Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1581

สรุปบท ตอนที่ 1581 เนตรจู๋หลง: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1581 เนตรจู๋หลง – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 1581 เนตรจู๋หลง ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

จู๋อิ้งคงแต่งกายด้วยชุดคลุมสีหยกเหลืองทั้งตัว ใบหน้าผ่องแผ้ว คิ้วกระบี่เนตรดารา ดวงตาทั้งสองข้างสุกใส เปล่งประกายมีชีวิตชีวา

เขาเป็นระดับผู้นำค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน ตัวเขาเองยังเป็นองค์ชายเผ่าจู๋หลง ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากในหมื่นปี เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นเพียงผู้เดียวในปัจจุบัน

“ท่านพี่ พวกเรามาโจมตีเมือง ไม่ได้มาฟังท่านยกยอคนแซ่หลินผู้นั้น”

ข้างกัน จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจ

“หมายโจมตีเมืองต้องทำลายกระบวนค่ายกลให้ได้ก่อน กระบวนค่ายกลนี้รุกรับพร้อมสรรพ หนาแน่นคลุมเครือ และจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักถึงจะมองทะลุนัยเร้นลับแก่นแท้ของมันได้”

จู๋อิ้งคงเอ่ยเสียงขรึม “น้องหญิง เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตอนพวกเรามา พวกเซวี่ยชิงอีนำทัพผู้แข็งแกร่งไปทะเลผาดำอยู่ก่อนแล้ว หากไม่เหนือความคาดหมาย หลินสวินคนนั้นต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”

“ถ้าเมืองนี้ไม่มีหลินสวินนั่นควบคุม การเหยียบย่ำเมืองนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว”

ในเสียงเผยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสมบูรณ์

“เช่นนั้นก็ดี”

จู๋อิ้งเสวี่ยเผยรอยยิ้มหวาน

คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกเซวี่ยชิงอีหรือหลินสวิน เกรงว่าจะนึกไม่ถึงว่าในตอนที่แดนลับสนามแม่เหล็กนี้มาเยือน พวกจู๋อิ้งคงสองพี่น้องจะถึงกับฉวยโอกาสมาหน้าเมืองอารักษ์มรรคโลกรกร้างโบราณ หมายจะทำลายกระบวนค่ายกลผลาญนคร!

นี่เป็นการเคลื่อนไหวอุกอาจครั้งหนึ่งจริงๆ

แต่สำหรับจู๋อิ้งคงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสักนิด ไม่เพียงมั่นใจในศักยภาพของตนมาก เขายังเชื่อมั่นในวิชาสลักวิญญาณของตนด้วยเช่นกัน!

ควรรู้ว่ามรดกในมรรคสลักวิญญาณของพวกเขาเผ่าจู๋หลง มองไปทั่วแปดดินแดนยังเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ

แน่นอนว่าผู้ที่มาจู่โจมเมืองคราวนี้ไม่ได้มีเพียงจู๋อิ้งคงสองพี่น้อง ยังมีผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณยอดหยินมากมายรออยู่ด้วย

สวบ!

ทันใดนั้นวงแสงอัศจรรย์คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากดวงตาของจู๋อิ้งคง ดำหนึ่งขาวหนึ่งละม้ายหยินหยาง สัญลักษณ์ลึกลับแปลกประหลาดไหลวนออกมา

เนตรจู๋หลง!

ตามคำเล่าลือ ยามสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นอย่างจู๋หลงลืมตาขึ้นก็คือกลางวัน ยามหลับตาลงก็คือกลางคืน เป่าลมเป็นเหมันต์ พ่นลมเป็นวสันต์ ควบคุมมืดสว่างทิวาราตรี วงเวียนสี่ฤดู อภินิหารยิ่งใหญ่

แน่นอนว่าคำเล่าลือก็คือคำเล่าลืออยู่ดี แต่เนตรจู๋หลงเป็น ‘อภินิหารพรสวรรค์ชั้นหนึ่ง’ ที่เป็นที่ยอมรับทั้งโลก

ภายใต้การกวาดมองของดวงตานี้ สามารถมองทะลุรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสรรพสัตว์ หยั่งแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ภาพลวงทั้งปวงถูกสลายให้กระจ่างแจ้ง

นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าจู๋หลงมีวิชาสลักวิญญาณสูงส่งแทบทั้งนั้น

อาศัยอภินิหารนี้ฝึกฝนในมรรคาสลักวิญญาณ มีข้อได้เปรียบเป็นที่สุด!

