Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1610

สรุปบท ตอนที่ 1610 ร่วมเฉลิมฉลอง: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอน ตอนที่ 1610 ร่วมเฉลิมฉลอง จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 1610 ร่วมเฉลิมฉลอง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หลินสวินกลับมาแล้ว!

พริบตานี้เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้น เสียงที่เดิมทีอึกทึกครึกครื้นพลันหายไป เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา

สายตานับไม่ถ้วนพากันมองไปบนเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป ที่นั่นเงาร่างของหลินสวินยืนสันโดษราวกับเทพเซียน

คนผู้นี้เคยก่อเรื่องใหญ่ที่โลกมารโลหิตด้วยตัวคนเดียว ล้อมเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพัง

เคยใช้พลังของตัวเองสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่ กำจัดทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนระหว่างคุยเล่น

และเคยเอาชนะมกุฎอริยะนับร้อยที่ชายฝั่งทะเลผาดำ ซัดบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสามอย่างพวกเซวี่ยชิงอีจนแพ้ยับเยิน สร้างโอกาสเข้าไปในแดนลับสนามแม่เหล็กให้บุคคลขอบเขตมกุฎกลุ่มหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ

สองปีมานี้ เรื่องที่เกี่ยวกับเขาแพร่กระจายไปทั่วสมรภูมิเก้าดินแดนนานแล้ว เหมือนดวงตะวันกลางฟ้า โชติช่วงชัชวาลดั่งตำนาน

ยามนี้เขารอดชีวิตกลับมาจากสมรภูมิเซียนเหินแล้ว!

“กลับมาก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว…”

เวลานี้ใจที่เคว้งคว้างของเซ่าเฮ่า รั่วอู่และมกุฎอริยะทั้งหมดต่างกลับมาสมบูรณ์ รู้สึกผ่อนคลายหาใดเปรียบ

ตอนแรกพวกเขาไม่มีใครไม่กังวล หลินสวินมุ่งหน้าไปสมรภูมิเซียนเหิน เป็นไปได้สูงว่าจะถูกมกุฎอริยะมากมายที่มาจากค่ายทัพแปดดินแดนร่วมมือกันกำราบ ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าอาจประสบเคราะห์ถึงชีวิต

แต่ยังดี…

ที่เขากลับมาแล้ว! ทั้งยังอยู่รอดปลอดภัย!

แต่ยามพวกเซ่าเฮ่าคิดจะเข้าไปต้อนรับก็กลับหยุดฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

ด้วยตอนนี้ยังไม่ถึงคราวพวกเขาออกโรง

เมื่อหลินสวินกลับมาเห็นเมืองอารักษ์มรรคสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย ในใจก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที

จากไปสิบวันเมืองยังอยู่ ก็หมายความว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณปลอดภัย นี่คือข่าวดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

แต่ไม่นานแววตาของหลินสวินก็หดรัด ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย จ้องมองร่างงามที่อยู่บนกำแพงเมืองนั้นเขม็ง แทบไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง

ซย่าจื้อ?

หลินสวินพลันใจสั่นขึ้นมา

ปีนั้นก่อนที่แดนมกุฎจะมาเยือน ซย่าจื้อลอยขึ้นไปบนอากาศเหนือทะเลหมากดารา มุ่งหน้าเข้าไปในบานประตูมืดมิดที่เหมือนรัตติกาลนิรันดร์บานหนึ่งแล้วหายไป

หลังจากนั้นหลินสวินก็ผ่านการเข่นฆ่าโรมรันในแดนมกุฎสิบปี จากนั้นก็หวนกลับสู่โลกชั้นล่าง ฝากร่องรอยไว้ทั่วอาณาเขตของจักรวรรดิ

ต่อมาเขายังไปสมรภูมิกระหายเลือด เข้าไปในป่าต้นหม่อน…

หลังจากกลับมาดินแดนรกร้างโบราณ ยังตั้งเป้าหมายการเดินทางไปที่สมรภูมิเก้าดินแดนอีก…

จนถึงตอนนี้เหตุการณ์ก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว!

สิบกว่าปีแล้ว หลินสวินมีหรือจะไม่เป็นห่วงซย่าจื้อที่ไม่มีข่าวคราว

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่ตนกลับมาจากสมรภูมิเซียนเหินจะได้เห็นเงาร่างนั้นที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำ ปรากฏอยู่บนกำแพงเมืองสูงใหญ่นั้นที่ตนสร้างมากับมือ!

