จู๋อิ้งคงแต่งกายด้วยชุดคลุมสีหยกเหลืองทั้งตัว ใบหน้าผ่องแผ้ว คิ้วกระบี่เนตรดารา ดวงตาทั้งสองข้างสุกใส เปล่งประกายมีชีวิตชีวา
เขาเป็นระดับผู้นำค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน ตัวเขาเองยังเป็นองค์ชายเผ่าจู๋หลง ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากในหมื่นปี เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นเพียงผู้เดียวในปัจจุบัน
“ท่านพี่ พวกเรามาโจมตีเมือง ไม่ได้มาฟังท่านยกยอคนแซ่หลินผู้นั้น”
ข้างกัน จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจ
“หมายโจมตีเมืองต้องทำลายกระบวนค่ายกลให้ได้ก่อน กระบวนค่ายกลนี้รุกรับพร้อมสรรพ หนาแน่นคลุมเครือ และจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักถึงจะมองทะลุนัยเร้นลับแก่นแท้ของมันได้”
จู๋อิ้งคงเอ่ยเสียงขรึม “น้องหญิง เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตอนพวกเรามา พวกเซวี่ยชิงอีนำทัพผู้แข็งแกร่งไปทะเลผาดำอยู่ก่อนแล้ว หากไม่เหนือความคาดหมาย หลินสวินคนนั้นต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”
“ถ้าเมืองนี้ไม่มีหลินสวินนั่นควบคุม การเหยียบย่ำเมืองนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว”
ในเสียงเผยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสมบูรณ์
“เช่นนั้นก็ดี”
จู๋อิ้งเสวี่ยเผยรอยยิ้มหวาน
คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกเซวี่ยชิงอีหรือหลินสวิน เกรงว่าจะนึกไม่ถึงว่าในตอนที่แดนลับสนามแม่เหล็กนี้มาเยือน พวกจู๋อิ้งคงสองพี่น้องจะถึงกับฉวยโอกาสมาหน้าเมืองอารักษ์มรรคโลกรกร้างโบราณ หมายจะทำลายกระบวนค่ายกลผลาญนคร!
นี่เป็นการเคลื่อนไหวอุกอาจครั้งหนึ่งจริงๆ
แต่สำหรับจู๋อิ้งคงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสักนิด ไม่เพียงมั่นใจในศักยภาพของตนมาก เขายังเชื่อมั่นในวิชาสลักวิญญาณของตนด้วยเช่นกัน!
ควรรู้ว่ามรดกในมรรคสลักวิญญาณของพวกเขาเผ่าจู๋หลง มองไปทั่วแปดดินแดนยังเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ
แน่นอนว่าผู้ที่มาจู่โจมเมืองคราวนี้ไม่ได้มีเพียงจู๋อิ้งคงสองพี่น้อง ยังมีผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณยอดหยินมากมายรออยู่ด้วย
สวบ!
ทันใดนั้นวงแสงอัศจรรย์คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากดวงตาของจู๋อิ้งคง ดำหนึ่งขาวหนึ่งละม้ายหยินหยาง สัญลักษณ์ลึกลับแปลกประหลาดไหลวนออกมา
เนตรจู๋หลง!
ตามคำเล่าลือ ยามสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นอย่างจู๋หลงลืมตาขึ้นก็คือกลางวัน ยามหลับตาลงก็คือกลางคืน เป่าลมเป็นเหมันต์ พ่นลมเป็นวสันต์ ควบคุมมืดสว่างทิวาราตรี วงเวียนสี่ฤดู อภินิหารยิ่งใหญ่
แน่นอนว่าคำเล่าลือก็คือคำเล่าลืออยู่ดี แต่เนตรจู๋หลงเป็น ‘อภินิหารพรสวรรค์ชั้นหนึ่ง’ ที่เป็นที่ยอมรับทั้งโลก
ภายใต้การกวาดมองของดวงตานี้ สามารถมองทะลุรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสรรพสัตว์ หยั่งแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ภาพลวงทั้งปวงถูกสลายให้กระจ่างแจ้ง
นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าจู๋หลงมีวิชาสลักวิญญาณสูงส่งแทบทั้งนั้น
อาศัยอภินิหารนี้ฝึกฝนในมรรคาสลักวิญญาณ มีข้อได้เปรียบเป็นที่สุด!
