน้าของปี้เหินที่อยู่ข้างๆ ยิ่งไม่น่าดูถึงขีดสุด
“ไม่ต้องสนใจ ข้าไม่ได้จะเยาะเย้ย”
มู่ไจซิงยังยิ้มสดใส ส่ายหน้ากล่าว “ข้าแค่จะบอกว่า ยอดบุคคลขอบเขตมกุฎบางส่วนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงในดินแดนรกร้างโบราณ นอกจากหลินสวินแล้วยังมีอีกมากที่ไม่ปรากฏตัว อย่างเซ่าเฮ่า รั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย โม่เทียนเหอ…”
จู๋อิ้งเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ พลันสอดปาก “เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่นานมานี้โม่เทียนเหอเพิ่งแพ้ไป”
มู่ไจซิงชะงัก กล่าวประหลาดใจ “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
จู๋อิ้งเสวี่ยยิ้มโปรยเสน่ห์ กล่าวเสียงอ่อนโยน “เพราะข้าเป็นคนเอาชนะเขา น่าเสียดาย ก่อนจะสู้มีกฎข้อหนึ่ง ไม่สามารถประกาศผลการต่อสู้ออกไปได้”
มู่ไจซิงร้องอ้อคราหนึ่ง ยิ้มเยาะกล่าว “กลัวเสียหน้ารึ ช่างเป็นตายก็ต้องรักษาหน้า เป็นก็ต้องรับกรรมจริงๆ หากอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดนคงไม่ใช่แค่เสียหน้า ยังจะเสียชีวิตด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์