หนึ่งเค่อต่อมา
หลินสวินที่ถูกต่อยจนสะบักสะบอมในที่สุดก็มีเรี่ยวแรงโต้กลับ แม้จะยังคงถูกกดข่มแต่ก็ยังฝืนต้านไหว
ครึ่งชั่วยามให้หลัง
หลินสวินสู้กับรั่วอู่ได้แบบพอฟัดพอเหวี่ยง คู่คี่สูสี
เสี่ยวอิ๋นฉีกยิ้มขึ้นมา กระหยิ่มยิ้มย่อง
รั่วอู่กลับหัวเราะไม่ออก หว่างคิ้วของนางฉายแววจดจ่อ
แม้จะรู้ดีแต่แรกว่าเมื่อหลินสวินปรับสภาพและควบคุมพลังบรรลุอริยะได้แล้ว จะต้องไม่ถูกตนกดข่มเป็นอันขาด
แต่ในใจของนางก็ยังไม่ค่อยยินยอมนัก อยากลองดูว่าจากพลังมกุฎอริยะของตนจะสามารถกดข่มหลินสวินได้นานเท่าไหร่กันแน่
ควรรู้ว่านางเป็นบุคคลแห่งยุคในเผ่าวิหคชาด นิสัยสูงส่งผ่องแผ้ว ภายในใจมีความหยิ่งทระนง มีหรือจะยอมรับว่าตนสู้ผู้อื่นไม่ได้
เพียงแต่เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นางก็ไม่สามารถกดข่มหลินสวินอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามยังถูกการโจมตีโต้กลับที่หลินสวินสำแดงออกมาทำเอากดดันเพิ่มเป็นเท่าตัว
“ข้าไม่เชื่อหรอก!”
รั่วอู่กัดฟัน ปลดปล่อยสุดกำลัง ดุจดั่งวิหคชาดที่อาบชโลมเพลิงโฉบผ่านอากาศตัวหนึ่ง บุกโจมตีกร้าวแกร่งแข็งขัน ประหนึ่งกำลังโรมรันฆ่าฟันศัตรูตัวฉกาจแห่งยุคคนหนึ่ง
เพียงแต่เวลานี้หลินสวินควบคุมพลังอริยมรรคแห่งตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนแล้วแต่เจือพลังเผด็จการล้นหลาม ไม่ว่ารั่วอู่จะโจมตีต่อต้านอย่างไรก็ล้วนไม่เป็นผล
จนกระทั่งต่อมา รั่วอู่ใกล้ถูกหลินสวินกดข่มอยู่หมัดแล้ว จู่ๆ นางก็ส่งเสียงออกมา
“ไม่สู้แล้ว!”
ขณะพูดเงาร่างของนางพริบไหว ถอยออกจากลานประลอง
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะประสานมือกล่าวว่า “ขอบคุณที่ชี้แนะ”
รั่วอู่บุ้ยปากอย่างจนปัญญา “ชี้แนะอะไรกัน ก็แค่หินลับดาบเท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องให้คนชี้แนะด้วยซ้ำ”
นิ่งไปพักหนึ่งนางก็อดยิ้มไม่ได้ “แต่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ข้าไม่ได้แพ้ให้เจ้านะ พวกเราถือว่าเสมอกัน ภายหน้าก็ไม่คิดจะประมือกับเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องรักษาผลงานต่อสู้ไร้พ่ายนี้เอาไว้”
เสี่ยวอิ๋นลอบบ่นกับตัวเอง ผู้หญิง เจ้าเล่ห์เพทุบายจริงๆ ด้วย!
หลินสวินยิ้มน้อยๆ
รั่วอู่พูดถูก การต่อสู้ของเขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้แนะเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้เหตุที่ถูกกดข่ม สาเหตุมีเพียงอย่างเดียวคือเพิ่งจะบรรลุอริยะ ยังไม่อาจควบคุมพลังใหม่แห่งมกุฎอริยมรรคนี้ได้!