ไม่นานนักภายใต้สายตาที่กวาดมองของจู๋อิ้งคง เมืองอารักษ์มรรคอันใหญ่โต รวมถึงร่องรอยกระบวนค่ายกลใหญ่ที่ประทับไว้ตามจุดต่างๆ ของกำแพงเมืองล้วนปรากฏขึ้นอย่างละเอียดหมดจด
‘ค่ายกลสังหารสี่ค่าย ค่ายกลป้องกันแปดค่าย…’
‘ฝีมือร้ายกาจนัก ใต้ดินยังปกคลุมด้วยกระบวนค่ายกลลายมรรค ทำให้บรรจุอานุภาพแห่งฟ้าดินไว้ในเมืองทั้งหมด ดังคำกล่าวที่ว่ากระบวนค่ายกลสมบูรณ์ ฟ้าดินร่วมแรงก็เป็นเช่นนี้เอง’
‘ช่วงเวลาราวครึ่งปี ที่นี่ถึงกับถูกเขารังสรรค์ผนึกอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้ เทียบกับปรมาจารย์สลักลายมรรครุ่นอาวุโสบางคนแล้วไม่ทิ้งกันเท่าไร…’
‘เอ๋ ลายมรรคเช่นนี้วางได้มหัศจรรย์พบเห็นได้ยากจริงๆ สืบสานสร้างร่างได้เอง แปรเปลี่ยนก้อนอิฐแต่ละก้อนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนค่ายกลใหญ่ ฝีมือขั้นนี้เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน’
ครู่หนึ่งผ่านไป จู๋อิ้งคงแสดงสีหน้าประหลาดใจ
เขามีชาติกำเนิดเป็นเผ่าจู๋หลง ได้เห็นวิชาสลักลายมรรคมามากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาสลักลายมรรคที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน
นี่ก็เหมือนเอาเมืองเมืองหนึ่งหลอมรวมเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่ค่ายหนึ่งโดยสมบูรณ์ กระบวนค่ายกลก็คือเมือง เมืองก็คือกระบวนค่ายกล ไม่แบ่งแยกกันอีก ขอเพียงกระบวนค่ายกลไม่แตก เมืองนี้ก็จะดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์!
หากไม่ใช่ว่าสถานการณ์ไม่อำนวย จู๋อิ้งคงคงอยากพินิจพิเคราะห์สักรอบอย่างห้ามไม่อยู่
เพราะกระบวนค่ายกลใหญ่ลายมรรคเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่าสะเทือนอดีตปัจจุบัน แม้แต่ในแปดดินแดนใหญ่ยังโดดเด่นไม่มีสิ่งใดทัดเทียม นัยเร้นลับที่เก็บอยู่ภายในก็น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด
‘เขาหลินสวิน ชายหนุ่มที่ถือกำเนิดในดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่ง ได้วิชารอยสลักวิญญาณเช่นนี้มาจากไหนกันแน่นะ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน’
จู๋อิ้งคงตกตะลึงในใจยิ่งนัก
ตามที่เขารู้มา ดินแดนรกร้างโบราณยังไม่เคยมีมหาสำนักสลักวิญญาณที่เก่งกาจอะไรมาก่อน ทั้งยังไม่มีเผ่าแกร่งกล้าที่ดำรงอยู่ในโลกด้วยการสืบทอดวิชาสลักวิญญาณด้วย
แต่หลินสวินกลับวางกระบวนค่ายกลใหญ่ที่เรียกได้ว่าเหนือความคาดมายเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่อนัก
จู๋อิ้งคงไม่รู้ว่าวิชาสลักวิญญาณของหลินสวินมาจากลู่ป๋อหยา และลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนของเก้าดินแดน
หากให้หลินสวินรู้ว่าจู๋อิ้งคงตกใจเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าจะประหลาดใจนัก เพราะวิถีสลักวิญญาณที่เขาเรียนตั้งแต่เล็ก เดิมทีก็เป็นเช่นนี้!
“ท่านพี่ ตกลงทำได้หรือไม่”
รอมาครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นจู๋อิ้งคงจะตอบสนอง จู้อิ้งเสวี่ยจึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
จู้อิ้งคงได้สติ แววอัศจรรย์ไหววูบในดวงตา เอ่ยว่า “น้องหญิง ตอนนี้ข้ากลับหวังว่าหลินสวินจะไม่ถูกเจ้าเซวี่ยชิงอีนั่นฆ่าตายแล้ว”
จู๋อิ้งเสวี่ยประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”
“วิชาสลักวิญญาณเจ้าหมอนี่มหัศจรรย์ถึงที่สุด แข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด ไม่ด้อยไปกว่าวิชาสลักรอยวิญญาณสูงสุดของเผ่าจู๋หลงของพวกเรา นอกจากนี้ยังกลายเป็นเส้นปราณที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง หากชิงวิชาเช่นนี้มาครอง…”
พูดถึงตรงนี้ในดวงตาของจู๋อิ้งคงก็ฉายแววลุกโชนแล้ว “ข้าเชื่อมั่นเต็มที่ว่าจะสามารถแจ้งมรรคเหมือนอย่างบรรพชน ใช้พลังสลักรอยสลักวิญญาณสร้างหนทางแห่งมหาจักรพรรดิ!”
จู๋อิ้งเซวี่ยตกตะลึง แต่กลับไม่พอใจนัก “เจ้าหมอนั่นมีคุณสมบัติอะไรมาเทียบกับมรรครอยสลักวิญญาณของเผ่าพวกเรา”
จู๋อิ้งคงยิ้มให้ ไม่อธิบายอะไรอีก
ขอเพียงเขารู้ชัดว่าวิชาสลักรอยวิญญาณที่หลินสวินครอบครองไม่ธรรมดาปานไหนก็พอแล้ว!
“น้องหญิง เจ้าส่งคนไปดูที่ทะเลผาดำเสียหน่อย ถ้าหลินสวินตายแล้ว จำไว้ว่าต้องเอาของที่เขาเหลือทิ้งไว้มาด้วย”
จู๋อิ้งคงเอ่ยกำชับ
“พวกเซวี่ยชิงอีจะตกลงหรือ”
จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์