ไม่นานนักภายใต้สายตาที่กวาดมองของจู๋อิ้งคง เมืองอารักษ์มรรคอันใหญ่โต รวมถึงร่องรอยกระบวนค่ายกลใหญ่ที่ประทับไว้ตามจุดต่างๆ ของกำแพงเมืองล้วนปรากฏขึ้นอย่างละเอียดหมดจด

‘ค่ายกลสังหารสี่ค่าย ค่ายกลป้องกันแปดค่าย…’

‘ฝีมือร้ายกาจนัก ใต้ดินยังปกคลุมด้วยกระบวนค่ายกลลายมรรค ทำให้บรรจุอานุภาพแห่งฟ้าดินไว้ในเมืองทั้งหมด ดังคำกล่าวที่ว่ากระบวนค่ายกลสมบูรณ์ ฟ้าดินร่วมแรงก็เป็นเช่นนี้เอง’

‘ช่วงเวลาราวครึ่งปี ที่นี่ถึงกับถูกเขารังสรรค์ผนึกอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้ เทียบกับปรมาจารย์สลักลายมรรครุ่นอาวุโสบางคนแล้วไม่ทิ้งกันเท่าไร…’

‘เอ๋ ลายมรรคเช่นนี้วางได้มหัศจรรย์พบเห็นได้ยากจริงๆ สืบสานสร้างร่างได้เอง แปรเปลี่ยนก้อนอิฐแต่ละก้อนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนค่ายกลใหญ่ ฝีมือขั้นนี้เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน’

ครู่หนึ่งผ่านไป จู๋อิ้งคงแสดงสีหน้าประหลาดใจ

เขามีชาติกำเนิดเป็นเผ่าจู๋หลง ได้เห็นวิชาสลักลายมรรคมามากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาสลักลายมรรคที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน

นี่ก็เหมือนเอาเมืองเมืองหนึ่งหลอมรวมเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่ค่ายหนึ่งโดยสมบูรณ์ กระบวนค่ายกลก็คือเมือง เมืองก็คือกระบวนค่ายกล ไม่แบ่งแยกกันอีก ขอเพียงกระบวนค่ายกลไม่แตก เมืองนี้ก็จะดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์!

หากไม่ใช่ว่าสถานการณ์ไม่อำนวย จู๋อิ้งคงคงอยากพินิจพิเคราะห์สักรอบอย่างห้ามไม่อยู่

เพราะกระบวนค่ายกลใหญ่ลายมรรคเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่าสะเทือนอดีตปัจจุบัน แม้แต่ในแปดดินแดนใหญ่ยังโดดเด่นไม่มีสิ่งใดทัดเทียม นัยเร้นลับที่เก็บอยู่ภายในก็น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด

‘เขาหลินสวิน ชายหนุ่มที่ถือกำเนิดในดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่ง ได้วิชารอยสลักวิญญาณเช่นนี้มาจากไหนกันแน่นะ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน’

จู๋อิ้งคงตกตะลึงในใจยิ่งนัก

ตามที่เขารู้มา ดินแดนรกร้างโบราณยังไม่เคยมีมหาสำนักสลักวิญญาณที่เก่งกาจอะไรมาก่อน ทั้งยังไม่มีเผ่าแกร่งกล้าที่ดำรงอยู่ในโลกด้วยการสืบทอดวิชาสลักวิญญาณด้วย

แต่หลินสวินกลับวางกระบวนค่ายกลใหญ่ที่เรียกได้ว่าเหนือความคาดมายเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่อนัก

จู๋อิ้งคงไม่รู้ว่าวิชาสลักวิญญาณของหลินสวินมาจากลู่ป๋อหยา และลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนของเก้าดินแดน

หากให้หลินสวินรู้ว่าจู๋อิ้งคงตกใจเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าจะประหลาดใจนัก เพราะวิถีสลักวิญญาณที่เขาเรียนตั้งแต่เล็ก เดิมทีก็เป็นเช่นนี้!

“ท่านพี่ ตกลงทำได้หรือไม่”

รอมาครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นจู๋อิ้งคงจะตอบสนอง จู้อิ้งเสวี่ยจึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้

จู้อิ้งคงได้สติ แววอัศจรรย์ไหววูบในดวงตา เอ่ยว่า “น้องหญิง ตอนนี้ข้ากลับหวังว่าหลินสวินจะไม่ถูกเจ้าเซวี่ยชิงอีนั่นฆ่าตายแล้ว”

จู๋อิ้งเสวี่ยประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”

“วิชาสลักวิญญาณเจ้าหมอนี่มหัศจรรย์ถึงที่สุด แข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด ไม่ด้อยไปกว่าวิชาสลักรอยวิญญาณสูงสุดของเผ่าจู๋หลงของพวกเรา นอกจากนี้ยังกลายเป็นเส้นปราณที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง หากชิงวิชาเช่นนี้มาครอง…”

พูดถึงตรงนี้ในดวงตาของจู๋อิ้งคงก็ฉายแววลุกโชนแล้ว “ข้าเชื่อมั่นเต็มที่ว่าจะสามารถแจ้งมรรคเหมือนอย่างบรรพชน ใช้พลังสลักรอยสลักวิญญาณสร้างหนทางแห่งมหาจักรพรรดิ!”