“ข้าเพิ่งรู้คราวนี้เอง ว่าที่แท้การเคลื่อนย้ายหายตัวเป็นเพียงพลังสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เหล่าอริยะล้วนสามารถควบคุมได้ หาใช่การควบคุมกฎเกณฑ์ห้วงอากาศว่างเปล่าอย่างแท้จริง”
หลินสวินทอดถอนใจออกมา
รั่วอู่พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นแหละ แต่ว่าใช้ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยน กลับสามารถสัมผัสและหยั่งถึงกฎเกณฑ์ห้วงอากาศว่างเปล่าได้”
“ข้าได้ยินว่ายามปราณย่างสู่ระดับราชันอริยะจะสามารถหยิบยืมกฎเกณฑ์ห้วงอากาศว่างเปล่า หยั่งรู้เขตแดนต่อสู้อันเป็นของตนได้ ถึงตอนนั้นเมื่อพลังปราณรอบกายไหวกระตุ้น ฟ้าดินใกล้เคียงก็จะกลายเป็นเขตแดนแห่งหนึ่ง เชื่อมผสานกับมรรคและวิชาแห่งตน พลังอานุภาพน่าเหลือเชื่อ”
หลินสวินพยักหน้า เขาเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน
บนหานทางแห่งอริยมรรค แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ ได้แก่ระดับอริยะแท้ ระดับมหาอริยะ ระดับราชันอริยะ
แต่ละระดับล้วนมีปริศนาใหญ่ที่ต่างกัน
อย่างระดับอริยะแท้ ควบคุมพลังปฐมอริยะ บุกเบิกโลกถ้ำผสาน สร้างภูเขามรรคต้นกำเนิด เป็นกระบวนการขั้นแรกของอริยมรรค
ส่วนระดับมหาอริยะ จุดสำคัญคือคำว่า ‘มหา’ ใหญ่ยิ่งไร้ขอบเขต มหาลักษณ์ไร้รูป มหาสำเนียงเสียงแผ่ว บรรลุถึงขอบเขตนี้ ก็เหมือนกลายเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ระดับอริยะแล้ว!
ส่วนระดับราชันอริยะนั้นมีฉายาว่า ‘ราชันในหมู่อริยะ’ นายเหนือหัวจอมราชันแห่งระดับอริยะ วิชามรรคและนัยเร้นลับมหามรรคที่ครอบครองทั้งหมดต่างเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อสุดขีด เป็นระดับที่มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎซึ่งเหยียบย่างเส้นทางแห่งอริยมรรคเท่านั้น
และสำหรับหลินสวินแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งก้าวสู่ระดับอริยะแท้ ที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็น สิ่งที่เขาแสวงหาคือหนทางมกุฎอริยะ ซ้ำยังโดดเด่นไม่เหมือนใคร ต่างจากโลกหล้า
“นายท่าน พวกเรา…”
เสี่ยวอิ๋นเอ่ยปาก กำลังคิดจะพูดอะไร
จู่ๆ เสียงดังอื้ออึงระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกแดนลับวังใต้ดิน
“มาอีกแล้ว!”
เสี่ยวอิ๋นเดือดดาลดั่งสายฟ้าทันที ดวงตาล้วนแดงก่ำ “ในช่วงสองเดือนมานี้ เจ้าเฒ่าสวะพวกนั้นสังหารผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราอย่างน้อยๆ ก็พันคนแล้ว!”
เนตรดาราของรั่วอู่ก็เย็นเยียบ ทอดสายตามองหลินสวิน
หลินสวินสีหน้าเยือกเย็น นัยน์ตาดำลุ่มลึก กล่าวว่า “พวกเขาคงคิดว่าพวกเราได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ถูกกักขังอยู่ที่นี่กระมัง”
ส่วนลึกภายในใจ ไอสังหารที่ไม่อาจระงับเหมือนดั่งหินหนืด เริ่มร้องคำรามแตกปะทุแล้ว!
“ไป!”
หลินสวินหันตัว พุ่งพรวดออกจากแดนลับวังใต้ดินก่อนใครเพื่อน
“เสี่ยวเทียน ไปแล้ว!”
เสี่ยวอิ๋นตะโกนลั่น ไอสังหารเดือดพล่าน
“ก็ถึงเวลาใช้เลือดล้างเลือดแล้ว!”
เงาร่างของรั่วอู่ดั่งมายา ดวงตาสุกใสมีไอสังหารพุ่งยิง
“ในที่สุดก็ไปแล้ว…”
บนต้นบรรพชนหลอมจิตสีเขียวแวววาวต้นนั้น จู่ๆ ดวงตาที่วิวัฒน์ขึ้นจากลายต้นไม้แน่นขนัดก็เบิกโพลง ท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก
…
นอกหุบเหวลึก
สีหน้าเล่อเซวี่ยซิวมืดทะมึน
สองเดือนแล้ว ใต้หุบเหวใหญ่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สักเสี้ยว นี่ทำให้เขาต้องข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจเช่นกัน
โดยเฉพาะครึ่งเดือนก่อน เซวี่ยชิงอีไปจากโลกมารโลหิต ก่อนมุ่งหน้าไปแดนลับนรกโลกันตร์ได้ออกคำสั่งลงมาว่า ตอนที่เขาย้อนกลับมา หากไม่สามารถฆ่าหลินสวินและรั่วอู่สองชายหญิงนี่ได้ ก็อย่าหาว่าเขาไร้ปรานี!
นี่ทำให้สีหน้าของเล่อเซวี่ยซิวไม่น่าดูหาใดเปรียบ
เขาเป็นถึงมกุฎอริยะ แต่กลับถูกเซวี่ยชิงอีข่มขู่เช่นนี้ ทำเอาเสียหน้าอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายเขาก็ได้แต่อดกลั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์