นี่คือเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าชัยชนะครั้งใหญ่

บนโลกนี้ไม่มีอะไรทำให้ผู้คนยินดีไปมากกว่าความรู้สึกของ ‘การได้เจอกันอีกหลังจากไม่ได้พบกันมานาน’!

แต่เมื่อหลินสวินคิดจะก้าวเข้าไปใกล้ก็พลันพบว่า บรรยากาศเหมือนมีบางอย่างผิดแปลกไป…

บนกำแพงเมืองที่กว้างใหญ่นั้น นอกจากซย่าจื้อแล้วยังมีจ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่ นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย

นี่เห็นได้ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว

เขากลับมาครั้งนี้ ด้วยพลังรับรู้ของพวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ คงจะรับรู้ได้ทันที ทำไมถึงตอนนี้แล้วยังไม่ปรากฏตัว

‘พี่ใหญ่ แม่นางซย่าจื้อและแม่นางจิ่งเซวียนกำลังรอท่านอยู่ ท่านต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ!’

ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตของเจ้าคางคกก็ดังก้องข้างหูหลินสวิน ทำให้หลินสวินลอบสูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่อยู่ ขนพองสยองเกล้า

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน!

ปีนั้นซย่าจื้อเคยบอกกับปากตัวเองว่าหากเขาคิดจะแต่งภรรยา จำเป็นต้องผ่านด่านนางไปก่อน…

‘คงไม่ใช่ว่าซย่าจื้อกับจ้าวจิ่งเซวียนเกิดความขัดแย้งกันไปแล้วนะ’

ต่อให้ตอนนี้หลินสวินอยู่ในระดับมกุฎอริยะแล้ว ใจหนักแน่นดั่งหินผา เจอคลื่นใหญ่ลมแรงมาจนชิน แต่ยามนี้ก็ยังอดลนลานไม่ได้

แต่สีหน้าของเขากลับไม่เผยความผิดแปลกใดๆ ยิ้มก้าวไปยังกำแพงเมือง

เวลานี้เจ้าคางคกและอาหลู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ รวมถึงพวกเซ่าเฮ่า เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินต่างเบิกตากว้าง แอบวิตกกังวลแทนหลินสวิน

“หลินสวิน เจ้ากลับมาแล้ว!”

เหนือความคาดหมายทุกคน จ้าวจิ่งเซวียนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน รอยยิ้มกระจ่างงามพิสุทธิ์ ริมฝีปากแดงฟันเป็นระเบียบ ดูเจิดจรัสส่องประกาย หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความยินดีอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

ไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก จ้าวจิ่งเซวียนก็เหลือบสายตาไปยังซย่าจื้อแล้วกล่าวอย่างใจกว้าง “เจ้าดู ซย่าจื้อก็มาแล้ว เชื่อว่าเจ้าต้องคาดไม่ถึงและประหลาดใจมากแน่”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ตามจิตใต้สำนึก ไม่นานในใจก็ลอบอุทานว่าแย่แน่ แต่เมื่อเขาสังเกตโดยละเอียด กลับไม่พบว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะไม่พอใจอะไรจึงค่อยสงบลงได้บ้าง

ยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มกล่าว “ตอนนี้เห็นเจ้ากลับมาข้าก็วางใจแล้ว พวกเจ้าคุยกันเถอะ ไม่เจอกันหลายปี เชื่อว่าพวกเจ้าต้องมีเรื่องพูดคุยกันมาก ข้าจะกลับไปพักสักหน่อยก่อน รอยามค่ำค่อยไปเรียกสหายพวกนั้นมาเลี้ยงต้อนรับเจ้าด้วยกัน”

นางพูดพลางส่งสายตาให้กำลังใจไปทางหลินสวิน จากนั้นก็หันหลังจากไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่พูดเยิ่นเย้อแม้แต่น้อย เมื่อกล่าวจบอย่างสวยงามแล้วก็หันหลังจากไปอย่างงามสง่า กิริยาและท่าทางนั้นทำให้พวกเจ้าคางคกและอาหลู่ที่แอบอยู่อดประหลาดใจไม่ได้ เกิดความเคารพนับถือขึ้นมาบ้าง

แม่นางจิ่งเซวียน ฝีมือร้ายกาจจริงๆ!

และคืนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเซียนเหิน ล้วนถูกเจ้านกดำเล่าออกมาทีละเรื่องจนน้ำลายแตกฟอง ชักนำมาซึ่งเสียงโห่ร้องยินดีดังสนั่นไม่รู้เท่าไร

ชีวิตคนเรายามยินดีควรรื่นเริงให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าคู่แสงจันทร์

ในสมรภูมิเซียนเหิน หลินสวินสังหารยอดบุคคลแปดดินแดนเกือบทั้งหมดจนได้ชัยชนะใหญ่กลับมา กลายเป็นอันดับหนึ่งในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนอย่างสมชื่อคู่ควร

หน้าเมืองอารักษ์มรรค ทัพใหญ่แปดดินแดนพ่ายแพ้สลัดขนหนีกลับ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณพลิกสถานการณ์กลับมาได้

การต่อสู้ทั้งสองทำให้สถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนเปลี่ยนไปโดยปริยาย

ค่ายทัพแปดดินแดนที่สูญเสียกำลังพลชั้นยอดมากมาย ทั้งล้มตายกันเป็นเบือ นับจากนี้ไปก็ไม่มีทางคุกคามค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้อีก!

เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุด หลินสวินตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะเป็นฝ่ายออกโจมตี ถ้าค่ายทัพแปดดินแดนไม่แตกพ่าย สาบานว่าจะไม่เลิกรา!

รัตติกาลดุจสีหมึก หลังแขกเหรื่อจากไป ในเรือนที่กว้างใหญ่นั้นเหลือเพียงหลินสวิน ซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียนสามคน

เจ้าคางคก อาหลู่พาเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนจากไปอย่างรู้จักกาลเทศะ

เจ้านกดำเป็นตายก็ไม่ยอมจากไป บอกว่าจะหารือกับหลินสวินเรื่องแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์หลังศึก แต่กลับถูกพวกเจ้าคางคกลากตัวไปทั้งอย่างนั้น ไม่ว่าจะร้องจนคอแตกอย่างไรล้วนไม่เป็นผล

“เจ้านกขี้ขโมยนี่ โลภมากเกินไปแล้ว”

หลินสวินอดหัวเราะไม่ได้

เวลานี้ซย่าจื้ออิ่มหนำสำราญ หลับไปอย่างสงบเหมือนที่ผ่านมา แน่นอนว่านางยังยึดเตียงของหลินสวินเหมือนหลายปีก่อนอย่างเป็นธรรมชาติ

“จิ่งเซวียน วันนี้เจ้าไม่โกรธใช่ไหม” หลินสวินเหลือบมองจ้าวจิ่งเซวียน

ทั้งสองคนนั่งพิงไหล่อยู่บนบันไดหน้าชายคา แสงโคมพลิ้วไหว สาดแสงพร่างพร้อยวูบไหวไม่แน่นอน

จ้าวจิ่งเซวียนแนบหน้าผากมนพิงบ่าของหลินสวินอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาคู่งามทอดมองนภายามค่ำที่ห่างออกไป กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน

“วางใจเถอะ ข้าจะไปโกรธซย่าจื้อได้อย่างไร บางทีพลังต่อสู้ของนางอาจแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ มีความโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก เจ้าเป็นคนเดียวที่นางใส่ใจ ข้ากลับดีใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว”

ในรัตติกาลที่ห่างออกไปมีเสียงอึกทึกครึกครื้นดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้ฝึกปราณในเมืองยังคงร่วมเฉลิมฉลอง

ภายในห้อง ซย่าจื้อหลับอย่างสบายใจ

ข้างกายคือยอดพธูที่มีจิตใจงามและอ่อนโยน

แค่นั่ง ฟัง มองและรับรู้เงียบๆ มุมปากของหลินสวินก็ค่อยๆ ระบายยิ้มอย่างไร้สุ้มเสียง

เขาไม่ได้ดีใจเช่นนี้มานานมากแล้ว ความรู้สึกยินดีที่นิ่งสงบและเรียบง่ายนั้น เหมือนความอบอุ่นที่เข้ามาเติมเต็มจิตใจให้อิ่มเอิบ

ภาพนี้เหตุการณ์นี้ ตอนนี้เวลานี้ หลินสวินไม่มีทางลืมชั่วชีวิต

………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์