จู๋อิ้งเซวี่ยตกตะลึง แต่กลับไม่พอใจนัก “เจ้าหมอนั่นมีคุณสมบัติอะไรมาเทียบกับมรรครอยสลักวิญญาณของเผ่าพวกเรา”

จู๋อิ้งคงยิ้มให้ ไม่อธิบายอะไรอีก

ขอเพียงเขารู้ชัดว่าวิชาสลักรอยวิญญาณที่หลินสวินครอบครองไม่ธรรมดาปานไหนก็พอแล้ว!

“น้องหญิง เจ้าส่งคนไปดูที่ทะเลผาดำเสียหน่อย ถ้าหลินสวินตายแล้ว จำไว้ว่าต้องเอาของที่เขาเหลือทิ้งไว้มาด้วย”

จู๋อิ้งคงเอ่ยกำชับ

“พวกเซวี่ยชิงอีจะตกลงหรือ”

จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้า

ซับซ้อนคลุมเครือก็เรื่องหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยเห็นฝีมือวางกระบวนค่ายกลเช่นนั้นมาก่อน!

“ท่านพี่แย่แล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงแตกตื่นเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของจู๋อิ้งคง เขาชักสายตากลับมาทันที หันหน้ามองไปก็เห็นว่าน้องสาวจู๋อิ้งเสวี่ยถลาเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

“เกิดอะไรขึ้น หรือเซวี่ยชิงอีไม่รับปาก”

จู๋อิ้งคงนิ่วหน้า

“ไม่ใช่ พวกเซวี่ยชิงอี… แพ้แล้ว!”

จู๋อิ้งคงสีหน้าตื่นตระหนก

ตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน สีหน้างุนงง ตามที่เขารู้มา คราวนี้เซวี่ยชิงอีถึงกับเรียกรวมมกุฎอริยะมากกว่าร้อยคน รวมถึงผู้แข็งแกร่งอริยะแท้แปดร้อยกว่าคน

นอกจากนี้ยังมีระดับผู้นำอย่างสือพั่วไห่กับฮว่าหงเซียวร่วมกันสั่งการ แค่สังหารหลินสวินคนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแท้ๆ

แต่ทำไมถึง… แพ้แล้ว

ปฏิกิริยาแรกของจู๋อิ้งคงก็คือ ข่าวผิดหรือเปล่า

แต่ด้วยการบรรยายของจู่อิ้งเสวี่ย จู๋อิ้งคงก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ อย่างห้ามไม่อยู่ หากเป็นเช่นนี้จริง จะไม่ใช่ว่าหลินสวินคนเดียวก็สู้จนพวกเซวี่ยชิงอีเป็นตุ๊กตาดินไร้ค่าเลยหรือ

เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร

ไม่นานนักเสียงทะลวงอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้น มกุฎอริยะจากดินแดนโบราณยอดหยินบางคนทะลวงอากาศเข้ามา แต่ละคนสีหน้าตกตะลึง หวาดวิตกว้าวุ่น

“นายน้อยแย่แล้วขอรับ ที่แดนลับสนามแม่เหล็ก พวกเซวี่ยชิงอีพ่ายแพ้ย่อยยับ!”

“ตามที่อริยะดินแดนโบราณอสูรดาวที่โชคดีรอดชีวิตมาได้คนหนึ่งว่าไว้ ในสนามรบมีมกุฎอริยะเกือบร้อยถูกสังหาร พวกเซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่กับฮว่าหงเซวียนยังสู้หลินสวินคนเดียวไม่ได้ ถูกเล่นงานจนหนีเอาตัวรอดกระเจิดกระเจิง!”

“นายน้อย ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานนะขอรับ!”

ในเสียงสับสนปนเปทำให้จู๋อิ้งคงรู้ถึงที่มาที่ไปของศึกครั้งนั้นในที่สุด เขาสูดหายใจหนาวเยือกเฮือกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจสั่นสะท้าน

หลินสวินคนนี้ เหตุใดถึงร้ายกาจเช่นนี้

หรือเขาสร้างวิชาแห่งตน มีรากฐานพลังที่ไร้ศัตรูใดเทียบเทียมในระดับนี้ไปแล้ว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนคนเดียวจะรับการจู่โจมของพวกเซวี่ยชิงอีได้นี่!

ทันใดนั้นความกังขานับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของจู๋อิ้งคง ทำให้สีหน้าเขาปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จิตใจไม่สงบ

“ท่านพี่ พวกเราต้องรีบออกไปหรือไม่”

จู๋อิ้งเสวี่ยตกใจจนดวงหน้างามซีดเผือดไปแล้ว แค่ได้ยินข่าวยังทำให้นางหนาวสะท้านในใจ น่าเหลือเชื่อเกินไป และน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปด้วย!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์